บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1128 ดอกไม้ปีศาจมายา
บทที่ 1128 ดอกไม้ปีศาจมายา
บทที่ 1128 ดอกไม้ปีศาจมายา
โฮกกกก!
สัตว์ร้ายทั้งสองต่อสู้กัน ร่างมหึมาเข้าปะทะและเปล่งเสียงกึกก้อง ทำให้เกิดคลื่นจำนวนมากพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าในบึงสีแดงเลือดในระยะยี่สิบห้าลี้
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด รูปลักษณ์ของสัตว์ร้ายทั้งสองค่อนข้างแปลกประหลาด หนึ่งในนั้นถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีเงินบิดเบี้ยวและแหลมคม หัวเหมือนเสือดาว ลำตัวที่ยาวกว่าสิบสองจั้งนั้นว่องไวมาก เมื่อมันเคลื่อนที่ก็เหมือนกับปลาที่แหวกว่ายทวนกระแสน้ำ
ส่วนสัตว์ร้ายอีกตัวมีหนวดหนาและยาวสิบหกเส้นดูเหมือนแส้สีดำ หัวเป็นรูปสามเหลี่ยม มันส่งเสียงคร่ำครวญแปลกประหลาด ฟังดูเหมือนเสียงร้องของทารก ทำให้มันดูสยดสยองเป็นพิเศษ
“กิเลนเสือดาวกับสัตว์อสูรวิญญาณครวญ!”
เฉินซีจำต้นกำเนิดของสัตว์อสูรจักรวาลทั้งสองตัวนี้ได้ในทันที ยิ่งไปกว่านั้น เขาสามารถระบุความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายทั้งสองนี้ได้อย่างชัดเจน พวกมันอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง และมีพลังต่อสู้ที่น่าเกรงขาม อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับผู้เยี่ยมยุทธ์หนึ่งพันอันดับแรกในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า พวกมันกลับด้อยกว่าเล็กน้อย
แน่นอนว่า สำหรับความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายทั้งสอง ไม่อาจข่มขวัญเฉินซีได้แม้แต่น้อย
ดังนั้นในพริบตาต่อมา ญาณมหาเทวะอมตะจึงเบนไปยังก้อนหินสีดำที่อยู่ในระยะไกล แสงของสมบัติที่เล็ดลอดออกมาจากรอยแตกของก้อนหิน ยังสามารถเห็นได้ราง ๆ และดึงดูดใจอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องแปลกใจคือ เขาไม่สามารถมองรูปลักษณ์ที่แท้จริงของสมบัติได้
แปลกยิ่งนัก หรือว่ามันจะเป็นสมบัติล้ำค่าลึกลับ?
ชายหนุ่มครุ่นคิดในใจขณะที่ดวงตาบนหน้าผากเปิดออก ดวงตานั้นมีดำสนิทและลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง คล้ายความลับของจักรวาลมากมายจะสะท้อนอยู่ภายในม่านตาของมัน นับเป็นสุดยอดพลังอิทธิฤทธิ์ที่สืบทอดมาจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก เนตรเทวะแห่งความจริง!
ชู่ว!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉินซีจะไปถึงก้นบึ้งของมันด้วยเนตรเทวะแห่งความจริง จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากด้านหลังก้อนหินสีดำ และคว้าสมบัติที่อยู่ในระหว่างรอยแตกบนก้อนหินอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด!
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงและตกตะลึงเล็กน้อย เนื่องจากไม่คาดคิดว่าจะมีคนซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินเพื่อรอโอกาส ทั้งยังรอดพ้นจากการตรวจจับของญาณมหาเทวะอมตะได้!
สถานการณ์เช่นนี้ยากจะเกิดขึ้นกับเฉินซี นับตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะในภพมนุษย์ ด้วยความช่วยเหลือของรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีและชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณได้ถูกขัดเกลาจนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ไร้เทียมทาน แต่ยังเทียบได้กับบุคคลที่มีขอบเขตบ่มเพาะที่สูงกว่าด้วย
ตอนนี้เขาอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น ซึ่งความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณย่อมแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน มันสามารถครองตำแหน่งสูงสุดในหมู่ผู้เยี่ยมยุทธ์ของขอบเขตเซียนลึกลับ!
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น แท้จริงแล้วกลับมีคนที่สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากญาณมหาเทวะอมตะได้ ดังนั้นเฉินซีจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรู้สึกตกใจ และตระหนักเป็นอย่างดีว่า คนผู้นี้อาจบ่มเพาะเคล็ดวิชาลับที่ทรงพลัง ที่สามารถเก็บงำกลิ่นอายได้
การค้นพบนี้ ทำให้ชายหนุ่มระแวดระวังมากยิ่งขึ้น เพราะบุคคลที่สามารถเข้าสู่การทดสอบรอบที่สองได้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ของภพเซียน ภพพุทธองค์ ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกองกำลังชั้นนำ ดังนั้นเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่พวกเขาฝึกฝนและบันทึกลับที่มีในครอบครองย่อมไม่ธรรมดา
ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังมากขึ้น!
ความคิดเหล่านี้แวบเข้าในชั่วพริบตา อึดใจต่อมา เฉินซีเห็นร่างนั้นยื่นมือเข้าไปในรอยแตกระหว่างก้อนหิน และตั้งใจจะคว้าสมบัติไป
ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มที่ดูดุร้ายและแข็งแกร่ง ถ้าจำไม่ผิด ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นโม่ฉีหลงที่อยู่ในอันดับที่เจ็ดร้อยเก้าสิบสาม และเป็นศิษย์ที่มาจากหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณอันยิ่งใหญ่
อย่างไรก็ตาม เมื่อโม่ฉีหลงกำลังจะคว้าสมบัติได้สำเร็จ แสงสว่างพลันพุ่งออกมา และกลายเป็นปากเปื้อนเลือดกลืนกินร่างของโม่ฉีหลงเข้าไป โดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะขัดขืน!
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่โม่ฉีหลงปรากฏตัว จนถึงช่วงเวลาที่แสงพุ่งออกมาจากสมบัติ และกลืนกินชายหนุ่มเข้าไปทั้งตัว ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ รวดเร็วจนถึงจุดที่ทำให้นัยน์ตาของเฉินซีหดเกร็ง มุมปากกระตุกอย่างช่วยไม่ได้
กร๊อบ! กร๊อบ!
คลื่นเสียงของกระดูกและเนื้อถูกบดขยี้ ดังก้องออกมาจากภายในปากเปื้อนเลือด ทำให้หัวใจของชายหนุ่มเย็นเยียบ เห็นได้ชัดว่าโม่ฉีหลงนั้นตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ในขณะเดียวกัน รูปลักษณ์ที่แท้จริงของปากเปื้อนเลือดนั้นก็ปรากฏขึ้นด้วยการมองเห็นของเนตรเทวะแห่งความจริง มันเป็นดอกไม้หลากสีสูงถึงสิบสองฉื่อ ทั้งงดงามและลึกลับ ทว่าใบหน้าดุร้ายและบิดเบี้ยวจำนวนมากปรากฏอยู่บนกลีบดอกและลำต้นของมัน ทำให้มันน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
ดอกไม้ปีศาจมายา!
น่าแปลกที่เฉินซีจำได้ว่า ดอกไม้ที่งดงามต้นนี้ เป็นดั่งสิ่งแปลกปลอมในจักรวาล มันมีสติปัญญา มีทักษะในการปลอมตัว และอันตรายมาก ดอกไม้ปีศาจมายาที่โตเต็มวัยสามารถหลอกลวงการตรวจจับของเซียนปราชญ์ได้!
“ฮ่า ฮ่า! ในที่สุดปลาก็กินเหยื่อแล้ว”
“โอ้ พวกคนที่มาแดนโลหิตในครั้งนี้ ไม่ระวังตัวเอาเสียเลย”
สิ้นเสียงพูด กิเลนเสือดาวและสัตว์อสูรวิญญาณครวญที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดในระยะไกลก็หยุดชะงักทันที จากนั้นร่างของพวกมันก็สว่างวาบ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีแดงเลือดกับชายหนุ่มที่มีปากแหลมคมและดวงตาแปลกประหลาด
“โอ้ นี่อาจเป็นศิษย์ของหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณอันยิ่งใหญ่ สายเลือดบริสุทธิ์และสูงส่ง เนื้อหนังก็เต็มไปด้วยโอสถเซียนและสมุนไพรมากมาย ถ้าข้าสามารถกินคนอย่างเขาได้อีกสักสองสามคน ข้าก็อาจจะบรรลุในการบ่มเพาะได้”
ในเวลาเดียวกัน ร่างของดอกไม้ปีศาจมายาสว่างวาบ และกลายเป็นหญิงสาวงดงามในชุดหลากสี นางมีหน้าอกและบั้นท้ายอวบอิ่ม มากด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจ ริมฝีปากสีแดงสดยังคงเคี้ยว เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาจากมุมปาก ทำให้นางเผยกลิ่นอายที่ลี้ลับออกมา
หลังจากนั้นดวงตาของนางก็เปิดขึ้น ในขณะที่ปากของนางเปิดออกอย่างไม่สามารถควบคุมได้
โครม!
จู่ ๆ แสงสีม่วงที่ส่องแสงระยิบระยับก็พุ่งออกมาจากภายในปากของหญิงสาวผู้งดงาม มันเปลี่ยนเป็นลำแสงสีม่วง มองเห็นร่างของโม่ฉีหลงได้ราง ๆ อยู่ภายในนั้น
เห็นได้ชัดว่าตราดาราม่วงของโม่ฉีหลงถูกเปิดใช้งาน และเคลื่อนย้ายเขาออกจากแดนโลหิตในช่วงเวลาก่อนจะเสียชีวิต กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชายหนุ่มถูกคัดออกจากการทดสอบรอบนี้แล้ว
“ช่างเป็นกับดักที่โหดเหี้ยมยิ่งนัก! ในตอนแรกกิเลนเสือดาวและสัตว์อสูรวิญญาณครวญต่อสู้กัน จงใจสร้างความปั่นป่วนเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อื่น จากนั้นดอกไม้ปีศาจมายาก็ปลอมตัวเป็นสมบัติเรืองแสงดึงดูดความโลภของเป้าหมายออกมา แล้วเหยื่อผู้โง่เขลาก็เดินเข้ามาเอง!”
เมื่อเฉินซีเห็นสิ่งนี้ ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าทั้งหมดนี้เป็นกับดัก! มันเป็นกับดักที่สัตว์อสูรจักรวาลสามตัววางไว้อย่างรอบคอบ!
ที่นี่ทุกคนล้วนเป็นนักล่า และในทำนองเดียวกัน ทุกคนก็เป็นเหยื่อเช่นกัน! คำกล่าวเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจของชายหนุ่มอีกครั้ง
“บัดซบ! เป็นเพราะตราดาราม่วงอีกแล้ว! ถ้าข้าสามารถกลืนกินวิญญาณของเจ้าเด็กนั้นได้ ข้าก็จะออกจากแดนโลหิตนี้ได้อย่างแน่นอน!” หญิงสาวร้องออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว สีหน้าของนางบิดเบี้ยว แสดงความขุ่นเคืองและโกรธแค้นออกมาอย่างหนาแน่น
“เหวยน่า อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ รีบมอบคลังสมบัติอมตะของเจ้าเด็กนั่นมาซะ!” ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเลือด ขมวดคิ้วแน่น
“ใช่แล้ว เจ้าได้กินเนื้อเจ้าเด็กนั่น สมบัติที่อยู่ภายในคลังสมบัติก็ควรถูกแบ่งระหว่างข้ากับพี่ใหญ่โม่ทา! และหากเจ้ากล้าซ่อนสิ่งใดไว้ อย่าได้ตำหนิข้า เหลยปินที่ไร้ความปรานี!” สัตว์อสูรวิญญาณครวญที่อยู่ใกล้ ๆ กลายร่างเป็นชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก กระแสเสียงเหมือนเสียงร้องไห้ของทารก ทั้งแหลมหูและน่ากลัวถึงขีดสุด
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หญิงสาวงดงามนามเหวยน่าก็ฟื้นคืนสติในทันที และกล่าวอย่างเย็นชา “ฮึ่ม! ข้าจำข้อตกลงระหว่างเราได้อย่างแน่นอน แต่อย่าลืมว่าเราต้องมอบของที่ริบมาได้ครึ่งหนึ่งให้กับวิญญาณนพเก้า เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ ถ้าเขาสังเกตเห็นว่าเจ้าสองคนปิดบังบางอย่างจากเขาละก็… ฮึ่ม!” แม้จะกล่าวไม่จบ แต่ความหมายเบื้องหลังคำกล่าวของนางก็ยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
“หยุดกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว รีบส่งมันมาซะ” ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเลือดที่ชื่อว่าโม่ทาขมวดคิ้ว
เหวยน่าดึงกำไลมิติในท่าทางที่ไม่เต็มใจออกมา
โม่ทามองมันอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมองเหวยน่าอย่างน่ากลัว จากนั้นกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “มีเพียงโอสถเซียนและวัตถุดิบเซียนบางส่วนในกำไลมิตินี้ ไม่มีอาวุธแม้แต่ชิ้นเดียว! เจ้าคิดจะหลอกลวงใคร!? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้วิญญาณนพเก้าทราบทันที ให้เขาจัดการกับนังสารเลวตะกละไม่รู้จักพออย่างเจ้า!”
เหลยปินพุ่งตัวไปข้างหน้าและคว้าคอของเหวยน่าโดยตรง ดวงตาแปลกประหลาดถูกปกคลุมไปด้วยประกายไร้ความปรานี “รีบมอบมันมาซะ! ตอนนี้แดนโลหิตได้กลายเป็นสนามทดสอบของเหล่ามนุษย์ชั่วช้าอีกครั้ง มันเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะทำกำไรก้อนโต หากเจ้าทำให้เราล่าช้า เจ้าจะสามารถรับผิดชอบได้หรือไม่?”
ในขณะที่กล่าว ชายคนนั้นก็เหวี่ยงมือฟาดร่างของเหวยน่าจนตกลงไปในบึง พร้อมกับแสดงสีหน้ารังเกียจออกมา
เหวยน่าลุกยืนขึ้นในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก สีหน้าของนางซีดขาว ใบหน้าเผยความแค้นอย่างไร้ขอบเขตออกมา แต่สุดท้ายนางก็ลดท่าทีและควักแหวนมิติออกมา ก่อนที่โยนมันไปในอากาศอย่างแรง “เอาไป!”
ดวงตาของโม่ทาและเหลยปินเป็นประกาย ทั้งสองพุ่งออกไปพร้อมกัน และยื่นมือเพื่อคว้าแหวนมิติ
แต่ทันใดนั้น สายฝนที่ละเอียดเหมือนขนโคก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าหมอกสีเทาหนาทึบปกคลุมไปทั่ว มันพร่ามัว อ่อนโยน และล่องลอยไปทั้งท้องฟ้า แต่เมื่อมือของโม่ทาและเหลยปินสัมผัสแหวนมิติ สายฝนที่ตกปรอย ๆ พลันแปรเปลี่ยนเป็นเม็ดฝนคมกริบดุจใบมีด ซึ่งพวกมันห่อหุ้มทั้งสองคนไว้!
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ฝนปรอย ๆ ที่พร่ามัวและอ่อนโยนราวกับภาพฝัน แต่ในเวลานี้มันกลับคมกริบและมีอำนาจสังหารถึงขีดสุด ในพริบตาเดียว ร่างของโม่ทาและเหลยปินก็ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เลือดพุ่งกระฉูดไปทั่วท้องฟ้าราวกับน้ำพุ บังเกิดเป็นฉากที่งดงาม แต่ก็น่าสยดสยองนัก
จนกระทั่งตอนที่ทั้งสองเสียชีวิต พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!
รูม่านตาของเหวยน่าขยายออก ปากของนางอ้ากว้าง จากการได้เห็นฉากอันน่าตกใจอย่างกะทันหัน ร่างกายงดงามแข็งทื่อราวกับกลายเป็นน้ำแข็ง วิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ความหวาดกลัวอย่างไร้ขอบเขตได้ปะทุขึ้นดุจภูเขาไฟ มันพลุ่งพล่านอยู่ภายในใจ ทำให้นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง
ครู่หนึ่งนางถึงสามารถหักห้ามเสียงตัวเองได้ เพราะคมกระบี่โบราณที่ไร้ความแวววาวได้จ่ออยู่ที่คอหอยของนางแล้ว กระบี่เล่มนั้นพวยพุ่งด้วยปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัว ทำให้นางขนลุกไปทั้งตัว
“ช่วยข้าทำบางอย่าง แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า เมื่อข้าออกจากแดนโลหิตนี้ไป” เฉินซีที่สวมชุดสีเขียว มีท่าทางสงบและไม่แยแสปรากฏตัวต่อหน้าเหวยน่า
“ตกลง!” เหวยน่าตอบตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพราะหลังจากที่นางได้เห็นฉากที่น่าตกใจนั้น นางจะกล้าหวังว่าจะโชคดีได้อย่างไร?
“คลายการปกป้องดวงวิญญาณของเจ้าออกซะ” เฉินซีกล่าวอย่างใจเย็น
“เจ้าคิดจะทำอะไร” เหวยน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ อย่างไรก็ตาม เมื่อนางเห็นเฉินซีขมวดคิ้ว นางก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ จนไม่กล้าลังเลอีกต่อไป และนางก็ทำตามอย่างเชื่อฟัง
เฉินซีแยกส่วนหนึ่งของตราประทับวิญญาณของตน และวางมันไว้ในดวงวิญญาณที่เปิดกว้างของเหวยน่า เพื่อตรวจสอบว่าเหวยน่ามีจิตคิดร้ายหรือไม่
นางจะไม่สามารถปลดตราประทับวิญญาณที่เขาวางไว้ในดวงวิญญาณของนางออกได้ เว้นแต่ว่าดวงวิญญาณของเหวยน่าจะแข็งแกร่งกว่า
นี่เป็นเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำในฟ้าดิน เรียกว่า ‘หยั่งรู้ดวงใจปทุม’ มันเป็นเคล็ดวิชาลับในการใช้ดวงวิญญาณ และเมื่อบ่มเพาะจนถึงระดับสูงสุด เพียงแค่คิดก็จะสามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด!