บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1158 ประกาศิตทองคำของจักรพรรดิเต๋า
บทที่ 1158 ประกาศิตทองคำของจักรพรรดิเต๋า
บทที่ 1158 ประกาศิตทองคำของจักรพรรดิเต๋า
หลังจากที่เฉินซีมาถึงศิลาลับเต๋า ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เพิ่งหายจากอาการตกใจ จากนั้นพวกเขาก็ระเบิดความแตกตื่นออกมา
เพราะการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าในระดับดังกล่าว ถือได้ว่าหาตัวจับยากในหมู่คนรุ่นเดียวกัน!
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีซึ่งอยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับต้น จะบรรลุความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาในดวงจิตแห่งเต๋า ถึงขนาดที่แม้แต่ทะเลสาบสะท้อนดวงกมลก็ไม่สามารถยับยั้งฝีเท้าของได้
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า อำนาจดวงจิตแห่งเต๋านั้นลึกซึ้งเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ และมันก็เหมือนความลับของสวรรค์ มันเป็นพลังงานลึกลับประเภทหนึ่ง
ยิ่งดวงจิตแห่งเต๋าควบแน่นมากเท่าใด วิถีแห่งการบ่มเพาะก็จะสามารถไปได้ไกลมากขึ้นเท่านั้น โดยที่มันถูกแบ่งออกเป็นขอบเขตปราณดวงใจ ขอบเขตแก่นดวงใจ ขอบเขตวิญญาณดวงใจ และขอบเขตทารกดวงใจ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะพวกมันจะมีอยู่จริง แต่ทั้งสามภพก็ไม่มีแนวทางการบ่มเพาะสำหรับพลังงานลึกลับของดวงจิตแห่งเต๋า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ถึงการมีอยู่ของพลังงานลึกลับของดวงจิตแห่งเต๋า แต่กลับไม่รู้วิธีบ่มเพาะมันเลย
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ เป็นเพราะพลังงานลึกลับของดวงจิตแห่งเต๋านั้นยากหยั่งถึงราวกับภาพมายา ซึ่งแทบไม่มีร่องรอยใด ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ใด
จนถึงตอนนี้ ความเห็นพ้องต้องกันของทั้งสามภพ คือมีเพียงสองวิธีคร่าว ๆ ในการขัดเกลาพลังงานลึกลับของดวงจิตแห่งเต๋า อย่างแรกคือการสังหารทรชนผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อสะสมคุณธรรมในการขัดเกลาพลังงานลึกลับของดวงจิตแห่งเต๋า
อย่างที่สองคือปล่อยให้มันพัฒนาตามธรรมชาติไปพร้อมกับการบ่มเพาะ
แต่ไม่ว่าวิธีใด ก็ไม่ใช่วิธีการบ่มเพาะพลังงานนี้ ดังนั้นการพัฒนาพลังงานลึกลับของดวงจิตแห่งเต๋าจึงถือว่าเป็นพื้นฐานที่สุด
ตัวอย่างเช่น ศิษย์กลุ่มนี้ที่เป็นบุคคลชั้นนำของภพทั้งสาม ล้วนแล้วแต่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดที่โดดเด่นและไม่ธรรมดาในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ในแง่ของการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋า อย่างมากก็บรรลุแค่ขอบเขตแก่นดวงใจ
แม้จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่บนแท่นบวงสรวงเต๋า ก็มีเพียงไม่กี่คนเช่นโจวจื่อหลีและหวังต้าวหลูเท่านั้นที่บรรลุขอบเขตวิญญาณดวงใจ
แต่พวกเขาต่างก็เป็นผู้อาวุโสที่ขอบเขตเซียนปราชญ์หรือขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น!
ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซีที่อยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น แต่กลับมีการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าที่ขอบเขตวิญญาณดวงใจ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่จึงประทับใจกับฉากนี้อย่างยิ่ง
ดังนั้น โจวจื่อหลีผู้ไม่ปริปากแม้เพียงครึ่งคำ จึงได้อ้าปากกล่าวครั้งแรกหลัง เอ่ยชมเชยว่าเฉินซีเป็นคนหนุ่มที่วิเศษมาก
แม้คำพูดเหล่านี้ดูเหมือนจะธรรมดา แต่กลับเป็นการยกย่องอย่างสูง เนื่องจากผู้กล่าวนั้นเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดา ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล
ฟิ้ว!
ในขณะเดียวกัน หลังจากเห็นเฉินซีเดินผ่านมันไปอย่างง่ายดาย บางคนก็คิดว่าทะเลสาบสะท้อนดวงกมลนั้นไม่ยากที่จะสำรวจ ดังนั้นคนผู้นั้นจึงก้าวเท้าลงไปในทะเลสาบ แต่กลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะทรงตัว สีหน้าซีดเผือดราวกับคนตาย ร่างกายค่อย ๆ พังทลาย จากนั้นทั้งร่างก็ถูกน้ำในทะเลสาบห่อหุ้มไว้ในทันที ทำได้เพียงเปล่งเสียงร้องโหยหวนออกมา
ภายใต้การจ้องมองของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ศิษย์ผู้โง่เขลาได้ถูกคัดออกจากการทดสอบไป
ด้วยตัวอย่างนี้ มันได้ขจัดความหวังในหัวใจของหลาย ๆ คนไปอย่างสิ้นเชิง สีหน้าพลันกลายเป็นหนักอึ้ง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการบ่มเพาะของเฉินซีในดวงจิตแห่งเต๋านั้นน่าเกรงขามเพียงใด
เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเฉินซีนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และการทดสอบก็ดำเนินไปตามปกติ
เหล่าศิษย์ถูกกำจัดเป็นครั้งคราว ในขณะที่ศิษย์หลายคนเดินทางข้ามทะเลสาบอย่างราบรื่น เพื่อมาถึงบนศิลาลับเต๋า แต่ไม่ว่าจะเป็นศิษย์คนใด ก็ไม่มีใครสามารถบรรลุความสำเร็จได้อย่างง่ายดายเหมือนเฉินซี
…
มีศิลาลับเต๋าทั้งหมดเจ็ดร้อยก้อนที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบ และพวกมันเป็นเหมือนเสาหินที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อศิษย์คนสุดท้ายเดินทางข้ามทะเลสาบ ศิลาลับเต๋าทั้งเจ็ดร้อยก้อนนั้นก็ไม่เหลือที่ว่างอีก กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีศิษย์กว่าร้อยคนที่ถูกกำจัดในระหว่างการทดสอบเพื่อข้ามทะเลสาบสะท้อนดวงกมล!
การแข่งขันนั้นโหดเหี้ยมยิ่งนัก ในขณะที่การทดสอบนั้นโหดถึงขีดสุด และมันก็เหมือนกับการต่อสู้เพื่ออำนาจสูงสุด ไม่มีที่สำหรับผู้เสี่ยงโชค
อย่างไรก็ตาม โชคดีที่เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงข้ามทะเลสาบสะท้อนดวงกมลและมาถึงศิลาลับเต๋าได้อย่างราบรื่น
“หมดเวลา! ต่อไปการทดสอบของศิลาลับเต๋าจะเริ่มขึ้น!” บนเวทีที่ไกลออกไป หวังต้าวหลูยืนขึ้นและประกาศด้วยเสียงทุ้มต่ำ ในมือถือม้วนคัมภีร์สีทองไว้
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดล้วนลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึมและมองไปที่ม้วนคัมภีร์สีทอง
“ประกาศิตทองคำของจักรพรรดิเต๋า!”
“กลิ่นอายที่เป็นแก่นแท้ของจักรพรรดิเต๋าถูกประทับตราอยู่ภายในนั้น เมื่อเราผ่านการทดสอบกับศิลาลับเต๋า กลิ่นอายนี้จะห่อหุ้มพวกเราทุกคน และมันจะถูกใช้เพื่อกำหนดความแข็งแกร่งของ ‘เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้’ ของเรา ซึ่งเป็นวิธีการที่ยุติธรรมที่สุด”
“ใช่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผลของประกาศิตทองคำของจักรพรรดิเต๋านั้นไม่ง่ายนัก ตามตำนาน ผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนที่มีเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ที่โดดเด่นอย่างมากจะสามารถชักนำปรากฏการณ์ของฟ้าดินให้ลงมาได้ และสิ่งนี้จะทำให้กลิ่นอายที่เป็นแก่นแท้ของจักรพรรดิเต๋าแสดงอานุภาพ เพื่อทำให้ ‘การสรรเสริญจากทวยเทพ’ จุติลงมา!”
“การสรรเสริญจากทวยเทพ! นั่นเป็นพลังสูงสุดที่สามารถมอบชะตากรรมได้ หากเราสามารถได้รับพลังดังกล่าว อย่างน้อยที่สุด เราจะมีโอกาสถึงเจ็ดส่วนในการได้รับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ เมื่อเราบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ!”
“อย่างที่ทราบกัน อเวจีเหล็กเยี่ยถังได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพ และได้รับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ที่เรียกว่า เหล็กหลอมวารีจันทรา มันทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า!”
เมื่อพวกเขาเห็นประกาศิตทองคำของจักรพรรดิเต๋าที่อยู่ในมือของหวังต้าวหลู ศิษย์ทุกคนบนศิลาลับเต๋าก็เผยถึงความปรารถนาอันแรงกล้า และเต็มไปด้วยความแน่วแน่ หมายมั่นที่จะได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพ
แม้แต่เจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และคนอื่น ๆ ก็ไม่มีข้อยกเว้น แววตาของพวกเขาต่างเร่าร้อนและเต็มไปด้วยความคาดหมาย
หัวใจของเฉินซีก็หวั่นไหวเช่นกัน หวนนึกถึงข่าวลือมากมายเกี่ยวกับประกาศิตทองคำของจักรพรรดิเต๋า
ท่ามกลางข่าวลือเหล่านี้ สิ่งที่โด่งดังที่สุดคือ พลังแก่นแท้ที่อยู่ภายในประกาศิตทองคำของจักรพรรดิเต๋า ซึ่งกำหนดโชคชะตาให้ใครก็สามารถได้รับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์เมื่อบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ
ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ถูกควบแน่นเป็นรูปเป็นร่างโดยกฎแห่งมหาเต๋าสองประเภทขึ้นไป ตัวอย่างเช่น ตราศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงมรกต มีกฎแห่งมหาเต๋าของพฤกษาและอัคคี หรือตราศักดิ์สิทธิ์วาตะจันทรา มีกฎแห่งมหาเต๋าของวายุและหยิน
หรือตราศักดิ์สิทธิ์เหล็กหลอมวารีจันทราที่อเวจีเหล็กเยี่ยถังได้รับ มันมีกฎแห่งมหาเต๋าของอัคคี ทอง วารี และหยิน!
โดยปกติแล้ว ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยกฎแห่งมหาเต๋าสองประเภทขึ้นไป และมีตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์บางส่วนที่ทรงพลังยิ่งกว่า ตามกฎแห่งมหาเต๋าที่ครอบครองมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะควบแน่นตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำธรรมดาทั่วไปสามารถควบแน่นและคว้าตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ได้เพียงอันเดียวตลอดชีวิตของพวกเขา
แต่พลังแก่นแท้ของประกาศิตทองคำของจักรพรรดิเต๋านี้ แท้จริงแล้วกลับสามารถกำหนดโชคชะตาให้ผู้บ่มเพาะที่เป็นเซียนมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ เมื่อบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ
สิ่งนี้จึงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประกาศิตทองคำของจักรพรรดิเต๋านั้นพิเศษเพียงใด
ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งล้ำค่า และยากที่จะมีผู้ใดปฏิเสธมันได้
โอม~
ในขณะที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคลื่นความผันผวนประหลาด เกิดขึ้นกลางอากาศ ม้วนคัมภีร์สีทองกางออก เผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามสดใส
ในขณะนั้น ราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผาได้โผล่ขึ้นมากลางอากาศในทันที และเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่มันส่องสว่างไปทั่วทั้งโลก
ยิ่งกว่านั้น ยังแผ่กลิ่นอายเก่าแก่ คลุมเครือ ยิ่งใหญ่ และอ้างว้างอย่างไร้ขอบเขต มันทำให้หัวใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่สั่นคลอนอย่างรุนแรง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพ ราวกับกำลังแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ในช่วงเวลาถัดมา ม้วนคัมภีร์สีทองก็เปล่งรัศมีเป็นวงกลม จากนั้นแผ่รัศมีซึ่งปกคลุมศิษย์ทุกคนไว้ เหมือนรังไหมปกคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า
หลังจากนั้น ประสาทสัมผัสทั้งหกของเฉินซีและศิษย์คนอื่น ๆ ก็ถูกปิดตาย พลังชีวิตในร่างถูกห่อหุ้มด้วยพลังที่ไร้รูปร่าง ทำให้พวกเขาไม่สามารถรับรู้โลกภายนอกได้อีกต่อไป
“จงกลับมา!” เมื่อเห็นสิ่งนี้ หวังต้าวหลูตะโกนเสียงดังด้วยทำนองแห่งเต๋า จากนั้นม้วนคัมภีร์สีทองก็กลายเป็นแสงสีทอง บินกลับมาอยู่ในมือของตน จากนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็หายไปพร้อมกับมัน
“ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว” หวังต้าวหลูยิ้ม ชายวัยกลางคนถือประกาศิตทองคำของจักรพรรดิเต๋าด้วยมือทั้งสองข้างและส่งต่อให้โจวจื่อหลีซึ่งนั่งอยู่ตรงกลาง
โจวจื่อหลีพยักหน้า “ข้ามีความรู้สึกว่าศิษย์ที่เข้าร่วมในการทดสอบของปีนี้ อาจมีมากกว่าหนึ่งคนที่ได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพ”
คำกล่าวเหล่านี้ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด
ชายชราที่สวมเสื้อคลุมนักพรตซึ่งปักลายของลมและไฟ ลูบเคราของตนในขณะที่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ตัวข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง หรือจ้าวเมิ่งหลี ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่โดดเด่น ซึ่งเกิดในฤกษ์ยามที่เหมาะสม พวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่”
ชายชราหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “แน่นอนศิษย์คนอื่น ๆ ก็มีความโดดเด่นอย่างมากเช่นกัน พวกเขาล้วนแต่มีวาสนาอันยอดเยี่ยม และเหนือกว่าศิษย์ในครั้งก่อน ๆ อยู่มาก”
เมื่อได้ยินคำดังกล่าว ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยเช่นกัน เพราะเหล่าศิษย์ที่ร่วมการทดสอบในปีนี้ อาจถือว่าได้เป็นพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน และเป็นการรวมตัวของวีรบุรุษ ดังนั้นพวกเขาจึงโดดเด่นกว่าศิษย์ในอดีตอยู่มาก
หวังต้าวหลูชำเลืองมองชายชรา “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ชักสงสัยว่าท่านอาจารย์จี้เหวินคิดว่าใครน่าจะได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพมากที่สุด?”
ชายชราแซ่จี้ ดังนั้นจึงเป็นคนของตระกูลจี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้น อาจารย์จี้เหวินผู้นี้จึงตอบด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ลังเล “ย่อมเป็นจี้เซวียนปิง จากตระกูลจี้!”
“มีใครยกย่องคนในตระกูลของตัวเองบ้างหรือไม่” หญิงสาวผู้งดงามอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ สวมชุดชาววังหรูหรา ซึ่งมีท่าทางที่สง่างามและมีเกียรติ พลันกล่าวอย่างเฉยเมย “ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนั้น ข้าก็คิดว่าจ้าวเมิ่งหลีของภพวิหคอมตะของข้า จะสามารถได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพได้เช่นกัน”
หญิงงามคนนี้มีชื่อว่าจ้าวชิงผิง นางมาจากภพวิหคอมตะ และเป็นผู้สืบทอดสายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่าวิหคอมตะวารี ทั้งยังเป็นอาจารย์ฝ่ายนอกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าด้วย
“อ๋าวอู๋หมิงแห่งภพมังกรของเราก็เป็นลูกหลานของมังกรเขียว ชะตาของเขาไม่ธรรมดา และไม่ด้อยกว่าใคร”
“เด็กน้อยของตระกูลจงหลีของข้าก็ไม่เลวเช่นกัน”
“ฮึ่ม! พวกเจ้าทุกคนคิดว่าตระกูลเจี้ยงของข้าไร้ผู้มีความสามารถหรือ?
ทันใดนั้น คนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้อีกต่อไป และกล่าวติดต่อกัน ไม่มีผู้ใดยอมจำนน พวกเขาต่างคิดว่าศิษย์ในตระกูลของตนโดดเด่นเหนือใคร
อันที่จริง พวกเขาทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่า การโต้เถียงเช่นนี้นั้นไร้ความหมาย เพราะทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับผลของการทดสอบ แต่เหตุผลที่ยังโต้เถียงกันเช่นนี้ เพียงเพราะมันเป็นรูปแบบหนึ่งของความคาดหวังอันแรงกล้าที่มีต่อศิษย์ในตระกูลของตน
ในบรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่ มีเพียงโจวจื่อหลีเท่านั้นที่ไม่ได้กล่าวอะไรสักคำ เขานั่งตัวตรง ในขณะที่มองไปที่ใจกลางของทะเลสาบที่อยู่ห่างไกลเงียบ ๆ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หวังต้าวหลูก็ถามด้วยรอยยิ้ม “พี่โจว ข้าสงสัยว่าเป็นใครที่ท่านคิดว่ามีความหวังมากที่สุดในการได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพ”
ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าว ทุกคนต่างก็จ้องมองไปยังโจวจื่อหลีเป็นตาเดียว แม้แต่จั่วชิวฮงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
โจวจื่อหลีเงยหน้าขึ้นและมองไปยังระยะไกล ก่อนที่ดวงตาจะหลุบลงอีกครั้ง จากนั้นกล่าวคำสองคำเบา ๆ “เฉินซี”
ไม่มีการหยุด ไม่มีการคิด แม้เสียงจะแผ่วเบา และเป็นคำสองคำที่เรียบเฉยยิ่ง แต่มันทำให้คนอื่น ๆ ตกอยู่ในความเงียบ เมื่อเทียบกับศิษย์จากนิกายของพวกตนแล้ว พวกเขาล้วนทราบดีว่า พรสวรรค์โดยกำเนิดของเฉินซีนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์คนใดเลย อีกทั้งยังโดดเด่นกว่าด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากพวกเขาทราบอย่างชัดเจนว่า เฉินซีกับตระกูลจั่วชิวมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ประกอบกับการปรากฏตัวของจั่วชิวฮงที่นี่ พวกเขาจึงหลีกเลี่ยงการเอ่ยชื่อของเฉินซีโดยปริยาย
เมื่อโจวจื่อหลีกล่าวเช่นนี้
ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าอันงดงามของจั่วชิวฮงนั้นกระตุกอย่างเห็นได้ชัด…