บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1159 การสรรเสริญจากทวยเทพ
บทที่ 1159 การสรรเสริญจากทวยเทพ
บทที่ 1159 การสรรเสริญจากทวยเทพ
เนื่องจากจั่วชิวฮงสามารถดำรงตำแหน่งรองอาจารย์ใหญ่สำนึกศึกษาฝ่ายนอกได้ เขาจึงสมควรได้รับตำแหน่งนี้อย่างยิ่ง
การแสดงออกแข็งกระด้างบนใบหน้าฉายแววเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เฉินซีผู้นี้ไม่เลวเลย ถ้าเขาสามารถได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพ ข้ายินดีที่จะแนะนำอาจารย์ผู้น่าเกรงขามให้ เพื่อที่เขาจะได้เป็นศิษย์เอกของบุคคลนั้น”
โจวจื่อหลีชำเลืองมอง แต่ไม่ได้กล่าวอะไร
ในขณะที่หวังต้าวหลูกลับขมวดคิ้วแทน และรู้สึกได้ราง ๆ ว่า หากเฉินซีถูกอาจารย์ของตระกูลจั่วชิวรับไปเป็นศิษย์เอกจริง ย่อมเป็นหายนะอย่างแน่นอน
หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ก็อาจทำลายอนาคตของเฉินซีได้!
ท้ายที่สุด ความขัดแย้งระหว่างศิษย์ของตระกูลจั่วชิวและเฉินซีนั้น เป็นสิ่งที่พวกเขาทุกคนต่างรับรู้ ดังนั้นจึงไม่มีใครเชื่อว่า จั่วชิวฮงกำลังช่วยเหลือเฉินซีด้วยความตั้งใจดี
แน่นอนว่าจั่วชิวฮงกล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ ดังนั้นหวังต้าวหลูจึงไม่สามารถแย้งเรื่องนี้ได้
โครม!
ที่ใจกลางของทะเลสาบสะท้อนดวงกมลที่ห่างไกล ศิษย์คนหนึ่งที่นั่งตัวตรงบนศิลาลับเต๋าได้ตกลงไปในทะเลสาบ จากนั้นร่างก็สว่างวาบ พลังไร้รูปร่างภายในทะเลสาบก็พัดพาร่างของศิษย์ผู้นั้นออกไป
นี่หมายความว่าศิษย์คนนั้นถูกคัดออกแล้ว…
ฉากนี้ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่บนแท่นบวงสรวงเต๋าหันเหความสนใจในทันที เพราะทุกคนทราบดีว่า ช่วงเวลาตัดสินผลของการทดสอบเจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้มาถึงแล้ว!
ตู้ม! ตู้ม!
ไม่นานหลังจากนั้น เหล่าศิษย์ได้ตกลงมาจากศิลาลับเต๋าคนแล้วคนเล่า และในเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา ก็มีคนเหลืออยู่บนศิลาลับเต๋าเพียงห้าร้อยคนเท่านั้น
เมื่อการทดสอบมาถึงจุดนี้ คนสองร้อยคนถูกคัดออกไปแล้ว ดังนั้นแม้ในห้าร้อยคนที่เหลืออยู่จะตกจากศิลาลับเต๋า แต่ก็ยังถือว่ามีคุณสมบัติในการเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอยู่ดี
แน่นอนว่าการทดสอบยังไม่สิ้นสุดลง ช่วงเวลาต่อมาคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะอันดับสุดท้ายของการทดสอบในรอบที่สามกำลังจะถูกกำหนดในช่วงเวลานี้!
ในเวลานั้น ไม่เพียงแต่ศิษย์ที่เหลืออีกห้าร้อยคนจะได้รับการจัดอันดับจากผลงานของพวกเขาในระหว่างการทดสอบรอบที่สามเท่านั้น แต่ยังรวมผลงานจากการทดสอบทั้งสามรอบ เพื่อตัดสินอันดับสุดท้าย
และนั่นคือผู้ที่มีเกียรติสูงสุดในการทดสอบเพื่อคัดเลือกในปีนี้!
…
ตู้ม! ตู้ม!
ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงน้ำสาดกระเซ็นดังก้อง และทุกครั้งที่มันดัง หมายความว่าศิษย์หนึ่งคนได้หล่นลงมาจากศิลาลับเต๋า
สำหรับความทุกข์ยากที่ต้องประสบกับศิลาลับเต๋านั้น มีเพียงพวกเขาที่รู้
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เหลือศิษย์เพียงไม่ถึงร้อยคนที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนศิลาลับเต๋า
ในขณะนี้ แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่บนแท่นก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ สายตาจ้องมองไปอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่กะพริบแม้แต่น้อย เพราะเกรงว่าจะพลาดช่วงเวลาสำคัญไป
เพราะศิษย์เกือบทั้งหมดที่ยังคงนั่งสมาธิอยู่บนศิลาลับเต๋าในขณะนี้ ล้วนมาจากกองกำลังทั้งหลาย มีทั้งศิษย์ที่มาจากเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ ภพพุทธองค์ ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และอื่น ๆ ซึ่งเกือบทั้งหมดมาจากมหาอำนาจต่าง ๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นอกจากเฉินซีแล้ว ศิษย์ของกองกำลังอื่น ๆ ไม่สามารถพบได้บนศิลาลับเต๋าเลยแม้แต่คนเดียว
ดังนั้น ในช่วงเวลาต่อมา เสียงถอนหายใจดังก้องทุกครั้งที่มีศิษย์ตกลงมาจากศิลาลับเต๋า
บางคนดีใจ ในขณะที่บางคนกังวล
จนกระทั่งเหลือศิษย์เพียงสามสิบคนที่ยังคงนั่งสมาธิอยู่บนศิลาลับเต๋า จากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เพิ่มเติม ร่างเหล่านั้นนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบงันและมั่นคง
ในขณะเดียวกัน การทดสอบรอบที่สามของก็มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะการสรรเสริญจากทวยเทพ มักจะถูกตัดสินในช่วงเวลานี้!
“ไม่เลวเลย ศิษย์หกคนของตระกูลจี้ของข้ายังคงยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ และมันก็มากกว่าสองคนจากการทดสอบครั้งล่าสุด ฮ่า ฮ่า!” ผู้อาวุโสจี้เหวินที่สวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าลูบเคราของตน และเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“โอ้ ตระกูลจงหลีของข้าก็ไม่เลวเช่นกัน ในครั้งล่าสุดที่มีการทดสอบ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยืนหยัดจนถึงตอนนี้ แต่คราวนี้ กลับมีถึงห้าคน!” อาจารย์จากตระกูลจงหลียิ้มจนแก้มปริเช่นกัน
“พวกเจ้าทุกคนเห็นหรือไม่? นั่นคือมู่เสี่ยวลิ่วจากตระกูลมู่ของข้า เขาเพิ่งบ่มเพาะมาไม่กี่สิบปี แต่กลับสามารถได้รับอันดับดังกล่าวได้ น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง” ชายวัยกลางคนที่สง่างามจากตระกูลมู่ยิ้มขณะกล่าว
สำหรับคนอื่น ๆ บางคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า ในขณะที่บางคนส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ
มีเพียงใบหน้าสง่างามของจั่วชิวฮงเท่านั้น ที่ถูกปกคลุมไปด้วยความืดมนอย่างหาที่สุดไม่ได้ เพราะในบรรดาศิษย์จากตระกูลจั่วชิวที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ มีเพียงจั่วชิวอินคนเดียวเท่านั้นที่ยืนหยัดมาได้!
เพียงคนเดียว!
นี่เป็นเพียงความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง!
จั่วชิวฮงสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ถึงสายตาที่จับจ้องมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และมันทำให้เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก
“พวกขยะ! ไอ้สารเลวที่ไม่ควรเกิดมาบนโลกใบนี้ กลับสามารถทำให้พวกเจ้าต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าอัปยศเช่นนี้ได้ เจ้าทำให้ตระกูลจั่วชิวของข้าต้องขายหน้า!”
ความโกรธของจั่วชิวฮงยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แววตาที่จ้องมองเฉินซีเต็มไปด้วยความเย็นชาและน่ากลัว “ไอ้เด็กบัดซบ ฝากไว้ก่อนเถอะ! เมื่อเจ้าเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว อย่าได้เผลอให้ข้าหาข้อผิดพลาด ๆ ใดของเจ้าได้เชียว!”
“ดูเหมือนเจ้ามีความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับเฉินซี?” ทันใดนั้นเสียงเรียบ ๆ ก็ดังก้องอยู่ในหูของจั่วชิวฮง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง และสบเข้ากับดวงตาของโจวจื่อหลี
หัวใจของจั่วชิวฮงกระตุกวูบ ริมฝีปากแย้มยิ้มและกล่าวว่า “ชายหนุ่มคนนี้ไม่เลวเลย ข้าแค่กำลังคิดว่าข้าควรจะแนะนำอาจารย์คนไหนให้กับเขา”
โจวจื่อหลีเบือนสายตากลับ “อันที่จริง เจ้าไม่จำเป็นต้องสร้างปัญหาให้กับตัวเอง เมื่อถึงเวลา อาจมีสหายเก่ามากมายแย่งชิงเพื่อรับเขาเป็นศิษย์ส่วนตัว”
โจวจื่อหลีหยุดชั่วคราวและกล่าวต่อ “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
ประโยคสุดท้ายคือใจความสำคัญ!
จั่วชิวฮงสามารถมองเห็นร่องรอยของคำเตือนภายในคำพูดเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน สีหน้าพลันแข็งทื่อเล็กน้อย แต่ใบหน้างดงามยังคงประดับรอบยิ้ม “โอ้ ได้รับความโปรดปรานจากพี่โจวเช่นนี้ วาสนาของชายหนุ่มคนนี้ช่างน่าอิจฉาจริง ๆ”
เห็นได้ชัดว่าโจวจื่อหลีเป็นคนที่มีลักษณะสงวนตัว เขาเพียงพยักหน้าเบา ๆ และไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
หัวใจของจั่วชิวฮงนั่นไม่ปั่นป่วน ด้วยไม่คาดคิดว่าโจวจื่อหลีจะปฏิบัติต่อเฉินซีด้วยความเอาใจใส่เช่นนี้ ถึงขั้นตักเตือนตน!
‘ฮึ่ม! ถ้าไม่ใช่เพราะเหมิงซิงเหอ เจ้าจะครอบครองตำแหน่งปัจจุบันนี้ได้หรือไม่?’
จั่วชิวฮงไม่พอใจ และเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง
โครม!
ทันใดนั้น สายฟ้าสีครามได้ผ่าลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้า มันทั้งมืดและหนาวเย็น วูบวาบลงมาราวกับดอกไม้สีฟ้าของสายฟ้าที่พร่างพราว แล้วพุ่งตรงไปยังมู่เสี่ยวลิ่ว และปกคลุมร่างของเขา
อาจารย์จากตระกูลมู่กระโดดขึ้นจากที่นั่งเมื่อเห็นสิ่งนี้ “นี่มันปรากฏการณ์อสนีบาตแห่งวารีทมิฬที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เลว เด็กคนนี้ไม่เลวจริง ๆ!”
คนอื่น ๆ ก็แสดงความชื่นชมเช่นกัน ปัจจุบัน มีศิษย์เพียงสามสิบคนที่ยังคงอยู่ในศิลาลับเต๋า และมีหลายคนที่มีพลังฝีมือ พรสวรรค์ และการบ่มเพาะในดวงจิตแห่งเต๋าที่เหนือกว่ามู่เสี่ยวลิ่ว แต่มู่เสี่ยวลิ่วกลับเป็นคนแรกที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินจุติลงมาในระหว่างการทดสอบ และเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริง ๆ
นั่นหมายความว่า มู่เสี่ยวลิ่วได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพ!
แน่นอน เหตุการณ์บนท้องฟ้าหายไปหลังจากนั้นไม่นาน เสียงสวดมนต์ของมหาเต๋าก็ดังขึ้น ซึ่งฟังดูเหมือนเทพเจ้าบรรพกาลกำลังสวดมนต์และสรรเสริญ
เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเหล่านี้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็เผยสีหน้าเคร่งขรึม และเต็มไปด้วยความปรารถนา
อย่างไรก็ตาม มันสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนที่อยู่ที่นี่ เพราะไม่นานหลังจากที่มู่เสี่ยวลิ่วได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพ ร่างของชายหนุ่มพลันสว่างวาบ ก่อนที่จะตกลงมาจากศิลาลับเต๋า ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป
ถึงกระนั้น ผู้ยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิเต๋าก็จดจำชื่อมู่เสี่ยวลิ่วไว้ แม้จะยังอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์ และเพิ่งบ่มเพาะมาไม่กี่สิบปี แต่ชายหนุ่มผู้นี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันโดดเด่นอย่างยิ่งในบรรดาศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมการทดสอบ
ความสำเร็จในอนาคตของชายหนุ่มผู้นี้ย่อมไร้ขีดจำกัด!
“น่าเสียดายที่การสรรเสริญจากทวยเทพนั่นอ่อนแอเกินไป ตามการจัดประเภทของปรากฏการณ์ มันเป็นเพียง ‘ท่วงทำนองสราญรมย์’ ระดับสามเท่านั้น” มีบางคนที่กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย และคนผู้นั้นเป็นอาจารย์จากตระกูลจงหลี นอกจากนี้ตระกูลจงหลีและตระกูลมู่ก็เป็นศัตรูกันมาโดยตลอด ทุกคนต่างก็ตระหนักดีถึงเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงหัวเราะและไม่ได้จริงจังกับมัน
ในฐานะอาจารย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า พวกเขาทราบดีว่า พลังของการสรรเสริญจากทวยเทพนั้น แบ่งออกเป็นสามระดับ ได้แก่ ท่วงทำนองสราญรมย์ กัมปนาทเก้าชั้นฟ้า และฟ้าดินร้องสอดประสาน ตามลำดับ
ยิ่งระดับของการสรรเสริญจากทวยเทพสูงเท่าใด ผลประโยชน์ที่ได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อคนหนึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำ ผู้ที่ได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพในระดับ ‘ฟ้าดินร้องสอดประสาน’ อาจได้รับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ ที่ก่อตัวขึ้นจากกฎแห่งมหาเต๋าสี่ประเภท
ตัวอย่างเช่น อเวจีเหล็กเยี่ยถัง เขาได้รับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ที่เรียกว่า เหล็กหลอมวารีจันทรา และได้รับการสรรเสริญจากทวยเทพซึ่งอยู่ในระดับที่หนึ่ง
ในทางกลับกัน ท่วงทำนองสราญรมย์ จะได้รับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ที่ควบแน่นจากกฎแห่งมหาเต๋าสองประเภท
หลังจากมู่เสี่ยวลิ่ว ปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินก็ไม่เกิดขึ้นอีก ซึ่งเหล่าศิษย์ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป และตกลงมาจากศิลาลับเต๋าอยู่เป็นระยะ
จนถึงจุดที่เหลือเพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้น จู่ ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินที่เรียกว่า ‘เพลิงกำเนิดบงกช’ ก็ปรากฏขึ้น มันเกิดกับเซวียนหยวนอวิ่น ของตระกูลเซวียนหยวน ซึ่งเป็นการสรรเสริญจากทวยเทพในทำนองเดียวกัน
จากการตัดสินของผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า การสรรเสริญจากทวยเทพที่เซวียนหยวนอวิ่นได้รับสามารถตัดสินได้ว่า อยู่ในระดับที่สองที่เรียกว่ากัมปนาทเก้าชั้นฟ้า และมันเหนือกว่ามู่เสี่ยวลิ่วหนึ่งระดับ
ไม่นานนัก เซวียนหยวนอวิ่นก็ตกลงมาจากศิลาลับเต๋าเช่นกัน และเหลือเพียงสิบคนที่ยังคงอยู่ที่ใจกลางทะเลสาบ
พวกเขาคือ จั่วชิวอิน มู่อวี่ชง โม่ชีอวิน อ๋าวอู๋หมิง เจี้ยงฉางไฮ่ จงหลีสวิน จ้าวเมิ่งหลี จี้เซวียนปิง เจิ่นลู่ และเฉินซี
จากการทดสอบในอดีต ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินจะปรากฏมากที่สุด และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะหลังจากที่เซวียนหยวนอวิ่น จั่วชิวอิน มู่อวี่ชง และโม่ชีอวิน ปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พลังของการสรรเสริญจากทวยเทพปกคลุมพวกเขาทั้งหมด
ยิ่งกว่านั้น การสรรเสริญจากทวยเทพนี้ ล้วนแต่เป็นกัมปนาทเก้าชั้นฟ้า ซึ่งเป็นระดับที่สอง ดังนั้นทุกคนจึงอุทานด้วยความชื่นชมและตกตะลึง
เหตุผลนั้นง่ายมาก ไม่ว่าโอกาสที่ปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินจะปรากฏขึ้นมากน้อยเพียงใด แต่การที่มันปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น หาได้ยากอย่างยิ่ง!