บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1129 วิหคหว่านมาร
บทที่ 1129 วิหคหว่านมาร
บทที่ 1129 วิหคหว่านมาร
ในเวลาเดียวกันกับที่เฉินซีสังหารกิเลนเสือดาวและสัตว์อสูรวิญญาณครวญ อันดับบนกำแพงแห่งแสงหน้าจัตุรัสของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน
อันดับที่หนึ่ง เจิ่นลู่
แต้มดารา 2,432 แต้ม
อันดับที่สอง จี้เซวียนปิง
แต้มดารา 1,706 แต้ม
อันดับที่สาม จ้าวเมิงลี่
แต้มดารา 1,694 แต้ม
…
ในสิบอันดับแรกนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก และเรื่องที่ไม่คาดคิดเพียงสิ่งเดียวก็คือ เฉินซีซึ่งอยู่ในอันดับที่เก้าก่อนหน้านี้ มีแต้มดาราเพียงห้าร้อยสิบสามแต้ม ทำให้ชายหนุ่มถูกผลักออกจากสิบอันดับแรกไปที่อันดับที่สิบเอ็ดในทันที
อันดับเดิมของเขาถูกแทนที่ด้วยจั่วชิวอินด้วยแต้มดาราหกร้อยสามสิบสามแต้ม ในขณะที่อันดับสิบถูกแทนที่ด้วยเซวียนหยวนเชอจากตระกูลเซวียนหยวนด้วยแต้มดาราหกร้อยแต้ม
“อนิจจา แม้ว่าชายหนุ่มเฉินซีคนนั้นจะมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา แต่ก็ด้อยกว่ามากในแง่ของทรัพยากรและทุนทรัพย์เมื่อเปรียบเทียบกับศิษย์ของมหาอำนาจเหล่านั้น เขาอาจจะรู้ตัวว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะติดสิบอันดับแรกในการระหว่างการทดสอบรอบที่สอง”
“สิบอันดับแรกเหรอ? ข้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะติดหนึ่งในร้อยด้วยซ้ำ แม้พลังฝีมือจะน่าเกรงขาม แต่เขาก็ไม่สามารถต้านทานกองกำลังของศิษย์จากมหาอำนาจเหล่านั้นได้ เห็นได้ชัดว่าเฉินซีตัวคนเดียว ดังนั้นในแง่ของการล่าหรือการแข่งขันกับผู้อื่น เขาจะต้องเสียเปรียบอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่แค่นั้น มหาอำนาจอย่างเจ็ดตระกูลโบราณยังรู้จักแดนโลหิตราวกับหลังมือ พวกเขารู้ว่าที่ใดจะมีสัตว์ร้ายอาศัยอยู่มากที่สุด ทำให้สามารถล่าแต้มดาราได้อย่างง่ายดาย หรือที่ใดมีอันตรายและควรหลีกเลี่ยง ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้จากตระกูลหรือนิกายของตน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เฉินซีจะมีข้อมูลดังกล่าว”
เมื่อพวกเขาเห็นอันดับของเฉินซีถูกผลักออกจากสิบอันดับแรก ผู้ชมที่จัตุรัสก็ถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียง เพราะสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพลังฝีมือของแต่ละคน แต่เป็นความแตกต่างของภูมิหลัง
เห็นได้ชัดว่าทรัพยากรและภูมิหลังของเฉินซีเป็นข้อเสียที่ไม่สามารถชดเชยได้ เมื่อเทียบกับศิษย์ที่มาจากมหาอำนาจทั้งหลาย
นอกจากสิบอันดับแรกแล้ว การเปลี่ยนแปลงของอันดับที่อยู่บนกำแพงแห่งแสงก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เหล่าศิษย์ต่างแซงหน้า หรือถูกกำจัดออกแทบจะทุกขณะ
ตั้งแต่การทดสอบรอบที่สองเริ่มขึ้น เวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูป แต่ชื่อที่อยู่บนกำแพงแห่งแสงยี่สิบเจ็ดชื่อได้จางลงและหายไปแล้ว
นั่นหมายความว่าศิษย์ยี่สิบเจ็ดคนถูกกำจัดออกจากการทดสอบ!
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การแข่งขันและการล่าในแดนโลหิตนั้นโหดร้ายเพียงใด
“ข้าสงสัยว่าจะมีใครที่สามารถทำลายสถิติที่สร้างโดยพิรุณเผาผลาญหลิงชิงอู๋ในการทดสอบรอบที่สองได้หรือไม่?”
“นั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก เมื่อหลายปีก่อน หลิงชิงอู๋ได้รับถึงแต้มดาราถึงเก้าพันแต้ม และทำลายสถิติก่อนหน้านี้! ทำให้สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าปั่นป่วน และผู้คนก็คาดการณ์ได้ทันทีว่า หลิงชิงอู๋จะกลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าอีกดวงหนึ่งในภพเซียนภายในหนึ่งร้อยปี และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ”
“หากเป็นเช่นนั้น ใครก็ตามที่สามารถทำลายสถิติของหลิงชิงอู๋ได้ ก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะกลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าในภพเซียนน่ะสิ?”
“ไม่เชิงเสียทีเดียว จำอเวจีเหล็กเยี่ยถังได้หรือไม่? ในรอบที่สองของการทดสอบ แต้มดาราของเขาอยู่เพียงอันดับที่เจ็ดเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดก็ยังกลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียนไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ที่สามารถครองหนึ่งในสิบอันดับแรก ย่อมมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าดวงใหม่ และนี่เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้”
“ใช่แล้ว นอกจากนี้ในความคิดของข้า มีอัจฉริยะที่โดดเด่นมากมายในเวลานี้ โดยที่จี้เซวียนปิง เจิ่นลู่ และจ้าวเมิงลี่ พวกเขาทุกคนล้วนไม่ได้ด้อยกว่าหลิงชิงอู๋หรือเยี่ยถังเมื่อหลายปีก่อนเลย”
“เอาล่ะทุกคน การทดสอบรอบที่สองเพิ่งเริ่มต้นขึ้น จากประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา การทดสอบรอบนี้จะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน และอาจใช้เวลาถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ เป็นการดีที่สุดหากทุกคนจะสงบสติอารมณ์และสังเกตแทนที่จะด่วนสรุปไปก่อน”
“ไม่ต้องกล่าวถึง นี่เป็นเพียงรอบที่สองของการทดสอบ ผลลัพธ์สุดท้ายจะถูกตัดสินก็เมื่อรอบที่สามสิ้นสุดลงเท่านั้น!”
ฝูงชนพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเห็นสถานการณ์ภายในแดนโลหิตได้ จึงทำได้เพียงคาดเดาต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านการเปลี่ยนแปลงของอันดับและแต้มดาราบนกำแพงแห่งแสงเท่านั้น
“เฉินซี โอ้ เฉินซี! การทดสอบรอบสองนั้นเจ้าเสียเปรียบแน่นอน อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เจ้าสามารถรักษาอันดับให้อยู่ในร้อยอันดับแรกได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เมื่อการทดสอบรอบที่สามเริ่มต้นขึ้น เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ของเจ้าก็น่าเกรงขามมากพอที่จะชดเชยความแตกต่างนี้… และที่สำคัญที่สุด เจ้าต้องไม่ถูกกำจัด…” ในระยะไกล เถี่ยชิวอวี้พึมพำพร้อมกับใบหน้ายับย่น ชายชราเป็นห่วงเฉินซีมาก
เพราะเถี่ยชิวอวี้ตระหนักดีเช่นกันว่า เมื่อพวกเขาเข้าสู่การทดสอบรอบที่สอง เหล่าศิษย์ของตระกูลจั่วชิวจะต้องลงมืออย่างแน่นอน!
…
ภายในป่าที่มืดและชื้นของแดนโลหิต ต้นไม้โบราณสูงตระหง่านขึ้นไปบนท้องฟ้าและบดบังแสงสว่าง
จั่วชิวอินในชุดดำยืนอยู่ที่นั่นเงียบ ๆ
ข้างกายมีศิษย์ของตระกูลจั่วชิวมากมาย ซึ่งเจียงจูหลิวและอินเหมียวเมี่ยวก็อยู่ท่ามกลางพวกเขาอย่างน่าประหลาดใจ
“พี่สิบสาม ยังขาดอีกกี่คนหรือ?” จั่วชิวอินถามขึ้น
“พวกเขามีสิบสี่คน หากไม่มีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้น พวกเขาก็จะรีบมารวมตัวกับเราภายในหนึ่งวัน” ชายหนุ่มร่างเตี้ยและอ้วนกล่าวอย่างรวดเร็ว ชายคนนี้คือจั่วชิวเจิ้ง และยังเป็นคนที่สิบสามในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลจั่วชิว
จั่วชิวอินพยักหน้าแล้วเงียบไป
ในฐานะศิษย์ของตระกูลโบราณอย่างตระกูลจั่วชิว พวกเขาจะติดต่อกันผ่านเคล็ดวิชาลับเมื่อเข้าสู่แดนโลหิต และมารวมตัวกัน
ในแง่หนึ่ง การทำเช่นนี้จะทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นตามจำนวนคน ดังนั้นมันจึงง่ายกว่าสำหรับการล่าสัตว์อสูรเพื่อรับแต้มดารา ในทางกลับกัน ก็เพื่อป้องกันกองกำลังอื่น เพราะถึงอย่างไร เรื่องง่ายก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หากเคลื่อนไหวเพียงลำพังภายในสถานที่ที่มีอันตรายดักซุ่มอยู่ทุกฝีก้าวอย่างแดนโลหิต
“พี่อินเมื่อไหร่เราจะไปที่หุบเขาขนัดกาฬ เพื่อตามล่าพวกจากต่างพิภพ? ทุกคนต่างอยากล่าแต้มดาราเสียเต็มแก่แล้ว” จั่วชิวเจิ้งเลียริมฝีปากของตน แล้วถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
คนอื่น ๆ จ้องมองจั่วชิวอินเช่นกัน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความปรารถนา
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เราสามารถล่าแต้มดาราได้ทุกเมื่อ แต่เราไม่สามารถชะลอการตามล่าเฉินซีได้ เจ้าเด็กนั้นจะต้องถูกกำจัดภายในสามวัน มิฉะนั้น เราจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป”
จั่วชิวอินจ้องมองไปยังระยะไกล คล้ายกำลังรออะไรบางอย่าง จากนั้นจึงกล่าวอย่างสบาย ๆ “พวกเจ้าทุกคนคงทราบดีว่า คนสามร้อยคนจะถูกคัดออกในระหว่างการทดสอบรอบนี้ หากกำจัดคนได้มากพอ แม้เราจะตามล่าเฉินซีที่นี่ มันก็ยังสามารถเข้าสู่การทดสอบรอบที่สามได้”
คนอื่น ๆ แสดงสีหน้าทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เพราะทราบดีว่า สิ่งที่จั่วชิวอินกล่าวนั่นถูกต้อง หากไม่ตามล่าเฉินซีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อสามร้อยคนถูกกำจัดไป พวกเขาจะไม่สามารถหยุดเฉินซีจากการเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้
ท้ายที่สุด หลังจากที่เฉินซีเข้าสู่การทดสอบรอบที่สาม ไม่ว่าผลลัพธ์จะแย่เพียงใด เขาก็จะสามารถเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้อย่างราบรื่น โดยอิงจากผลงานในรอบแรกและรอบที่สอง
“อย่างไรก็ตาม เรายังไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั้นอยู่ที่ไหน เราควรทำอย่างไรหากมันเอาแต่ซ่อนตัว?” จั่วชิวเจิ้งขมวดคิ้ว
“พี่สิบสาม เจ้ามักมีคำถามมากที่สุดเสมอ!” จั่วชิวอินจ้องมองมาที่เขา ก่อนที่จะยิ้มอย่างผ่อนคลาย “ไม่ต้องกังวล ข้าจะให้คำตอบกับพวกเจ้าทั้งหมดในไม่ช้า บางทีการไล่เจ้าเด็กนั้นออกจากการทดสอบ เราอาจไม่ต้องลงมือเองด้วยซ้ำ”
“เราไม่จำเป็นต้องลงมือเองหรือ?”
ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “นี่ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถไปที่หุบเขาขนัดกาฬและล่าพวกจากต่างพิภพเพื่อแต้มดาราได้เดี๋ยวนี้เลยหรือ?”
แควก! แควก! แควก!
คลื่นเสียงแผ่วเบาและแปลกประหลาดดังก้องมาจากส่วนลึกของป่าอันมืดมิด ที่มาพร้อมกับเสียงนี้ คือร่างสีขาวราวกับหิมะที่เปล่งประกายออกมาจากภายใน
ดวงตาของจั่วชิวอินเป็นประกายและรีบสั่งอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องแตกตื่น มันคือวิหคหว่านมารที่ไว้ส่งข่าว”
เสียงของชายหนุ่มยังคงดังอยู่ในอากาศ ร่างสีขาวก็ร่อนลงมายังกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้เคียง ขนของมันเป็นสีขาวราวหิมะ จะงอยปากสีแดงสดเหมือนโลหิต และมีปีกคู่หนึ่งแบนเหมือนดาบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงตาสีเขียวหยกคู่นั้น พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยเงาลึกลับและน่าสยดสยอง มันเป็นสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งในจักรวาล วิหคหว่านมารไม่มีความสามารถในการโจมตีใด ๆ แต่มันรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง มันสามารถเคลื่อนที่ดุจลำแสง และเป็นสัตว์ร้ายที่มีความสามารถในการเคลื่อนย้ายผ่านมิติโดยกำเนิด
“แควก! แควก! นายท่านของข้าบอกว่า เป้าหมายปรากฏขึ้นที่บึงวิญญาณโลหิต ส่วนการลงมือก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า” วิหคหว่านมาร เงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ และกวาดสายตาไปที่จั่วชิวอินกับคนอื่น ๆ
“บึงวิญญาณโลหิต?” จั่วชิวอินขมวดคิ้วในขณะที่จั่วชิวเจิ้งที่อยู่ใกล้เคียงนั้นรีบกล่าวผ่านกระแสปราณว่า ‘นั่นคืออาณาเขตของจ้าววิญญาณนพเก้า”
ในที่สุด จั่วชิวอินก็เข้าใจ ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือไปที่ วิหคหว่านมาร “ขอบคุณ โปรดบอกนายท่านของเจ้าว่า ข้าจะจัดการกับเรื่องนี้เอง”
ขณะที่กล่าว ชายหนุ่มก็หยิบกระเป๋าเก็บของขึ้นออกมาและยื่นมันออกไป
คนอื่น ๆ ต่างตกใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ ไม่คาดคิดว่าจั่วชิวอินจะเคารพนกตัวนี้มากขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้านายของวิหคหว่านมารย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
“แควก! แควก! ไม่เลวเลย สหายตัวน้อย ข้าอาปู้จะจดจำเจ้าไว้ ข้าหวังว่าจะได้พบกับเจ้าอีกครั้ง” วิหคหว่านมารหยิบถุงเก็บของขึ้นมา ก่อนจะสยายปีกและหายไปกับสายลม
“พี่อิน ใครคือเจ้านายของวิหคหว่านมารตัวนี้หรือ?” จั่วชิวเจิ้งกล่าวหลังจากวิหคหว่านมารหายไปอย่างสมบูรณ์
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คุณหนูเคอน่าจะรู้” จั่วชิวอินส่ายศีรษะแล้วถาม “ชื่อของจ้าววิญญาณนพเก้าอยู่ในรายชื่อของเราหรือไม่”
จั่วชิวเจิ้งส่ายศีรษะ “ไม่ แต่ชื่อของราชาหางพิสุทธิ์อยู่บนนั้น ราชาหางพิสุทธิ์ปกครองพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแดนโลหิต และจากการอนุมานของข้า วิญญาณนพเก้าอาจเป็นบริวารของราชาหางพิสุทธิ์”
ดวงตาของจั่วชิวอินกะพริบซ้ำ ๆ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นชายหนุ่มก็โบกมือ “ส่งข้อความออกไป บอกเป้าหมายของข้ากับราชาหางพิสุทธิ์ และเขาจะไม่ขาดผลประโยชน์เมื่อเป้าหมายสำเร็จ!”
ขณะที่กล่าว สายตาจ้องมองไปยังเจียงจูหลิวและอินเหมียวเมี่ยว ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าต้องรบกวนเจ้าสองคน มุ่งหน้าไปยังดินแดนของราชาหางพิสุทธิ์ ดูแลเขาจนกว่าจะทำตามแผนสำเร็จ หลังจากนั้นเจ้าสามารถมารวมตัวกับเราที่หุบเขาขนัดกาฬได้”
เมื่อเห็นเจียงจูหลิวอ้าปากจะกล่าวอะไรบางอย่าง จั่วชิวอินก็ขัดจังหวะโดยตรง “น้องสิบสามจะให้แผนที่กับเจ้าในภายหลัง และตราบใดที่พวกเจ้าระมัดระวัง ก็เพียงพอที่จะไปถึงพื้นที่เป้าหมายได้อย่างปลอดภัย”
เจียงจูหลิวและอินเหมียวเมี่ยวชำเลืองมองกันและกัน พวกเขารู้ดีว่าไม่สามารถปฏิเสธได้ และทำได้เพียงรับคำสั่งเท่านั้น