บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1130 ค่ายกลอสนีบาตพิฆาตมาร
บทที่ 1130 ค่ายกลอสนีบาตพิฆาตมาร
บทที่ 1130 ค่ายกลอสนีบาตพิฆาตมาร
ณ บึงสีแดงเลือด
เฉินซีนั่งขัดสมาธิบนหินสีดำสนิทขณะมองไปยังระยะไกลอย่างเงียบ ๆ
ที่ข้างกายมีกระต่ายตัวขาวขนปุกปุยนั่งอยู่เคียงข้าง และดวงตาสุกใสของมันมองชายหนุ่มอย่างสมเพช ทว่าแววตาของมันกลับค่อนข้างซับซ้อน บางครั้งเต็มไปด้วยความกลัว บางครั้งก็ขุ่นเคือง บางครั้งก็ประหลาดใจ และบางครั้งก็เกลียดชัง
กระต่ายตัวนี้เกิดจากแปลงร่างของดอกไม้ปีศาจมายาที่เรียกว่าเหวยน่า
หลังจากที่เขาใช้เคล็ดวิชาหยั่งรู้ดวงใจปทุม เพื่อประทับจิตวิญญาณของตนลงในจิตวิญญาณของเหวยน่าแล้ว เฉินซีก็ยังไม่รู้สึกสบายใจ จึงใช้ศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการเพื่อสะกดพลังของเหวยน่าเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังสั่งให้เหวยน่าปลอมตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสนใจของผู้อื่น
ดังนั้น เหวยน่าจึงอยู่ในรูปลักษณ์กระต่ายขาวตัวน้อย
ในเผ่าดอกไม้ปีศาจมายา นางเชี่ยวชาญในการแปลงกายมากที่สุด แต่นางกลับแปลงเป็นกระต่ายขาวตัวน้อย ซึ่งแม้แต่เฉินซีเองก็ยังสงสัย
แต่ชายหนุ่มมีหลายสิ่งต้องทำ จึงไม่สามารถใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ได้
เฉินซีได้ทราบจากเหวยน่าว่า บึงนี้เรียกว่า บึงวิญญาณโลหิต ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแดนโลหิต และมีสัตว์อสูรจักรวาลมากมายได้กระจายอยู่รอบ ๆ แต่กลับไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเลย
ซึ่งในบรรดาสัตว์อสูรจักรวาลเหล่านี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือ วิญญาณนพเก้าที่อาศัยอยู่บนสันเขาวายุโลหิต และถูกเรียกด้วยความเคารพว่าจ้าววิญญาณนพเก้าโดยสัตว์อสูรจักรวาลที่อาศัยอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ เขาปกครองพื้นที่ทั้งหมดของบึงวิญญาณโลหิต
เหวยน่า โม่ทา และเหลยปินที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเฉินซี ก็เป็นบริวารของจ้าววิญญาณนพเก้า
จากข้อมูลของเหวยน่า ความแข็งแกร่งของจ้าววิญญาณนพเก้านั้นเทียบเท่ากับความแข็งแกร่งของผู้เยี่ยมยุทธ์ในอันดับที่สามร้อยของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า และยังมีผู้ยิ่งใหญ่อย่างวิญญาณนพเก้ากว่าสิบคนในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนตัวตนผู้ปกครองพื้นตะวันออกทั้งหมดนั้น เรียกว่าราชาหางพิสุทธิ์ ความแข็งแกร่งเปรียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในสิบอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า และมีสัตว์อสูรจักรวาลเป็นบริวารหลายพันตน
“ไม่นึกเลยว่าสัตว์อสูรจักรวาลและผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่กระจัดกระจายไปทั่วแดนโลหิต จะรวมตัวกันเช่นนี้ การล่าพวกมันอาจค่อนข้างลำบาก…” ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในใจ ตามความรู้ของตน แดนโลหิตถูกแบ่งออกเป็นสิบพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ทางตะวันตก พื้นที่ทางใต้ พื้นที่ทางเหนือ พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ พื้นที่ทางภาคกลาง และท้องฟ้า
ยิ่งเข้าใกล้จุดศูนย์กลางมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งพื้นที่ภาคกลางและท้องฟ้าจะอันตรายเป็นพิเศษ
ตามข่าวลือ มันมีแม้กระทั่งขอบเขตเซียนทองคำที่ดำรงอยู่ท่ามกลางสัตว์อสูรจักรวาล และผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่อาศัยอยู่ในท้องฟ้า อย่างไรก็ตาม พวกมันถูกควบคุมโดยสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าด้วยเคล็ดวิชาลับ ดังนั้นผู้เข้าร่วมการทดสอบจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขานัก ตราบเท่าที่ผู้เข้าร่วมไม่ได้รุกล้ำดินแดนของพวกเขา
“ข้าสงสัยว่าเหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงถูกเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ใด และศิษย์ของตระกูลจั่วชิวอยู่ที่ไหน…” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ชายหนุ่มตระหนักดีว่าตนไม่สามารถเสียเวลาได้อีกต่อไป
เรื่องสำคัญที่ต้องทำ คือการเพิ่มแต้มดารา
“มีสัตว์อสูรจักรวาลในบึงวิญญาณโลหิตประมาณกี่ตัว?” เฉินซีหันไปถามเหวยน่าที่อยู่ใกล้ ๆ
เหวยน่าตกตะลึง จากนั้นนางก็ยกหูขึ้นขณะกล่าวตะกุกตะกัก “เรา… เราไม่ใช่สัตว์ร้าย เราคือเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ตนทราบอย่างแจ่มแจ้งว่า สัตว์จักรวาลที่มีสติปัญญามักเรียกขานตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ พวกมันดูถูกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในภพทั้งสาม และมองว่าสิ่งมีชีวิตในภพทั้งสามนั้นเป็นเหยื่อที่สามารถฆ่าได้ตามต้องการ
เหมือนคนขายเนื้อมองดูสัตว์
แน่นอนว่า ในสายตาของสิ่งมีชีวิตในภพทั้งสาม สัตว์อสูรจักรวาลก็ไม่ต่างอะไรกับเหยื่อที่สามารถฆ่าได้ตามต้องการ และนี่คือความแตกต่างในมุมมอง โดยยึดจากตำแหน่งที่แตกต่างกัน
เหวยน่ารู้สึกหวาดกลัวเมื่อเห็นเฉินซีขมวดคิ้ว “มีสัตว์ประมาณร้อยตัวในบึงวิญญาณโลหิต และพวกมันทั้งหมดอยู่ภายใต้คำสั่งของจ้าววิญญาณนพเก้า”
ชายหนุ่มครุ่นคิด “พวกเจ้าทุกคนติดต่อกันอย่างไร”
การฆ่าโม่ทาและเหลยปินก่อนหน้านี้ ทำให้เขาได้รับแต้มดาราหกแต้มจากแต่ละคน รวมเป็นสิบสองแต้ม ถ้ากำจัดสัตว์ร้ายกว่าร้อยตัวในบึงวิญญาณโลหิตได้ ก็น่าจะได้รับแต้มดาราประมาณหกร้อย
แต่ถ้าต้องฆ่าพวกมันทีละตัว ก็คงยากลำบากเกินไป ดังนั้นเฉินซีจึงตั้งใจจะถามเหวยน่าเกี่ยวกับวิธีที่พวกมันติดต่อกัน เพื่อหลอกล่อพวกมันทั้งหมดให้มาที่นี่ และกำจัดพวกมันในคราวเดียว
เหวยน่ารู้สึกตกใจและมองอย่างระแวดระวัง “อะไรกัน… นี่เจ้าตั้งใจจะทำอันใด?”
ชายหนุ่มยังคงเงียบ และจ้องมองนางนิ่ง
ไม่นานนักเหวยน่าก็ยอมแพ้ พร้อมกับเปล่งเสียงคลุมเครือและซับซ้อนออกมาจากริมฝีปากเบา ๆ มันแตกต่างจากภาษาทั่วไปที่ใช้ในภพทั้งสามอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณของเฉินซีนั้นแข็งแกร่งเป็นพิเศษ หลังจากชายหนุ่มจดจำเสียงที่คลุมเครือนี้ เขาก็เริ่มศึกษาพวกมัน แล้วลองเลียนแบบมันอีกครั้ง และมันก็คล้ายกับภาษาที่เหวยน่ากล่าวถึงเจ็ดส่วน
“คำเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร” เฉินซีเอ่ยถาม
“หมายความว่าเหยื่อจำนวนมากปรากฏขึ้น ต้องการความช่วยเหลือเป็นการด่วน” เหวยน่าอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา
เฉินซีพยักหน้า ชายหนุ่มไม่กังวลว่านางจะหลอกตน หรืออีกนัยหนึ่ง แม้ว่านางจะหลอกก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่มันสามารถดึงดูดสัตว์อสูรจักรวาลจำนวนมากก็ถือว่าใช้ได้
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มตรวจสอบแหวนมิติและกำไลมิติที่ยึดมาจากโม่ทาและเหลยปิน
คลังสมบัติทั้งสองนี้ เหวยน่าได้มาจากโม่ฉีหลงที่ถูกกำจัดไปแล้ว เฉินซีมองมันผ่าน ๆ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เป็นดั่งที่คาดไว้ โม่ฉีหลงสมแล้วที่เป็นคนของตระกูลโม่ฉี เพราะแค่วัตถุดิบเซียนที่เก็บอยู่ในนั้นก็มากกว่าพันชิ้นแล้ว ในขณะที่มีสมบัติอมตะระดับสูงมากกว่าร้อยชนิด มันจึงคุ้มค่ามาก
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโอสถเซียนจำนวนมากและสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬขั้นสูงอีกสองชิ้น
“เมื่อรวมกับวัตถุดิบเซียนที่ข้าครอบครองอยู่ ยังแทบไม่สามารถสร้างค่ายกลอสนีบาตพิฆาตมารได้…” เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มลงมือขัดเกลาวัตถุดิบเซียนในขณะนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหิน
ฟิ้ว!
วัตถุดิบเซียนจำนวนมากถูกดึงออกมาเหมือนสายน้ำ จากนั้นอักขระยันต์อันลึกซึ้งก็ถูกจารึกไว้บนพวกมันด้วยญาณมหาเทวะอมตะที่แข็งแกร่ง การเคลื่อนไหวทั้งคล่องแคล่วและราบรื่นประหนึ่งสายน้ำที่ไหลริน
การสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ จำต้องเตรียมรากฐานและอุปกรณ์เสียก่อน ซึ่งรากฐานก็คือแผนผังการก่อตัวของยันต์อักขระ ส่วนอุปกรณ์สำหรับสร้างค่ายกลคือสมบัติที่ช่วยชักนำพลังของค่ายกลยันต์อักขระออกมา เช่น ธงค่ายกล จานค่ายกล ศิลาค่ายกล และอื่น ๆ เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น ค่ายกลอสนีบาตพิฆาตมาร เป็นค่ายกลสังหารวงกว้างจากยันต์เทวะอสนีบาตทมิฬ โดยใช้สายฟ้าเป็นสื่อในการโจมตี เมื่อค่ายกลสำแดงพลัง มันก็เพียงพอที่จะทำลายล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับ!
ถ้าไม่ใช่เพราะขาดแคลนวัตถุดิบเซียน เฉินซีก็ตั้งใจที่จะสร้างมหาค่ายกลอสนีบาตพิฆาตมาร และมันอาจจะกักขังเซียนทองคำได้!
เมื่อเห็นชายหนุ่มขัดเกลาวัตถุดิบเซียน ดวงตากระต่ายของเหวยน่าที่อยู่ใกล้ ๆ ก็เบิกกว้าง และจู่ ๆ นางก็ครุ่นคิดในใจ ‘หรือว่าคนผู้นี้เป็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระด้วย?’
‘ข้าเข้าใจแล้ว! เขาตั้งใจที่จะสร้างค่ายกลใหญ่เพื่อทำลายล้างเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ของข้า!’
ทันใดนั้น เหวยน่าก็เข้าใจเจตนาของเฉินซี ใบหน้ากระต่ายของนางบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความขมขื่น แต่หลังจากนั้นนางก็คิดได้ ‘ไม่เป็นไร การทำลายพวกมันก็สมควรแล้ว เพราะตลอดพันปีที่ผ่านมา ไอ้สารเลวพวกนี้บังคับให้ข้าเป็นเหยื่อล่ออยู่เสมอ และยังแย่งชิงสมบัติของข้าอีก ดังนั้นพวกมันตายไปเสียก็ดี!’
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ในท้ายที่สุด เหวยน่าถึงกับหมดความอดทนและตั้งใจจะใช้ชายผู้นี้เพื่อแก้แค้น
วันต่อมา เฉินซียืนขึ้นและนำวัตถุดิบเซียนต่าง ๆ ที่ขัดเกลาเสร็จแล้วออกมา ชายหนุ่มมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ ก่อนที่จะตัดสินใจในที่สุดว่าเขาจะใช้พื้นที่ในระยะยี่สิบห้าลี้ เป็นสถานที่ตั้งค่ายค่ายกลใหญ่
ฟิ้ว!
ชายหนุ่มบินขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไป จากนั้นเหล่าวัตถุดิบเซียนก็พุ่งออกไปราวกับแสงสวรรค์ที่ส่องลงมายังบริเวณโดยรอบ
“ฮึ่ม!” แล้วเฉินซีก็ร่ายมนตร์โบราณออกมา
เสียงหึ่ง ๆ สะท้อนพร้อมกับร่างกายที่สั่นสะท้าน จากนั้นแสงที่ส่องประกายระยิบระยับของสายฟ้าก็สว่างวาบขึ้นในพื้นที่ระยะยี่สิบห้าลี้ มันฉีกกระชากความว่างเปล่า และทำให้ฟ้าดินสว่างไสวด้วยสายฟ้า
ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้ใจสั่นก็ดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทำให้เหวยน่าที่ง่วงเหงาตกใจจนล้มลงไปบนก้อนหิน ดวงตากระต่ายของนางเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว นางรีบใช้หูกระต่ายปิดตา ทั้งร่างหดเล็กลงจนเป็นก้อนขนสีขาวราวกับหิมะ
โชคดีที่ฉากแบบนี้ปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่ลมหายใจ และมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ค่ายกลเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผล…” เฉินซีสูดลมหายใจยาว ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อย จากนั้นชายหนุ่มก็เปล่งเสียงแปลกประหลาด ซับซ้อน และคลุมเครือออกมา
เสียงนั้นเต็มไปด้วยปราณเซียนพิสุทธิ์ พวกมันกระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบเหมือนคลื่นวงกลมระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่นานมันก็ปกคลุมทั่วทั้งบึงวิญญาณโลหิต
หูกระต่ายของเหวยน่าตั้งตรงทันทีเมื่อนางได้ยินเสียงนี้ ดวงตาสุกใสเปล่งประกายแวววาว นางคิดในใจอย่างตื่นเต้น ‘ในที่สุดมันก็กำลังจะเริ่มขึ้น? โชคดีที่มีเพียงข้าเท่านั้นที่ถูกจับตัว ดังนั้นจึงไม่มีคนในเผ่าของข้าอยู่ที่นี่ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าไม่กังวลแม้ว่าพวกมันทั้งหมดจะพินาศก็ตาม…’
“อืม? เป้าหมายปรากฏขึ้นแล้วหรือ? นี่เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือจากระดับสูงสุด!”
“ใครกัน ใครเป็นคนส่งสัญญาณนี้”
“มันอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ! ดูเหมือนว่ามีเหยื่อจำนวนมากปรากฏขึ้น โอ้จริงสิ ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน มันผ่านมาหนึ่งร้อยปีแล้ว และถึงเวลาที่การทดสอบเพื่อคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง!”
“พวกเราไปกันเถอะ ไอ้พวกมนุษย์ชั่วช้าบังอาจใช้เราเป็นหินลับฝีมือมาตลอด นี่ไม่ถือว่าเป็นการล่าเหยื่อครั้งใหญ่หรอกหรือ?”
“แต่พวกเจ้าต้องระวังไอ้พวกคนของทั้งสามภพนั้นฉลาดแกมโกงและเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก ในอดีตพวกมันหลายคนได้แอบอ้างเป็นพวกเรา อีกทั้งยังหลอกสหายหลายคนของเราไปตาย ดังนั้นเราจึงต้องระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกล่าแทน”
“เราควรแจ้งต่อจ้าววิญญาณนพเก้าหรือไม่?”
“เจ้าโง่! หากจ้าววิญญาณนพเก้าเคลื่อนไหว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่จะได้ลิ้มรสเนื้อของพวกมัน แม้แต่กระดูกก็ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
“ไปกันเถอะ!”
ความคิดกว่าร้อยสายพุ่งออกมาจากบึงวิญญาณโลหิต ซึ่งหลังจากสื่อสารกัน พวกมันก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้อีกต่อไป พวกมันพุ่งออกมาจากรังและรีบทะยานไปยังทิศทางเดียวกัน
ชั่วขณะหนึ่ง ความเงียบสงบของบึงวิญญาณโลหิตทั้งหมดก็พังทลายลง เมื่อร่างที่มีขนาดแตกต่างกันและมีจิตสังหารขนาดมหึมาได้พุ่งทะยานผ่านท้องฟ้า บางตัวใหญ่ดั่งขุนเขา บางตัวผอมแห้งเหมือนต้นไผ่ หรือบางตัวก็มีแขนขานับร้อย พวกมันทั้งหมดล้วนมีกลิ่นอายดุร้ายและโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง ทำให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากในบึงตกใจจนตัวสั่น อีกทั้งยังรู้สึกหวาดกลัวและไม่สบายใจ
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาแนวตั้งที่อยู่บนหว่างคิ้วของเฉินซีก็เปล่งประกายแวววาวอย่างลึกล้ำ ขณะจ้องมองไปยังระยะไกลเงียบ ๆ ซึ่งหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาอย่างโล่งอก “นึกไม่ถึงเลย พวกมันจะแห่มากมายเพียงนี้…”
ขณะที่กล่าว ชายหนุ่มก็สะบัดแขนเสื้อ ทำให้สมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬขั้นสูงสองชิ้นที่ได้รับจากคลังสมบัติของโม่ฉีหลงถูกดึงออกมา พวกมันเปลี่ยนเป็นลำแสงสองสายพุ่งลงมาที่ขอบของค่ายกลใหญ่
ในเวลาเดียวกัน เฉินซีหันกลับมาและกล่าวกับเหวยน่าที่อยู่ใกล้เคียง “มาสู้กับข้า และแสดงละครให้พวกมันดู ด้วยวิธีนี้ เหยื่อเหล่านี้จะได้กินเบ็ดอย่างง่ายดาย”