บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1111 มหาค่ายกลสยบมาร
บทที่ 1111 มหาค่ายกลสยบมาร
บทที่ 1111 มหาค่ายกลสยบมาร
ทันทีที่มหาค่ายกลสยบมารทำงาน หลูเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าสะพานจรัสแสงเมฆาก็ลืมตาขึ้น สายฟ้าสีม่วงอันน่าสะพรึงกลัวโหมกระหน่ำอยู่ภายในดวงตา
ในช่วงเวลาเดียวกับที่หลูเฉินลืมตาขึ้น หัวใจของเหล่าองครักษ์โมฆะทั้งสามคนสั่นไหว ทุกสายตาจ้องมองไปยังที่ห่างไกลโดยพร้อมเพรียงกัน
ณ ที่แห่งนั้น ลำแสงสว่างไสวมากมายพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงของพวกมันส่องสว่างไปทั่วโลก พร้อมกับปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา สร้างความสยดสยองในหัวใจของผู้พบเห็นทุกคน
“ช่างเป็นค่ายกลที่น่าสะพรึงจริง ๆ!”
“อานุภาพเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะกักขังเซียนทองคำ!”
“ศิษย์พี่เกาหลินกับคนอื่น ๆ จะไม่เป็นอะไรหรือไม่?”
พวกเขาล้วนประหลาดใจและงุนงง อีกทั้งยังมีลางสังหรณ์ไม่ดีปรากฏขึ้นราง ๆ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลูเฉินกลับนิ่งเงียบไปนาน จากนั้นหลับตาลงอีกครั้ง “เกาหลินและคนอื่น ๆ คงไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว”
น้ำเสียงเฉยเมยดังเดิม แต่ทั้งสามคนต่างรู้สึกถึงความโกรธและความเย็นชาที่แฝงอยู่ภายใน
“ศิษย์พี่หลูเฉิน ถ้าเราไปช่วยตอนนี้ น่าจะทันเวลา” หนึ่งในองครักษ์โมฆะกล่าว
“โอ้? แล้วพวกเจ้าคนไหนที่มีความสามารถในการเปิดค่ายกลนั้น?” หลูเฉินหลับตาขณะกล่าวอย่างเฉยเมย
ทั้งสามคนชำเลืองมองกันและกัน ทุกคนต่างมีสีหน้าลังเล เพราะพวกเขาไม่มีความมั่นใจที่จะสามารถเปิดค่ายกลใหญ่นั้นได้ในเวลาอันสั้น
หนึ่งในองครักษ์โมฆะจึงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่หากเป็นศิษย์พี่หลูเฉิน ท่านต้องสามารถทำมันได้แน่”
หลูเฉินกล่าว “ถ้าข้าไป แล้วเราจะทำอย่างไรหากเป้าหมายฉวยโอกาสนี้หลบหนี?”
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจความคิดของหลูเฉิน “ล้อมแคว้นเว่ยเพื่อช่วยแคว้นจ้าว อีกทั้งยังล่อเสือออกจากถ้ำ หากเป็นเช่นนั้นจริง แผนของเฉินซีผู้นี้ก็ละเอียดรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง!”
“ไม่กี่วันก่อน ศิษย์น้องเจี่ยงหนิงและศิษย์น้องเยว่เจิ้นต่างเสียชีวิต และเมื่อไม่นานมานี้ ศิษย์น้องจ้าวติงและศิษย์น้องชิวเยี่ยนก็ถูกศัตรูสังหารเช่นกัน ตอนนี้ศิษย์น้องเกาหลินและคนอื่น ๆ ก็ติดอยู่ในค่ายกล หรือว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเป้าหมายของเรา?”
หนึ่งในองครักษ์โมฆะดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ และสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นมืดมน แล้วกล่าวด้วยใบหน้าคิ้วขมวด “เป้าหมายของเราไม่ได้อยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์เท่านั้นหรือ? จะสามารถทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?”
น้ำเสียงทั้งเต็มไปด้วยความตกใจและความงุนงงที่ไม่สามารถขจัดออกไปได้
องครักษ์โมฆะอีกสองคนเห็นด้วยอย่างยิ่ง แม้จะไม่เต็มใจที่จะยอมรับ แต่ข้อเท็จจริงตรงหน้าได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป้าหมายในครั้งนี้รับมือได้ยากยิ่ง และมันก็เกินความคาดหมายกว่าทุกครั้ง ทำให้พวกเขารู้สึกเหลือเชื่อ
บรรยากาศดูบีบคั้นเล็กน้อย มีเสียงหวีดหวิวของสายลมเล็ดลอดออกมาจากพายุที่หมุนวนอยู่รอบ ๆ สะพานจรัสแสงเมฆา ฟังดูคล้ายเสียงคร่ำครวญจากก้นบึ้งของหัวใจ
หลูเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน และทำลายบรรยากาศที่บีบคั้นนี้ “ในตอนเริ่มภารกิจ ข้าบอกพวกเจ้าทุกคนว่าอย่าประเมินเป้าหมายของเราต่ำเกินไป และสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ ก็พิสูจน์ว่าสิ่งที่ข้ากล่าวนั้นถูกต้อง”
คนที่เหลือตกตะลึง
หลูเฉินถอนหายใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่เข้าใจ และกล่าวว่า “ตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยองครักษ์โมฆะ เราก็ฝึกฝนกันแบบลับ ๆ ภายในตระกูลและฝึกตนด้วยวิธีที่โหดร้ายต่าง ๆ ดังนั้นนายน้อยจะไม่เรียกใช้พวกเราพร่ำเพรื่อเด็ดขาด”
ชายหนุ่มหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “แต่ตอนนี้ เพื่อจัดการกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์คนหนึ่ง นายน้อยกลับส่งพวกเราสิบสองคนออกมา พวกเจ้าไม่สังเกตเลยหรือ?”
หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เป็นไปได้ไหมว่า นายน้อยทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าเฉินซีผู้นี้มีฝีมือฉกาจ?”
หนึ่งในองครักษ์โมฆะกล่าวพึมพำ “เดิมทีข้าคิดว่าการที่นายน้อยส่งเรามาที่นี่ เพราะเขามั่นใจในความสามารถของพวกเรา แต่พอลองคิดดูแล้ว ดูเหมือนเราจะประเมินเป้าหมายต่ำไปจริง ๆ…”
หลูเฉินกล่าวอย่างเฉยเมย “เราไม่ได้ทำอะไรผิด ทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป้าหมายนั้นรับมือได้ยากกว่าที่นายน้อยคาดไว้”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้น “แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในเมื่อนายน้อยมอบความไว้วางใจให้เราทำภารกิจนี้ เราต้องทำมันให้สำเร็จ! แม้ว่าเราจะต้องตายก็ตาม!”
องครักษ์โมฆะอีกสามคนตกตะลึง สีหน้าหนักอึ้ง ขณะเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่หลูเฉิน พวกเราจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ภารกิจสำเร็จอย่างแน่นอน!”
แกรก! แกรก!
สิ้นคำ เสียงบางอย่างแตกหักดังแว่วมา “ป้ายชะตาวิญญาณของศิษย์น้องเกาหลิน… ใกล้แตกสลายแล้ว”
…
ภายในมหาค่ายกลสยบมาร
เกาหลินนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น พยายามไขความลับของค่ายกลด้วยพลังทั้งหมดที่มี ทันใดนั้น ร่างกายก็แข็งทื่อ เลือดทะลักออกมาจากดวงตาราวกับสายน้ำ จากนั้นพวกมันก็ระเบิดอย่างรุนแรง!
“อ้าก!!!” ความเจ็บปวดเสียดแทงไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดเล็กน้อยนี้ หาได้สำคัญสำหรับเขาไม่ แต่ดวงตาที่ถูกทำลาย ทำให้เกาหลินกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช
เพราะทุกสิ่งที่เฝ้าฝึกฝนมา ล้วนขึ้นอยู่กับดวงตาคู่นี้ ทว่าพวกมันกลับถูกทำลาย ทำให้การบ่มเพาะสูญสิ้น แล้วจะให้เขารักษาความสงบในใจได้อย่างไร
“ศิษย์พี่เกาหลิน!”
“บัดซบ! นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อองครักษ์โมฆะทั้งสามคนที่ต้านทานปราณกระบี่เห็นสิ่งนี้ พวกเขาตกใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นดวงตาของเกาหลินถูกทำลาย หัวใจบีบรัดอย่างรุนแรง ความหวาดกลัวถาโถมเข้ามา
“บัดซบ! ไอ้สารเลวนั่นสร้างผังอักขระยันต์ที่มีความหมายว่า ‘ไม่มีที่สิ้นสุด’ ภายในค่ายกล ทำให้ค่ายกลประกอบไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอันไร้ขอบเขต ทำให้ข้าตกลงไปลึกขึ้นและถูกผลสะท้อนกลับ!” ดวงตาของเกาหลินมีเลือดไหลออกมาและกลวงเป็นหลุม ใบหน้าซีดขาวอย่างน่าสยดสยอง แม้แต่เสียงก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว
“ไม่มีที่สิ้นสุด! นั่นเป็นหนึ่งในมรดกลึกลับที่สุดในภพเซียน!”
“เป็นไปได้ไหมว่า ผู้ที่สร้างค่ายกลนั้นคือทายาท…แห่งเขาเทพพยากรณ์?”
เกาหลินรู้สึกตกใจ จนเกือบเสียสติ เขาคิดว่าว่าผู้ที่สร้างค่ายกลไม่ใช่เฉินซีเพราะเกาหลินไม่เชื่อว่าเป้าหมายในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์
“ไม่มีที่สิ้นสุด… นั่น…คงเป็นไปไม่ได้หรอก…’
“นั่นคือเขาเทพพยากรณ์…”
“หรือว่าผู้สืบทอดแห่งเขาเทพพยากรณ์กำลังช่วยเหลือเป้าหมาย…?”
องครักษ์โมฆะอีกสามคนตกใจอย่างมาก พวกเขาเติบโตมาในตระกูลจั่วชิวตั้งแต่เด็ก จึงตระหนักดีถึงนิกายทั้งหมดในภพเซียน ดังนั้นจะไม่รู้จักสุดยอดนิกายที่ลึกลับในภพเซียนได้อย่างไร?
ในตอนนี้ เมื่อได้ยินเกาหลินกล่าวว่า ‘ไม่มีที่สิ้นสุด’ มันทำให้นึกถึงนิกายที่ลึกลับและยิ่งใหญ่ที่สุดในสามภพทันที
ชู่ว! ชู่ว! ชู่ว!
ทันใดนั้น ปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทางยิ่งทรงพลังมากขึ้น และหนาแน่นมากขึ้น มันเหมือนคลื่นจำนวนมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา ราวกับกองทัพที่ทรงพลัง!
การโจมตีครั้งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าครั้งก่อน!
“มารดามัน! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราตายแน่!”
“ศิษย์พี่เกาหลิน เราต้องตัดสินใจแล้ว!”
“ใช่แล้ว! เราสามคนจะสู้สุดชีวิต เพื่อสร้างเส้นทางให้ท่านออกไป ศิษย์พี่เกาหลิน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ท่านต้องแจ้งเรื่องนี้กับศิษย์พี่หลูเฉินให้ได้!”
องครักษ์โมฆะทั้งสามรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ และคำรามด้วยความโกรธทันที ขณะมองเกาหลินด้วยท่าทางแน่วแน่
“พวกเจ้าทุกคน…” เกาหลินเปิดปากด้วยความตั้งใจที่จะกล่าว
“พวกข้าตัดสินใจแล้ว” หนึ่งในนั้นกัดฟันและตะโกนอย่างสุดเสียง หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็มองอีกสองคนที่อยู่เคียงข้างตน แต่ละคนเห็นความตั้งใจของกันและกัน
ในช่วงเวลาถัดมา จู่ ๆ กระแสพลังผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากภายในร่างกาย เหมือนภูเขาไฟจำนวนมากกำลังจะระเบิดภายในร่างกายของพวกเขา
“หยุดนะ!!!” เกาหลินคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยน้ำเสียงที่บ้าคลั่ง
แต่ก่อนที่เสียงจะเลือนหายไปจากอากาศ คลื่นเสียงโครมครามก็ดังก้องอยู่ข้างหู และกระแสลมที่น่าสะพรึงกลัวก็พัดไปรอบ ๆ ราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ
โครม! โครม! โครม!
มหาค่ายกลสยบมารสั่นสะเทือน และเกิดเสียงระเบิดชั่วขณะ จากนั้นมันก็หายไปในความว่างเปล่าพร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง
มันเป็นการระเบิดตัวเองของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับทั้งสามคน ดังนั้นกระแสพลังที่รุนแรงและปั่นป่วนที่เกิดจากมัน ไม่เพียงแต่ทำให้มหาค่ายกลสยบมารพังทลายออกเท่านั้น มันยังแพร่กระจายไปยังบริเวณโดยรอบ ทำให้ภูเขา ต้นไม้ และสิ่งมีชีวิตในระยะสองพันห้าร้อยลี้ถูกบดขยี้เป็นผุยผง
ร่างของเกาหลินถูกพัดพาไปด้วยแรงไร้รูปร่างและกระเด็นออกไปไกลถึงสองพันห้าร้อยลี้ ชายหนุ่มรู้ว่านี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ศิษย์น้องทั้งสามได้กระทำ ก่อนจะเสียชีวิต
“บัดซบเอ๊ย!!!!” หลังจากล้มลงกับพื้น เกาหลินเงยหน้าขึ้นและคำรามด้วยความโกรธ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ความโกรธแค้น และความเกลียดชังอันไร้ขอบเขต ดังก้องไปทั่วบริเวณ
ในฐานะอัจฉริยะที่ได้รับการส่งเสริมของตระกูลจั่วชิว ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งขององครักษ์โมฆะ ตนได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ดีที่สุด ใช้โอสถที่ดีที่สุด และได้รับการฝึกฝนที่โหดร้ายที่สุดในภพเซียนมาตั้งแต่อายุยังน้อย
พวกเขาเป็นดั่งเครื่องจักรสังหาร ประหนึ่งดาบคมกริบในมือของจั่วชิวคง ซึ่งเป็นหนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้า ตัวตนมักถูกเก็บซ่อนไว้ในกล่องอยู่เสมอ และไม่เคยดื่มเลือดของศัตรูเลยแม้แต่น้อย
แต่ในตอนนี้ สหายมากมายกลับล้มตายในภารกิจแรก ดังนั้นเกาหลินผู้ที่เคยภาคภูมิใจในตระกูลจั่วชิว และภูมิใจในการเป็นสมาชิกของหน่วยองครักษ์โมฆะจะสามารถยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างไร
“อย่ากังวลไปศิษย์น้อง ข้าเกาหลินจะให้ศัตรูชดใช้เป็นร้อยเท่าอย่างแน่นอน!” เกาหลินหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันกล่าวทีละคำ
“น่าเสียดาย เจ้าไม่สามารถทำมันให้สำเร็จได้” ทันใดนั้น เสียงที่นุ่มนวลและไม่แยแสลอดเข้ามาในหูของเกาหลิน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหันศีรษะไปรอบ ๆ
แม้จะตาบอด แต่เกาหลินก็ยังมีญาณมหาเทวะอมตะ ร่างสูงใหญ่พลันปรากฏขึ้นภายในญาณมหาเทวะอมตะของเขา และนั่นคือเป้าหมายในครั้งนี้ เฉินซี!
เมื่อรู้ว่าเป็นเฉินซี เกาหลินก็หันหลังกลับและหนีไปอย่างไม่ลังเล ทั้งดูแน่วแน่และเด็ดขาดมาก
น่าเสียดาย ทันทีที่หันกลับมาชายหนุ่มสังเกตเห็นว่า เส้นทางหลบหนีของตนถูกปิดผนึก โดยเหลี่ยปิงหานแล้ว หัวใจของเขาดิ่งลงทันทีเมื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้ และจิตใจก็สับสนอลหม่าน
“สหายของเจ้าไม่มาช่วยเหลือเจ้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกมันตั้งใจเฝ้าที่สะพานจรัสแสงเมฆา เพราะกังวลว่าข้าจะฉวยโอกาสหนีไป กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้เจ้ามันตัวคนเดียว และไม่มีการสนับสนุนใด ๆ เจ้าหนีไม่รอดแล้ว”
เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย และรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เพราะไม่คาดคิดว่าศัตรูจะโหดเหี้ยมถึงขนาดระเบิดตัวเอง เป็นเหมือนกลุ่มตัวประหลาดที่ไม่รู้ว่าชีวิตและความตายคืออะไร
“หึ! แม้เจ้าจะฆ่าข้า แล้วเจ้าคิดว่าจะสามารถไปถึงสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้หรือ? ช่างเป็นความฝันที่โง่เขลา…” เกาหลินกำหมัดขวาแน่นอย่างเงียบ ๆ ขณะกล่าว
“จู่โจม!” ก่อนกล่าวจบ เฉินซีก็จู่โจมอย่างดุเดือด ในเวลาเดียวกัน ร่างของเหลี่ยปิงหานก็ทะยานออกไป และฟาดฝ่ามือไปที่ศีรษะของเกาหลินอย่างแรง!
การโจมตีครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่ากะทันหันมาก และเกาหลินก็คาดไม่ถึง! ประกอบกับความจริงที่ว่าดวงตาถูกทำลาย การบ่มเพาะของเขาถือได้ว่าพิการ ชายหนุ่มจึงไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที
โพล๊ะ!
สิ้นเสียง หัวของเกาหลินแตกออกจากกันโดยสมบูรณ์ จากการโจมตีด้วยฝ่ามือของเหลี่ยปิงหาน ทำให้เลือดและเศษสมองพุ่งกระจายไปในอากาศ
ในทางกลับกัน เฉินซียื่นมือออกและใช้ศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการ ซึ่งกักขังมือขวาของเกาหลินที่กำแน่นไว้โดยตรง!