บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1119 การเยี่ยมเยี่ยนและการเชื้อเชิญ
บทที่ 1119 การเยี่ยมเยี่ยนและการเชื้อเชิญ
บทที่ 1119 การเยี่ยมเยี่ยนและการเชื้อเชิญ
ภพเซียนไม่ได้เป็นตัวแทนของทั้งสามภพ
เจ็ดตระกูลโบราณ สี่ราชันเซียน และแม้แต่กองกำลังของศาลเซียนก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนของทั้งสามภพได้เช่นกัน
เนื่องจากมีภพมนุษย์ ยมโลก ภพพุทธองค์ ภพมังกร และดินแดนลึกลับอื่น ๆ อีกมากมายอยู่ท่ามกลางทั้งสามภพ
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ สามนิกายที่ลึกลับและยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ในภพทั้งสาม
ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตมากมายและภพอีกนับไม่ถ้วนในภพทั้งสาม น้อยคนที่จะรู้จักนิกายที่ลึกลับและยิ่งใหญ่ทั้งสามนี้ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่รู้จักชื่อของนิกายลึกลับทั้งสามนี้กลับน้อยยิ่งกว่า
แม้จะเป็นมหาอำนาจในภพเซียน การมีอยู่ของนิกายทั้งสามกลับเป็นสิ่งต้องห้าม ดังนั้นไม่มีใครกล่าวถึงเรื่องนี้ แม้จะรู้ก็ตาม
ชายหนุ่มมีความมั่นใจมากกว่าเจ็ดส่วนว่าเฉินซีอาจเป็นผู้สืบทอดของเขาเทพพยากรณ์!
แม้จะไม่สามารถได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากเหลียงปิงหรือเหลียงเทียนเหิงได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นเพราะคำว่า ‘ข้อห้าม’
แน่นอน เหลียงเริ่นก็ทราบเช่นเดียวกันว่า มีเพียงไม่กี่คนในภพเซียนเท่านั้นที่สามารถเดาตัวตนของเฉินซีได้อย่างราง ๆ!
เพราะถ้าทุกคนรู้ว่าคนผู้นี้มาจากเขาเทพพยากรณ์ แล้วตระกูลอินจะกล้าล่วงเกินได้อย่างไร?
ถึงอย่างไร ตระกูลอินก็เกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลอินยังไม่สามารถตระหนักถึงความสำคัญของเฉินซีได้ สุนัขเฒ่าอินแสร้งทำเป็นไม่รู้หรือไม่รู้จริง ๆ กันแน่
ยิ่งเป็นเช่นนี้ เหลียงเริ่นยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น เพราะในเมื่อเฉินซีมีตัวตนเช่นนั้น ทำไมถึงเก็บเป็นความลับมาตลอด?
…
ทำไมถึงเก็บเป็นความลับน่ะหรือ?
เฉินซีรู้ดี แม้ตนจะไม่สนใจข้อห้ามในมรดก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การจัดการปัญหาของตัวเอง นี่คือสิ่งที่จี้อวี๋บอกไว้ และเป็นสิ่งที่ศิษย์พี่หญิงหลียางยืนกรานมาโดยตลอด
เพราะนี่คือความคาดหวังที่พวกเขามีต่อเฉินซี!
ถ้าต้องการที่จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริง
ถ้าต้องการขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของมหาเต๋า
ถ้าต้องการตั้งหลักในภพเซียน
ถ้าต้องการมองลงยังโลกด้วยความเย้ยหยัน
หากมัวแต่พึ่งพาพลังจากภายนอก เช่นนั้นคงไม่อาจบรรลุความยิ่งใหญ่ได้!
ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่เฉินซีได้คิดอย่างถี่ถ้วนในขณะยังอยู่ในราชวงศ์ซ่ง และตั้งใจพึ่งพาพลังของตัวเอง เพื่อคลี่คลายภาระหน้าที่อันหนักอึ้งบนบ่าให้สำเร็จ!
สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาของเขา และต้องจัดการมันด้วยมือของตนเองเท่านั้น ถึงจะสามารถปลดปล่อยความโกรธแค้นและความคับข้องที่สะสมอยู่ในใจได้อย่างแท้จริง!
หลังจากนั้น เฉินซีก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก เหลียงเริ่นก็ไม่ดึงดันขุดคุ้ยต่อ
สายตาของทั้งสองจับจ้องไปที่ผืนผ้าไหมสีเขียวอ่อนอีกครั้ง ซึ่งบันทึกรายชื่อผู้เยี่ยมยุทธ์หนึ่งพันอันดับแรกในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า
เฉินซีสังเกตเห็นว่า อันดับของเจียงจูหลิวได้ขึ้นสู่อันดับที่ 301 ในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า และถัดไปคือกู่เยวหมิง อยู่ในอันดับที่สามร้อยเก้าสิบสอง
อันดับของอินเหมียวเมี่ยวอยู่ต่ำกว่ากู่เยวหมิง นางอยู่ในอันดับห้าร้อยสี่สิบหก อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของเหลียงเริ่น อินเหมียวเมี่ยวได้ก้าวหน้าอีกครั้งเมื่อเดือนที่แล้ว และนางได้เข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง ดังนั้น อันดับล่าสุดของนางในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าก็คงจะสูงกว่านี้
ในทางกลับกัน อันดับของเหลียงเริ่นอยู่ค่อนข้างต่ำ อันดับแปดร้อยสามสิบหก แม้อันดับนี้จะดูเหมือนปลอดภัย แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงของสถานที่ต่าง ๆ เช่น ภพพุทธองค์ ภพมังกร และภพวิหคอมตะจะเข้าร่วมในการทดสอบนี้เช่นกัน ซึ่งพวกเขาจะยึดอันดับบางอันดับอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ มันจึงสร้างภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อเหลียงเริ่น และอาจถึงขั้นถูกผลักออกจากการจัดอันดับ!
สำหรับเฉินซี ชายหนุ่มไม่ได้กังวล แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในอันดับเก้าร้อยเก้าสิบเก้า แต่เขาได้ก้าวสู่ขอบเขตเซียนลึกลับแล้ว และสามารถสังหารองครักษ์โมฆะสิบสองคนในระหว่างทาง องครักษ์โมฆะเป็นดั่งทหารไร้ซึ่งความกลัวตายของตระกูลจั่วชิว แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขา ก็สามารถได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในห้าร้อยอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เฉินซีจะกังวลเกี่ยวกับการถูกกำจัดได้อย่างไร?
เหลียงเริ่นดูเหมือนจะตระหนักเช่นกันว่า อันดับของตนนั้นค่อนข้างอันตราย และครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก่อนจะกล่าว “ตามข้อมูลที่ข้าได้รับมา ในบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ของคนรุ่นเยาว์ชั้นนำที่มาจากภพเซียน มีผู้เยี่ยมยุทธ์เกือบสามสิบคนมาจากภพพุทธองค์ ในขณะที่ภพมังกรและภพวิหคอมตะต่างก็นำผู้เยี่ยมยุทธ์มามากกว่ายี่สิบคน เมื่อรวมกับผู้เยี่ยมยุทธ์ของดินแดนลึกลับแล้ว มีจำนวนมากกว่าสองร้อยคน”
เฉินซีขมวดคิ้ว “เช่นนั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีอันดับต่ำกว่าแปดร้อยอันดับแรกในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าอาจถูกคัดออก?”
เหลียงเริ่นกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ใช่ แม้ว่าภพพุทธองค์ ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และดินแดนอื่น ๆ จะไม่น่ากลัวเท่าภพเซียน แต่ก็ยังคงเป็นภพชั้นนำในสามภพ แม้จะมาเพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนล้วนเป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ในหมู่ผู้เยี่ยมยุทธ์ ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อกล้าที่จะมา ก็ต้องมั่นใจในความสามารถที่จะเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามาก มิฉะนั้นคงขายหน้าหากถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรก”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยและมองไปที่เฉินซี “อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ได้กำจัดง่าย ๆ หรอกนะ”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นก็เข้าใจในทันทีว่าเหลียงเริ่นอาจปกปิดความสามารถบางอย่าง ทำให้ชายหนุ่มมีความมั่นใจที่จะกล่าวคำเช่นนี้
แน่นอนว่า เหลียงเริ่นก็ให้คำตอบในประโยคต่อมา “ตั้งแต่ข้าพ่ายแพ้ให้กับอินเหมียวเมี่ยวในวันนั้น ข้าได้พบกับปัจจัยสำคัญในการบรรลุ ที่ผ่านมา ข้าอดกลั้นมาตลอดและเลือกที่จะไม่ฝ่าเข้าไป แต่ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่จะต้องเลือกแล้ว”
เฉินซีหยอกล้อ “หรือว่าเจ้าตั้งใจจะทำตัวอ่อนแอ เพื่อเอาชนะผู้แข็งแกร่งในการทดสอบตั้งแต่รอบแรก?”
เหลียงเริ่นหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ถอนหายใจ “มันช่วยไม่ได้ วันนั้นข้าเสียหน้าจากการพ่ายแพ้ให้กับอินเหมียวเมี่ยว ดังนั้นข้าต้องกู้หน้ากลับคืนมาในระหว่างการทดสอบของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มตบไหล่เฉินซีแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้สึกโล่งใจที่เจ้ามาถึงอย่างปลอดภัย มีเวลาอีกเจ็ดวันก่อนการทดสอบจะเริ่มขึ้น ดังนั้นข้าจะใช้เวลานี้เข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ และจะทะลวงไปสู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง ดังนั้นหากเจ้ามีคำถามใด ๆ จงไปหาผู้อาวุโสเถี่ยชิวอวี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนละโมบ แต่ไม่ใช่คนเลว”
เฉินซียิ้ม “เข้าใจแล้ว เจ้าไปเถอะ”
หลังจากที่เหลียงเริ่นจากไป เฉินซีก็กลับไปที่ห้องของตนเช่นกัน จากนั้นเขาพักผ่อนสักครู่ก่อนจะเริ่มทำสมาธิ
ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปในโลกแห่งดารา เพราะเหลือเวลาอีกเพียงเจ็ดวันก่อนการทดสอบจะเริ่มขึ้น และในฐานะผู้นำทางของโถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปทักษิณา เถี่ยชิวอวี้มีหลายสิ่งที่ต้องสอนพวกเขาในช่วงเวลานี้ หากเลือกเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะภายในโลกแห่งดารา เขาคงจะพลาดหลายสิ่งหลายอย่าง
…
ในเวลาเดียวกัน ภายในโถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปรัตติกาล
ที่นี่แตกต่างจากโถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปอื่น ๆ เนื่องจากมันเป็นหนึ่งในสี่มหาทวีป พื้นที่ภายในโถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปรัตติกาลทับซ้อนกันเป็นชั้น ๆ และแยกออกเป็นสรวงสวรรค์ขนาดเล็กจำนวนมาก
ทั้งหมดนี้เตรียมไว้สำหรับศิษย์ของทวีปรัตติกาลที่เข้าร่วมการทดสอบเพื่อคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
ภายในสรวงสวรรค์แห่งหนึ่ง มีลานกว้างเหมือนผืนป่า มีภูเขาเทียม ธารน้ำไหล ดอกไม้ และพืชนานาพันธุ์ สภาพแวดล้อมค่อนข้างเงียบสงบและสวยงาม
มู่หลิงหลงนั่งอยู่หน้าโต๊ะหิน เท้าคางมองหญิงสาวสวยที่สวมมงกุฎขนนกและชุดที่ดูธรรมดาด้วยสายตางุนงง ราวกับมีบางอย่างถ่วงอยู่ในใจของนาง จนรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
หญิงสาวคนนั้นคือจั่วชิวเคอ นางสังเกตเห็นเหมือนมู่หลิงหลงกำลังเหม่อลอย แต่นางก็ยังหัวเราะเบา ๆ ด้วยเสียงที่ชัดเจน “พี่ใหญ่ของข้าได้ลงโทษราชันเซียนลิ่นฮ่าวแล้ว หากเจ้ายังไม่พอใจ ไว้ข้าจะไปที่ตำหนักราชันเซียนแห่งทวีปสันติบูรพาพร้อมกับเจ้าในอนาคต และเราจะทำลายล้างที่นั่น จนกว่าเจ้าจะระบายความโกรธเกรี้ยวออกมาจนหมดสิ้น”
หากมีใครได้ยินนางเข้าละก็ กรามของคน ๆ นั้นจะต้องกระแทกพื้นอย่างแน่นอน แต่มู่หลิงหลงไม่ได้คิดมาก เพราะไม่ว่านางจะไม่ต้องการสนใจจั่วชิวเคอมากแค่ไหน นางก็ต้องยอมรับว่าในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลจั่วชิว และเป็นน้องสาวของจั่วชิวคง หนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้า จั่วชิวเคอจึงมีคุณสมบัติที่จะกล่าวคำดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม มู่หลิงหลงไม่ได้สนใจ เพราะหากนางต้องการเช่นนั้น นางก็สามารถทำมันให้สำเร็จได้เอง แล้วมีความจำเป็นอะไรที่ต้องยืมมือคนของตระกูลจั่วชิว?
“โอ้ งั้นข้าคงต้องขอบคุณเจ้าล่วงหน้าแล้ว” มู่หลิงหลงตอบอย่างเย้ยหยัน
ความโกรธวูบวาบผ่านส่วนลึกของดวงตาของจั่วชิวเคอ แต่นางก็หัวเราะเบา ๆ ขณะกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่ครั้งนี้เพื่ออธิบายให้เจ้าเข้าใจ การกระทำของราชันเซียนลิ่นฮ่าวในวันนั้นมุ่งเป้าไปที่เฉินซีเท่านั้น ไม่ใช่เจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ใส่ใจ เราจะกลายเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในอนาคต ดังนั้นเราควรดูแลซึ่งกันและกัน”
“เฉินซี?”
คิ้วที่สวยงามของมู่หลิงหลงเลิกขึ้น ในขณะที่นางนึกถึงคำแนะนำของญาติผู้พี่ของนาง นางจึงแค่กล่าวว่า “พี่ชายของเจ้าอธิบายเรื่องนี้กับลูกพี่ลูกน้องของข้าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก”
จั่วชิวเคอพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เหลือเวลาอีกไม่มากก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น ข้าต้องกลับไปเตรียมตัวก่อน ถ้าอย่างนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
ขณะที่กล่าว จั่วชิวเคอก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วหันหลังและจากไป
“เฮ้ ข้าจำได้ว่าเจ้าก็เหมือนกับข้า และเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้เพื่อเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าด้วยซ้ำ เจ้ากำลังเตรียมอะไรอยู่หรือ? เจ้าตั้งใจจะเข้าร่วมการทดสอบทั้งสามรอบจริง ๆ? ด้วยวิธีนี้เราอาจจะเป็นศิษย์ร่วมรุ่นกันไม่ได้” มู่หลิงหลงหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ และถามด้วยคำถามที่ดูไร้เดียงสา
ความหมายที่แฝงเบื้องหลังคำกล่าวของนางก็คือ จั่วชิวเคอไม่ควรคิดว่านางสามารถยืนอย่างภาคภูมิต่อหน้ามู่หลิงหลง ด้วยอันดับที่หนึ่งพันในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า เพราะถึงอย่างไร นางยังคงต้องพึ่งพาอำนาจของตระกูล เพื่อเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เพราะหากนางเข้าร่วมในการทดสอบ นางจะถูกต้องคัดออกตั้งแต่รอบแรก!
ร่างของจั่วชิวเคอแข็งทื่อ และเข้าใจความหมายที่แฝงในคำกล่าวของมู่หลิงหลง ความโกรธสุมอยู่ในอก แต่ไม่ได้กล่าวอะไรอีกและจากไปอย่างเร่งรีบ
ในฐานะทายาทสายตรงของตระกูลจั่วชิว และลูกสาวคนสุดท้องของผู้นำคนปัจจุบัน นางเป็นเหมือนองค์หญิงน้อย สถานะของนางไม่ได้ด้อยไปกว่ามู่หลิงหลงเลย ถ้าไม่ใช่เพราะนางยังจำคำสั่งของพี่ชายได้ นางคงกลายเป็นศัตรูกับมู่หลิงหลงทันทีเมื่อได้ยินคำกล่าวเยาะเย้ยเช่นนี้
“ฮึ่ม! สาวน้อยคนนี้ช่างเย่อหยิ่งและยโสโอหังเสียจริง ด้วยการมาเยี่ยมก็ถือว่าข้าไว้หน้านางมามากพอแล้ว แต่นางกลับได้คืบจะเอาศอก หากไม่ใช่เพราะเราทั้งคู่เป็นลูกหลานของตระกูลโบราณ วันนี้ข้าคงจะมอบบทเรียนให้แก่นางแล้ว!”
หลังจากที่จั่วชิวเคอเดินออกจากโถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปรัตติกาล ใบหน้ารูปไข่ที่สวยงามของนางก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมน สายตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
“คุณหนู ข้าได้ส่งคำเชิญให้อินเหมียวเมี่ยวของตระกูลอินมาพบท่านในคืนนี้แล้ว นอกจากนั้น เฉินซีเข้าสู่โถงวิญญาณยุทธ์ของทวีปทักษิณาเมื่อราวสองเค่อที่แล้ว” ชายหนุ่มผิวเข้มที่มีท่าทางเชื่อใจได้ดูเหมือนจะรออยู่ที่นอกโถงวิญญาณยุทธ์มาสักพักแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าและกล่าวด้วยกระแสปราณเมื่อสังเกตเห็นจั่วชิวเคอเดินออกมาจากห้องโถง