บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1138 อันดับพลันผันเปลี่ยน
บทที่ 1138 อันดับพลันผันเปลี่ยน
บทที่ 1138 อันดับพลันผันเปลี่ยน
ก่อนหน้านี้เฉินซีรั้งอยู่อันดับที่สิบห้าบนกำแพงลอยแห่งแสง ด้วยแต้มดาราห้าร้อยสิบสี่แต้ม
ในอันดับและจำนวนแต้มดาราเช่นนี้นับว่าอันตรายมาก ไม่ต่างจากอันดับที่สิบหกถึงยี่สิบสักเท่าไหร่ จะถูกแซงหน้าไปเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้ที่หลายคนไม่ทันให้ความสนใจเฉินซี
เพราะเมื่อเทียบกันแล้วพวกที่อยู่สิบอันดับแรกน่าสนใจกว่ามาก นับเป็นการแข่งขันระหว่างคนจากภพพุทธองค์ ภพเซียน ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และกองกำลังอื่น ๆ อาจกล่าวได้ว่าคนส่วนมากล้วนมองแต่สิบอันดับนี้เท่านั้น
แต่ตอนนี้ทุกสายตากลับเคลื่อนไปพร้อมกัน!
เพราะมีชื่อหนึ่งกำลังรุดหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็พุ่งขึ้นมาอยู่ในสิบอันดับแรกแล้ว!
และชื่อนั้นคือเฉินซี!
แต้มดาราของคนผู้นั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วดั่งหิมะถล่มที่สั่งสมกำลังย้ำเคลื่อนไหวไปเรื่อย
ทุกคนเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพนี้ ดวงตาแทบหลุดออกจากเบ้า ได้ยินเสียงฮือฮาดังขึ้นมาจากจัตุรัส
“สวรรค์โปรด! ท้าทายสวรรค์เกินไปแล้ว!”
“ก… เกิดอันใดขึ้น? แต้มเขาพลันขึ้นมาสองพันแต้มในพริบตาเดียว เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะได้แต้มดารามากเพียงนี้ถึงจะสังหารราชันในหมู่สัตว์อสูรจักรวาลก็ตาม!”
“หรือจะล่าตัวศิษย์ที่ติดร้อยอันดับแรกแล้วชิงแต้มดารามา?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก! ตอนนี้ยังไม่มีชื่อใดหายไปจากร้อยอันดับแรกบนกำแพงลอยแห่งแสง อีกทั้งเซวียนหยวนเชอที่อยู่อันดับสิบก็มีเพียงหนึ่งพันเจ็ดร้อยแต้มดารา แสดงว่าแต้มดาราที่เฉินซีได้มาครั้งนี้ไม่ได้มาจากการชิงผู้อื่น”
“น่าตกใจเกินไปแล้ว…”
“เงียบก่อน ไม่เห็นหรือว่าอันดับของเฉินซียังคงรุดหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ?”
เสียงพูดคุยพลันหยุดลง เมื่อทุกคนสังเกตเห็นว่าหลังจากอันดับของเฉินซีพุ่งขึ้นไปอยู่สิบอันดับแรกแล้ว แต้มดาราก็ยังเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุด จนอันดับค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปทีละนิด
แม้จะเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลงแต่อย่างใด!
ภาพเช่นนี้ส่งผลให้หวังต้าวหลูที่ยืนนิ่งอยู่กลางอากาศตกตะลึงเช่นกัน แม้ว่าบททดสอบรับศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในครั้งนี้จะมีตนเป็นประธาน แต่การทดสอบรอบที่สอง ก็เกิดขึ้นภายในแดนโลหิต แม้แต่เขาเองยังไม่สามารถล่วงรู้สถานการณ์ภายในได้!
ชายวัยกลางคนจึงตื่นตะลึงโดยหาเหตุผลไม่ได้
“สองพันหกร้อยแต้มดารา อันดับเก้าเป็นเฉินซีคว้าไปได้อีกครั้ง จั่วชิวอินหลุดไปเป็นอันดับสิบอีกครา สองคนนี้เป็นคู่แข่งของแท้เชียว”
“สองพันเก้าร้อยแต้มดารา ขึ้นไปอยู่อันดับที่เจ็ดแล้ว!”
“สามพันสี่ร้อยแต้มดารา อันดับห้าอ้าวอู่หมิงถูกดันลงมาแล้ว!”
“สามพันแปดร้อยแต้มดารา ฝ่ามาถึงอันดับสี่ได้! ไม่รู้ว่าจ้งลี่ซวินจะรู้สึกอย่างไรหากรู้ว่าถูกชิงตำแหน่งไปเช่นนี้!”
ทุกครั้งที่อันดับเฉินซีรุดหน้าขึ้นก็จะเกิดเสียงฮือฮาในหมู่ผู้คน สุดท้ายทุกคนก็มีสีหน้าตกตะลึงพร้อมกับร่างที่แข็งค้างไป
ความเปลี่ยนแปลงในแต้มดาราเช่นนี้ไม่ปกติ หากไม่ใช่การทดสอบของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า หลายคนอาจสงสัยแล้วว่าเฉินซีอาจจะมีกลโกงใดหรือไม่
พุ่งขึ้นมาจากห้าร้อยแต้มดาราเป็นสามพันแต้มเช่นนี้ ต้องจัดการสัตว์อสูรจักรวาลหรือผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพไปเท่าใดถึงทำได้กัน? ที่สำคัญคือเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น!
แค่ลองคิดดู จะมีใครที่พลังต้อยต่ำกว่าขอบเขตเซียนทองคำสามารถทำทั้งหมดนี้สำเร็จได้โดยใช้เวลาเพียงชั่วขณะภายในแดนโลหิตได้บ้าง?
ภายในห้องโถงที่อยู่ห่างไกล หว่างคิ้วจั่วชิวเคอเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมอีกครั้ง ในขณะที่ใบหน้าเล็กของมู่หลิงหลงขึ้นสีแดงเรื่อ นางกำหมัดแน่น ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนเถี่ยชิวอวี้กลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ไม่สนใจว่าใครอื่นจะจำเขาได้หรือไม่ ชายชราโอ้อวดเสียงพึงพอใจต่อคนรอบข้างว่า “ดูสิ นั่นน่ะเมล็ดพันธุ์ที่ข้าเลือกมาเองกับมือ!”
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดึงสายตาริษยาจากหลายคนมาได้ ยิ่งทำให้เถี่ยชิวอวี้หน้าบานไปด้วยรอยยิ้ม จิตใจกระปรี้กระเปร่าเป็นยิ่งนัก
“สี่พันหนึ่งร้อยแต้มดารา! สวรรค์! นี่เขา…เขาสามารถรุดหน้าขึ้นสู่สามอันดับแรก ผลักจ้าวเมิงลี่จากภพวิหคอมตะลงไปได้ด้วย!” ยังไม่ทันได้หายตกใจ ชื่อของเฉินซีบนกำแพงลอยแห่งแสงก็ดีดขึ้นไปอยู่ในสามอันดับแรกแล้ว! อีกทั้งยังมีแต้มดาราน้อยกว่าอันดับสองอย่างจี้เซวียนปิงอยู่เพียงสองร้อยแต้มเท่านั้น!
พริบตานั้น ทั่วทั้งจัตุรัสพลันเงียบสงัด ทุกคนจ้องไปที่กำแพงแสงเขม็ง แต้มดาราของเฉินซีค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นและในที่สุดก็หยุดลง
ทำให้ทุกคนถอนหายใจโล่งอก โดยเฉพาะคนตระกูลจี้ที่มีสีหน้าดีขึ้น เพราะจี้เซวียนปิงนับเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูล เป็นความภาคภูมิของภพเซียน ก่อนหน้านี้ในรอบแรกถูกเจิ่นลู่กดไป ทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังยิ่ง
เป็นจังหวะนั้นเองที่พวกเขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งดันผุดขึ้นมาจะแย่งอันดับของจี้เซวียนปิงไปได้ จึงอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้
โชคดีที่แต้มดาราของเฉินซีหยุดขยับแล้ว ทำให้พวกเขาคลายใจลงได้มาก
สุดท้ายแต้มดาราก็หยุดลงที่สี่พันสามร้อยแต้ม น้อยกว่าอันดับที่สอง จี้เซวียนปิงเพียงสิบเจ็ดแต้มดาราเท่านั้น!
แต่นั่นก็มากพอให้ทุกคนเอ่ยชื่นชมไม่หยุดปาก เหมือนได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์ด้วยตาตนเอง
แต่แล้วทุกคนก็เลิกคลางแคลงในตัวเฉินซี เพราะผู้ที่ถูกคัดออกเป็นคนนำมาบอกเล่า สถานที่ที่พวกเขาอยู่หลังจากเข้าแดนโลหิตคือพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงใต้เช่นเดียวกับชายคนนั้น
พวกเขาได้เห็นราชาหางพิสุทธิ์นำกองทัพมุ่งสู่บึงวิญญาณโลหิต ได้เห็นอำนาจของค่ายกลใหญ่ที่เฉินซีสร้างขึ้นมาด้วยสองตา
ได้คนเหล่านี้มาช่วยอธิบายเรื่องราว คนส่วนใหญ่จึงได้เข้าใจ แต่ที่สงสัยอยู่อย่างเดียวคือ เหตุใดราชาหางพิสุทธิ์ถึงขนาดต้องยกทัพมาจัดการชายคนนั้นด้วย?
ในหมู่ผู้คน อาจไม่ได้มีแค่คนตระกูลจั่วชิวเท่านั้นที่รู้คำตอบแน่ชัด แต่พวกเขาไม่มีทางเผยออกมาแน่
ชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา… เกรงว่าตาเฒ่าทั้งหลายในสำนักศึกษาคงจะสังเกตเห็นเด็กคนนี้แล้ว… หวังต้าวหลูที่อยู่ไกล ๆ ถอนหายใจออกมา เท่าที่ตนรู้ เฉินซีในตอนนี้ยังไม่สามารถเทียบกับเจิ่นลู่ จ้าวเมิงลี่ และจี้เซวียนปิงได้
แม้จะนำไปเทียบกับจ้งลี่ซวิน อ้าวอู่หมิง และเจี้ยงฉางไฮ่ แต่ก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อยอยู่ดี
เพราะอย่างไรก็ยังอยู่แค่อันดับเก้าในการแข่งขันรอบแรก ส่วนการแข่งขันรอบที่สอง ก็เริ่มไปได้เพียงสามวัน กว่าจะจบก็ยังอีกนานนัก
หากเฉินซีสามารถรักษาอันดับเช่นนี้ไว้ได้ ก็คงทำให้ใครหลายคนประทับใจ แต่โอกาสนั้นน้อยเกินไป เรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้
หวังต้าวหลูรู้เรื่องนี้ดี ตนรู้ว่าการทดสอบรอบที่สอง ในส่วนท้ายจะเป็นช่วงที่ทรหดและเปลี่ยนแปลงไปได้มากที่สุด ถึงตอนนั้นสัตว์อสูรจักรวาลและผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพในแดนโลหิตจะถูกสังหารจนหมดสิ้น
ฉะนั้นหากผู้ใดอยากได้แต้มดาราเพิ่ม ก็มีแต่ต้องสู้กันเอง ในขณะที่เฉินซีนั้นตัวคนเดียว เห็นได้ชัดว่าเสียเปรียบเมื่อเทียบกับกองกำลังใหญ่ที่รวมกลุ่มกันมา
น่าเสียดายที่ข้ารับศิษย์สายตรงมาแล้ว… หวังต้าวหลูถอนหายใจ
…
แดนโลหิต หุบเขาขนัดกาฬ
ผืนพสุธาถูกย้อมไปด้วยเลือด ซากร่างมากมายกองพะเนิน ห้วงอากาศยังเต็มไปด้วยกลิ่นโลหิตตลบอบอวล
คนตระกูลจั่วชิวที่เพิ่งเคยทำศึกใหญ่มีสีหน้าตื่นเต้น พากันเดินตรวจตราพื้นที่โดยรอบแล้วทำการเก็บกวาด
มีเพียงจั่วชิวอินที่ยืนอยู่บนก้อนหิน มุมปากเผยแววภาคภูมิ พลางกวาดสายตามองภาพตรงหน้า เวลาเพียงชั่วยามเดียว พวกเขาก็สามารถกำจัดผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพในหุบเขาขนัดกาฬได้กว่าพันคน ทำให้คนตระกูลจั่วชิวได้รับคนละห้าร้อยสิบสามแต้มดารา!
ซึ่งทั้งหมดเป็นผลงานของเขา จั่วชิวอิน แล้วจะไม่ให้รู้สึกภาคภูมิใจได้อย่างไร?
สิ่งเดียวที่รู้สึกเสียใจคือ จนถึงตอนนี้ยังมีคนตระกูลจั่วชิวอีกสี่คนที่ยังไม่สามารถมาสมทบด้วยได้ เห็นได้ชัดว่าคงประสบเคราะห์ภายในแดนโลหิตไปแล้ว
แต่เท่านี้ก็คงเพียงพอ ตอนนี้ยังมีคนตระกูลจั่วชิวเหลืออยู่อีกเจ็ดสิบสองคนในการทดสอบรอบที่สอง ฉะนั้นหากพวกเขาผ่านมันไปได้ก็คงทำให้ตระกูลพึงพอใจได้แล้ว
เมื่อผู้นำตระกูลจั่วชิวอยู่ที่นี่ด้วย จั่วชิวอินย่อมต้องได้รับรางวัลจากตระกูลไม่น้อยแน่!
ฟ้าว!
เป็นตอนนั้นเองที่แสงสีขาวราวหิมะพุ่งเข้ามา เป็นวิหคหว่านมารนั่นเอง
จั่วชิวอินเห็นนกตัวนี้แล้วก็อดตะลึงไปไม่ได้ จากนั้นจึงป้องมือกล่าว “หรือว่านายท่านของเจ้ามีบางอย่างจะกล่าวกับข้า?”
วิหคหว่านมารมีนัยน์ตาเย็นชา เผยแววโกรธขึ้นมาเล็กน้อย “นายท่านให้มาบอกว่าเป้าหมายสังหารลูกน้องของราชาหางพิสุทธิ์ไปสิ้น ส่วนราชาหางพิสุทธิ์กับสตรีนามอินเหมียวเมี่ยวนั่นหนีไปแล้ว!”
ว่าอย่างไรนะ? ใบหน้าจั่วชิวอินแข็งค้างไปอย่างไม่อยากเชื่อ
“นับแต่เริ่มการทดสอบรอบที่สองมา เราเพียงต้องกำจัดสามสิบเจ็ดคนออกไปเท่านั้น หากไม่ใช้เวลาให้คุ้มค่า ก็คงไม่อาจมีจังหวะคัดคนออกได้อีก พวกเจ้าลงมือตามที่เห็นสมควรเถอะ” วิหคหว่านมารเอ่ยเสียงเย็นชา ก่อนจะแปลงร่างเป็นแสงสีขาวแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทว่าจั่วชิวอินกลับหน้าคว่ำลงทันใด ข่าวที่วิหคหว่านมารนำมาทำให้ความภาคภูมิที่ตนมีก่อนหน้านี้หายวับไป อารมณ์แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
เฉินซียังไม่ตาย?
ราชาหางพิสุทธิ์กับอินเหมียวเมี่ยวหนีไป?
ทำได้อย่างไรกัน?
เกิดคำถามขึ้นมากมายในใจของจั่วชิวอิน ทำให้ชายหนุ่มมุ่นคิ้วแน่น สายตาดูเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ผ่านไปไม่นานเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเลิกคิดมันเสีย
“ทุกคนรวมตัวกันแล้วออกสังหารศัตรูร่วมกับข้า!” จั่วชิวอินกวาดตามองคนตระกูลจั่วชิวทุกคน จากนั้นเอ่ยเสียงต่ำ “เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว โอกาสอาจหายไปเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นจากนี้ต่อไปภารกิจเรามีเพียงอย่างเดียว นั่นคือการตามล่าและสังหารเฉินซี!”
ทุกคนตกตะลึงอยู่ภายใน สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นในพลัน เฉินซียังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?
“เข้าใจหรือไม่?” จั่วชิวอินเอ่ยเสียงเหี้ยม
“ขอรับ!” ทุกคนจึงไม่กล้าคิดเป็นอื่น ตอบรับกลับไปเป็นเสียงเดียวกันด้วยใบหน้าเจือแววสังหาร