บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1145 ค่ายกลปีศาจดาราพิสุทธิ์
บทที่ 1145 ค่ายกลปีศาจดาราพิสุทธิ์
บทที่ 1145 ค่ายกลปีศาจดาราพิสุทธิ์
ราตรีย่ำย่างผืนฟ้า
จั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ตั้งค่ายบนพื้นที่โล่งเตียนเพื่อพักผ่อนเป็นการชั่วคราว
สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับใจกลางของแดนโลหิต ในบรรดาพื้นที่ต่าง ๆ พื้นที่ใจกลางและพื้นที่ท้องฟ้าถือเป็นบริเวณที่มีความอันตรายมากที่สุด
พื้นที่ทั้งสองนี้ไม่เพียงแต่มีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิต หากยังมีรอยแยกมิติและลมพายุที่ก่อตัวขึ้นเป็นระยะ ๆ กระจายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทั่วพื้นที่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ที่แห่งนี้มีสัตว์อสูรจักรวาลระดับเซียนทองคำ รวมไปถึงผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพอาศัยอยู่อีกด้วย!
โดยทั่วไปแล้ว ในช่วงแรกของการทดสอบรอบสองนั้น แทบไม่มีใครกล้าเสี่ยงมุ่งหน้าเข้ายังพื้นที่ทั้งสองโดยทันที แม้แต่ช่วงท้ายของการทดสอบ ก็มีเพียงแต่ศิษย์จากกองกำลังขนาดใหญ่เท่านั้นที่จะรวมกลุ่มเข้าไป แน่นอนว่าการเข้าไปในนั้นก็เพื่อให้ได้แต้มดารามากขึ้น
จริงอยู่ที่พื้นที่ใจกลางและพื้นที่ท้องฟ้านั้นอันตรายอย่างยิ่ง แต่แต้มดาราที่ได้รับจากสัตว์อสูรจักรวาลและผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพก็ช่างล่อตาล่อใจเหลือเกิน
ด้วยเหตุนี้ พื้นที่ทั้งสองจึงมักเป็นเวทีที่บรรดาศิษย์ของสำนักหรือตระกูลใหญ่ ๆ ใช้สำหรับแข่งขันและแสดงความสามารถ
เนื่องจากพวกเขาทั้งหลายเลือกที่จะเข้าไปยังพื้นที่ดังกล่าวในช่วงท้ายของการทดสอบ ดังนั้นจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการปะทะที่อาจเกิดขึ้นได้
ภายใต้ม่านแห่งราตรีกาล จั่วชิวอินเงยสบมองภูเขาห่างไกล นัยน์ตาสะท้อนภาพเลือนรางของคนผู้หนึ่งที่กำลังยืนอยู่บนนั้น แน่นอนว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฉินซี
“เขาช่างเหมือนผีร้ายที่ไม่มีวันสลัดหลุดจริง ๆ!” จั่วชิวอินพึมพำด้วยใจที่ซับซ้อน เดิมทีตระกูลจั่วชิวเป็นดั่งนักล่าในขณะที่เฉินซีเป็นเพียงเหยื่อตัวหนึ่ง ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปเสียหมด พวกเขากลายเป็นผู้ถูกล่าที่มีเฉินซีคอยติดตามดังนายพร่านล่าเนื้อ
ความคับข้อง คับแค้น และเคืองขุ่นก่อตัวขึ้นภายในหัวใจทุกขณะ เฉินซีทำให้พวกเขาเป็นดั่งหนูติดจั่นอับจนหนทาง สิ้นไร้ซึ่งความผ่าเผยอย่างแท้จริง
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก เพื่อพยายามสงบอารมณ์อันพลุ่งพล่าน ก่อนจะกวาดสายตามองเหล่าสหายเต๋ารอบกาย แม้การแสดงออกของคนเหล่านี้จะเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น แต่ก็ไม่อาจปกปิดความอ่อนล้าและสิ้นหวังที่ปรากฏภายในสายตาไปได้
ภาพเบื้องหน้าทำเอาจิตใจจั่วชิวอินมืดหม่นตาม ชายหนุ่มตระหนักดีว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อันตรายก็จะยิ่งคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
ข้าต้องหาวิธีกำจัดเจ้านั่น! แต่ว่า… ข้าควรจะทำเช่นไรดี? จั่วชิวอินคิดจนหัวแทบระเบิดตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ทว่าคิดเท่าไรก็คิดไม่ตก ไม่รู้ว่าจะกำจัดเฉินซีออกไปอย่างไรเพราะอีกฝ่ายไม่ได้เข้าใกล้พวกเขาแม้แต่น้อย เฉินซีมักจะอยู่ไกลออกไปร่วมพันลี้และโจมตีโดยใช้เต๋าแห่งคันศรเป็นครั้งคราว ความรู้สึกที่หนีก็หนีไม่ได้ จะไล่ก็ไล่ไม่ไปนี้ทำเอาแทบเสียสติ
ฟิ้ว!
แสงสีขาวราวหิมะส่องประกายวาบขึ้นในความมืดมิด เพียงพริบตา มันก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าจั่วชิวอิน มันก็คือวิหคหว่านมาร
จั่วชิวอินอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นมัน “ขออภัย ข้าทำให้ท่านผู้นำตระกูลต้องผิดหวังแล้ว”
วิหคหว่านมารถอนใจแผ่วเบา “นายท่านทราบดีถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่พวกเจ้ากำลังเผชิญในตอนนี้ อย่าได้กังวล ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ศิษย์ของตระกูลเจียง ภพมังกร และตระกูลเหวินเหรินจะมาช่วยเหลือพวกเจ้า”
จั่วชิวอินคล้ายบีบรัดในอก ความลำบากใจปรากฏขึ้นบนดวงหน้าที่จมดิ่ง
แต่ไหนแต่ไรมา ศิษย์ของตระกูลจั่วชิวเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่เทียบได้กับภพมังกรและตระกูลเจียง ทว่าตอนนี้ เพียงเพื่อจะจัดการกับคนเพียงคนเดียว ตระกูลจั่วชิวถึงกับต้องยอมก้มหัวร้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลอื่น ๆ นี่มันช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก!
สำหรับตระกูลเหวินเหริน แม้จะไม่ได้เสมอชั้นกับกองกำลังที่ยิ่งใหญ่อย่างเจ็ดตระกูลโบราณ แต่พวกเขาก็มีอิทธิพลในทวีปนภาเหมันต์อย่างยิ่ง กำลังของพวกเขาทรงพลังมากเสียจนเทียบได้กับตระกูลจั่วชิว มีด้านที่ด้อยกว่าก็แค่ในแง่จำนวนทรัพยากรและกำลังเสริมเท่านั้น
นี่คือความแตกต่างระหว่างตระกูลเก่าแก่กับตระกูลใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างมั่งคง กองกำลังเรียกได้ว่าเทียบเท่ากัน มีเพียงทรัพยากรและกำลังเสริมเท่านั้นที่แตกต่าง
การที่ตระกูลจั่วชิวร้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลเหวินเหรินนั้น ไม่ต่างอะไรกับขุนนางกำลังขอความเมตตาจากพ่อค้า สิ่งนี้ยิ่งทำให้จั่วชิวอินรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองภาพตามความเป็นจริง
“นายท่านยอมแลกด้วยหลายสิ่งเพื่อการนี้ ฉะนั้นอย่าทำให้นายท่านต้องผิดหวัง” วิหคหว่านมารส่งเสียงร้อง “อย่างไรก็ดี พวกเจ้าไม่ต้องรู้สึกว่าตนกำลังแบกภาระที่หนักอึ้งถึงเพียงนั้น ตอนนี้กองกำลังทั้งหลายที่อยู่ในแดนโลหิตล้วน แต่รู้แล้วว่าเฉินซีครอบครองแต้มดารามากกว่าเก้าพันแต้ม ซึ่งถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในขณะนี้ แน่นอนว่าเขาได้กลายเป็นคนที่หมายตาของทุกคน ถึงอย่างไรพวกเขาก็จะเลือกสังหารเฉินซีและช่วงชิงแต้มดารามาเป็นของตน”
วิหคหว่านมารหยุดชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้รับคำสั่งจากนายท่านให้มากระจายข่าวว่าเฉินซีอยู่ในพื้นที่นี้ ถ้าไม่มีอะไรที่เหนือความคาดหมาย พรุ่งนี้กองกำลังต่าง ๆ ก็คงจะเข้ามาที่นี่ ตอนนั้นเฉินซีก็จะไม่ต่างอะไรกับเสือเขี้ยวหัก”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น จิตใจของจั่วชิวอินพลันสดชื่นขึ้นอย่างมาก ดวงตาทอประกายสดใส ชายหนุ่มประสานมือคารวะ “ขอบคุณเจ้าแล้ว!”
วิหคหว่านมาไม่ได้พูดอะไรอีก มันสยายปีกกว้างและกลายเป็นแสงสีขาวหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“ตื่นตัวอย่างเต็มกำลังเสีย! อีกไม่นานไอ้เด็กนั่นก็จะไม่มีโอกาสเสนอหน้ามาสร้างปัญหาให้เราอีก!” จั่วชิวอินสูดหายใจเข้าจนสุดปอด ก่อนจะตะโกนขึ้นด้วยความรวดเร็ว
จิตใจที่เคยห่อเหี่ยว บัดนี้ชุ่มชื่นราวมีน้ำหล่อเลี้ยง
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เฉินซีทรมานพวกเขาคราแล้วคราเล่า ชวนให้รู้สึกคล้ายกับถูกโรคระบาดเข้ากลืนกินร่างกายให้ตายทั้งเป็น ดังนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของจั่วชิวอิน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่แสดงความตื่นเต้นออกมา
ความหดหู่สิ้นหวังที่สะสมอยู่ภายในใจของจั่วชิวอินมาเป็นเวลานาน บัดนี้ผ่อนคลายลงอย่างมาก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองร่างที่ห่างไกลเลือนราง อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มที่มุมปากอย่างเหี้ยมเกรียม “เจ้ามดปลวก! ให้ข้าได้ดูหน่อยเถิดว่าเจ้าจะรอดไปได้สักกี่น้ำ!”
ชิ้ง!
ทันใดนั้น แสงบาง ๆ เส้นหนึ่งก็ตรงเข้ามาจากที่ไกลโดยเร็ว มันคมกริบ แม่นยำ และอัดแน่นไปด้วยจิตสังหารที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวยิ่งขณะที่มุ่งเป้าไปยังลำคอของจั่วชิวอิน!
ใบหน้าของจั่วชิวอินสะท้านชาเมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ เฉินซีทำเช่นนี้อยู่บ่อยครั้งในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เปิดฉากการโจมตีเป็นครั้งคราวและไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ทว่าการกระทำดังกล่าวหาได้มุ่งปลิดชีวิตของคนตระกูลจั่วชิวไม่ หากต้องการบั่นทอนแรงใจในการต่อสู้ให้มอดลง
จั่วชิวอินไหวตัวทัน ชายหนุ่มหนุ่มไม่รอช้าที่จะเคลื่อนไหวเพื่อหลบการโจมตีนั้นอย่างง่ายดาย
ตู้ม!
ลูกศรที่สร้างขึ้นจากกระบี่เซียนโจมตีพลาดเป้า มันกระแทกเข้ากับก้อนหินขนาดใหญ่ ก่อนจะบดหินนั้นให้แตกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยกระเด็นไปรอบ ๆ ส่งผลให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่อันน่าสะพรึงกลัวขึ้นบนพื้นดิน
ศิษย์ตระกูลจั่วชิวผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่อิน ระวังด้วย”
“หึ! มันก็เพียงเล่ห์กลเก่า ๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องกังวลไป” ยังไม่ทันที่เสียงก้องของจั่วชิวอินจะเลือนหายไปในอากาศ ‘ลูกธนู’ ลูกที่สองก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาอีกครั้ง ชายหนุ่มเบี่ยงหลบได้อย่างง่ายดายด้วยปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วปานแสง
ทว่าลูกธนูนี้ก็หาได้มุ่งเป้ามาที่เขาตั้งแต่ต้น มันพุ่งตรงไปยังแอ่งน้ำเน่าที่อยู่ด้านข้าง แรงระเบิดที่เกิดขึ้นสั่นสะเทือนไปทั้งท้องฟ้า ส่งผลให้น้ำเน่าเหม็นเหล่านั้นปะทุขึ้นมาราวน้ำพุ ละอองของมันกระจาย ส่งกลิ่นชวนคลื่นเหียนไปโดยรอบ!
แรงน้ำที่ปะทุขึ้นมานี้เป็นเพียงน้ำธรรมดาที่ไม่อาจสร้างความเสียหายใด ๆ ต่อจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ได้ ทว่ากลิ่นเน่าเหม็นที่กระจายไปในอากาศของมันก็ชวนอ้วกไม่น้อย
“ดูเอาเถิด เจ้าเด็กนี่หาเรื่องเล่นสนุกไปทั่วแล้วตอนนี้” จั่วชิวอินขมวดคิ้ว จมูกเต็มไปด้วยกลิ่นน่าคลื่นเหียน แต่กลับไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย
ศิษย์ของตระกูลจั่วชิวคนอื่น ๆ เองก็ส่งเสียงหัวเราะครืนเมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่าทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย
จั่วชิวอินหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดจาเย้ยหยัน “เจ้าเด็กนั่นเอาแต่ลอบโจมตีจนตอนนี้เรารวบรวมกระบี่เซียนมาได้เกือบสามสิบเล่มแล้ว คิดดูสิ นี่มันไม่เหมือนกับเอาสมบัติมาทิ้งเปล่า ๆ หรอกหรือ?”
“ใช่ ๆ” ศิษย์ตระกูลจั่วชิวที่เหลือพูดขึ้นมาพร้อมเพรียงก่อนจะหัวเราะลั่น
ฟึบ! ฟึบ!
เสียงของอากาศที่ถูกผ่าออกดังไปทั่วบริเวณ คราวนี้เขาไม่ได้โจมตีด้วยลูกธนูเพียงดอกเดียว หากมาพร้อมกันมากกว่าสิบดอก พวกมันเป็นเหมือนฝนดาวตกเจิดจ้าส่งเสียงร้องหวีดหวิวท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด
จั่วชิวอินและคนอื่น ๆ เตรียมพร้อมมาครู่ใหญ่แล้ว จึงหลบหลีกการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย
“ดูสิ เจ้าเด็กนั่นโกรธจัดด้วยนึกเสียหน้าล่ะ!” เสียงเย้ยหยันของจั่วชิวอินคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะของคนที่เหลือ
ทว่าตอนนั้นเอง สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจก็เกิดขึ้น วันนี้เฉินซีดูจะทำอะไรผิดวิสัยไปเสียหน่อย จนถึงตอนนี้คนผู้นั้นยังไม่มีท่าทีจะหยุดการโจมตี กลับยิ่งเพิ่มจำนวนลูกศรมากขึ้นเรื่อย ๆ
ลูกธนูแต่ละดอกเป็นเหมือนฝนดาวตกที่ตัดผ่านชั้นบรรยากาศ เสียงที่หวีดหวิวและแหลมบาดหูของมันคล้ายกับกระแสน้ำที่สั่นสะท้านและกึกก้องไปทั้งฟ้าดิน
“สหายเต๋าผู้นี้กำลังแบ่งปันความมั่งคั่งอยู่หรืออย่างไร!”
“ฮ่า ๆ! เยี่ยมเลย เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้มีกระบี่เซียนตั้งมากมาย คงจะได้มาจากการต่อสู้กระมัง”
“ในที่สุดไอ้บ้านั่นก็สิ้นความอดทน หลังจากไล่ล่าเรามาสองสามวันติดแต่กลับทำอะไรพวกเราไม่ได้เลยอย่างนั้นสินะ?”
กลุ่มของศิษย์ตระกูลจั่วชิวส่งเสียงเยาะเย้ยเฉินซีพลางหลบหลีกลูกธนูที่พุ่งเข้ามาราวกับห่าฝน เสียงตะโกนดังก้องไปทั่วบริเวณประหนึ่งกลัวว่าเฉินซีที่อยู่ห่างออกไปพันลี้จะไม่ได้ยิน
“ระวังไว้ก่อนดีกว่า ข้ารู้สึกว่าคืนนี้เด็กคนนั้นทำตัวแปลกเกินไป คล้ายตั้งใจวางกลอุบายบางอย่าง” หนึ่งในนั้นกล่าวเตือน
จั่วชิวอินหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉับพลันความคิดหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจ ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะสามารถหลบลูกธนูได้ง่ายกว่าคราวก่อนมาก
“จริงสิ ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าลูกธนูพวกนั้นไม่ได้เล็งเป้ามาที่พวกเราเลย อย่างกับว่าเต๋าแห่งคันศรของเด็กนั่นมีปัญหาบางอย่าง” คนอื่นเริ่มพึมพำ
หัวใจของจั่วชิวอินกระตุกวาบทันทีเมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกเปรยขึ้น ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว จุดที่ลูกศรเหล่านั้นปักลงไปดูคลับคล้ายคลับคลาชอบกล…
ตึง!
ทว่ายังไม่ทันที่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงโครมครามที่ดังประหนึ่งเสียงฟ้าคำรามดังกึกก้องไปทั้งฟ้าดิน ลูกศรที่แวววาวและพร่างพราว ยิ่งกว่าสิ่งใดฉีกกระชากราตรีอันเป็นนิรันดร์ มันทะยานขึ้นไปบนแผ่นฟ้าด้วยความรวดเร็วเพียงพริบตา ก่อนจะตกลงมาสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง
การโจมตีครั้งนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ทั้งหมด รัศมีของมันเยือกเย็นและเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า แม้แต่หัวใจยังบีบรัดเมื่อสัมผัสพลังที่ชวนให้ขนพองสยองเกล้าเช่นนี้
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ก็คือการโจมตีครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปยังที่จุดใดจุดหนึ่ง…
สหายเต๋าผู้นี้กำลังทำสิ่งใดอยู่กันแน่?
พวกเขาต่างพากันตกตะลึง
อีกฟากหนึ่ง หัวใจของจั่วชิวอินคล้ายถูกแช่ใต้แผ่นน้ำแข็งเย็นยะเยือกชายหนุ่มคำรามด้วยเสียงกราดเกรี้ยว “เร็วเข้า! ออกไปจากที่นี่! ไอ้บ้านั่นมันกำลังตั้งค่ายกลโดยใช้ลูกธนูพวกนี้!”
เสียงคำรามนั้นไม่ต่างฟ้าร้องที่แสดงถึงความตกใจและโกรธขึ้ง
บรรดาศิษย์ของตระกูลจั่วชิวล้วนตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น น่าเสียดายที่พวกเขาช้าไปเพียงครึ่งก้าว ลูกธนูที่เปล่งประกายเจิดจ้าอาบท้องฟ้าราวเที่ยงวันนั้นทะลุยังพื้นดินโดยตรง ส่งผลให้พื้นที่ในรอบ ๆ หนึ่งพันลี้นี้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่
ไม่นาน ลำแสงสีขาวจำนวนมากก็พลันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้ารอบ ๆ พื้นที่หนึ่งพันลี้ พวกมันเป็นเหมือนหิมะและโซ่ตรวนที่เคลื่อนที่อย่างผิดธรรมชาติ เพียงพริบตา ท้องฟ้าและแผ่นดินก็ถูกปกคลุมจนแน่นขนัด
บัดนี้ พื้นที่โดยรอบมีเพียงแสงสีขาวที่พร่างพราวอยู่ภายในทัศนวิสัย!
ในที่สุดค่ายกลปีศาจดาราพิสุทธิ์ก็เสร็จสิ้น… เฉินซีที่อยู่ในสภาวะใกล้ถึงขีดจำกัดรำพันกับตัวเองด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ใบหน้าของชายหนุ่มยามนี้ซีดเซียวไร้สีเลือด ผิดกับร่องรอยบนหน้าผากที่ดูผ่อนคลายยิ่ง