บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1168 เคหาระดับจักรพรรดิ
บทที่ 1168 เคหาระดับจักรพรรดิ
บทที่ 1168 เคหาระดับจักรพรรดิ
“จากนี้ไปพวกเจ้าทุกคนเป็นศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว พื้นเพหรือที่มาไม่มีค่าอีกต่อไป ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์สายนอกเท่าเทียมกันทุกคน หากอยากได้รับฐานะและความเคารพนับถือก็ต้องหาเอาเอง” โจวจื่อหลีมองไปทางเฉินซีและคนอื่น ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เอาล่ะ ทุกคนจะมีเรือนเอาไว้บ่มเพาะพลังเป็นของตนเอง”
เมื่อพูดจบก็มีเงาร่างกว่าสิบคนปรากฏขึ้น มีทั้งบุรุษและสตรีที่ปลดปล่อยกลิ่นอายแข็งแกร่งออกมา ทุกคนล้วนมีพลังอยู่ที่ขอบเขตเซียนปราชญ์!
“นี่คืออาจารย์ของศิษย์สายนอกที่มาใหม่ทั้งหมด พวกเขาจะอธิบายสิ่งที่พวกเจ้าจำเป็นต้องรู้ สหายน้อยทั้งหลายเอ๋ย หนทางแห่งเต๋านั้นยากลำบาก เป็นหนทางยาวไกลที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามมากมาย จงพยายามให้หนักเสียล่ะ” โจวจื่อหลีสั่งไว้เช่นนั้นก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว
เฉินซีเห็นแล้วก็ตกตะลึง กระทั่งอาจารย์ของศิษย์ใหม่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ายังมีพลังขอบเขตเซียนปราชญ์ หากเป็นในทวีปสันติบูรพา พลังของพวกเขาก็มากพอจะเป็นผู้อยู่เหนือทวีปได้แล้ว
พริบตาต่อมา อาจารย์ทั้งหลายก็แยกกันแจกจ่ายเรือนให้ทุกคน
เฉินซี เจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และคนอื่น ๆ ที่อยู่ในสิบอันดับแรกถูกแยกไปเป็นกลุ่มหนึ่ง อาจารย์ที่รับหน้าที่ดูแลพวกเขาคือชายวัยกลางคนชุดเทา ท่วงท่าแข็งแรง ดูสมบุกสมบัน
ชิ้ง!
ชายวัยกลางคนชุดเทาเพียงโบกมือ เรือเหาะเซียนลำหนึ่งก็ปรากฏ พาเฉินซีและทุกคนเดินทางไปไกล
“ข้าคือหวังเหิน เป็นอาจารย์ของเจ้า ข้าจะคอยแนะนำพวกเจ้าในระยะหนึ่งจนกว่าทุกคนจะสามารถปรับตัวเข้ากับสำนักศึกษาแห่งนี้ได้ ต่อไปหากไม่เข้าใจอะไรก็มาหาข้า” บนเรือเหาะเซียน หวังเหินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “ตอนนี้ข้าจะแจกจ่ายเรือนฝึกให้เจ้าก่อน”
พรึบ!
เรือเหาะเซียนทะลุห้วงอากาศมาเหมือนสายฟ้า เคลื่อนผ่านเรือนโบราณรูปทรงโอ่อ่าจำนวนมากในพริบตา ก่อนมาหยุดอยู่หน้าภูเขาสูงเสียดฟ้า
“นี่คือภูเขาเมฆาไพศาล มีเรือนอยู่สิบหลังในเขตส่วนนอกของภูเขา มีแต่ศิษย์ใหม่ที่ได้สิบอันดับแรกเท่านั้นถึงจะสามารถทำการบ่มเพาะพลังที่นี่ได้” หวังเหินชี้ภูเขาตรงหน้าแล้วอธิบาย “พวกเจ้าโชคดีนัก ใต้เขานี้มีเส้นชีพจรเซียนระดับราชันอยู่ มันมีปราณบรรพกาลโกลาหลด้วย การเข้ามาบ่มเพาะที่นี่หนึ่งวันเทียบเท่ากับหลายเดือนในโลกภายนอก ฉะนั้นหวังว่าทุกคนจะรักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดี”
ทุกคนตาเป็นประกาย สัมผัสได้ชัดเจนว่าปราณเซียนภายในทิวเขาแถบนี้หนาแน่นเป็นพิเศษ ทั้งยังเจือไว้ด้วยปราณโกลาหลและปราณบรรพกาลลอยคว้างอยู่จาง ๆ ปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณ กว้างขวาง และลึกล้ำออกมา
แค่เรือนฝึกที่เตรียมไว้ให้ศิษย์ใหม่ก็มีปราณบรรพกาลโกลาหลแล้ว สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไม่เหมือนใครจริง ๆ ไม่แปลกที่คนหนุ่มสาวส่วนมากจากสามภพจะยอมสู้จนตัวตายเพื่อให้ได้เข้ามา… เฉินซีถอนใจ
“ได้ยินว่ามีเคหาระดับจักรพรรดิในส่วนลึกของภูเขาเมฆาไพศาลอยู่สามแห่งใช่หรือไม่?” จี้เซวียนปิงชี้เข้าไปในป่าส่วนลึก
หวังเหินมองจี้เซวียนปิง ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้ความลับเช่นนี้ เพราะคนในสิบอันดับแรกล้วนมาจากมหาอำนาจ ย่อมรู้สถานการณ์ภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเป็นอย่างดี
อาจารย์หนุ่มพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว แต่จะต้องจ่ายแปดพันแต้มดาราต่อปีเพื่อเข้าไปบ่มเพาะพลังที่นั่น และมีศิษย์เพียงสามคนเท่านั้นที่จะได้เข้าไป”
เขาหยุดไปเล็กน้อยแล้วคลี่ยิ้ม “แน่นอนว่าหากเจ้าบ่มเพาะพลังในเรือนฝึกสิบหลังของภูเขาเมฆาไพศาลส่วนนอก ต้องจ่ายสามพันแต้มดาราต่อปี”
ว่าจบ ก็มีเพียงเฉินซีที่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าการจะบ่มเพาะพลังที่นี่ต้องจ่ายแต้มดารามากมายถึงเพียงนี้ ตอนนี้เขาเข้ามาด้วยอันดับหนึ่งจากการทดสอบ แต่ก็มีมากกว่าหนึ่หมื่นเจ็ดพันแต้มดาราอยู่นิดหน่อยเท่านั้น
เช่นนี้ก็สามารถบ่มเพาะพลังอยู่ภายในเคหาระดับจักรพรรดิได้เพียงสองปีเท่านั้น!
เทียบกับเฉินซีแล้ว คนอื่น ๆ มีสีหน้าสงบนิ่ง เหมือนรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ตน
“สหายน้อย แม้ว่าพวกเจ้าทั้งหลายจะรู้ว่าแต้มดารามีความสำคัญอย่างไร แต่ก็ต้องขอเตือนว่าต่อไปหากได้ก้าวเท้าเข้ามาภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว หากไร้แต้มดาราก็คงไม่สามารถทำอะไรได้”
“การจะได้วิชาบ่มเพาะ ยา สมบัติวิเศษ ข้อมูล วัตถุดิบเซียน หรือจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นล้วนต้องใช้แต้มดาราจ่ายทั้งสิ้น นั่นก็เพื่อให้ทุกคนตั้งใจบ่มเพาะพลังอย่างไร้ความเกียจคร้าน” หวังเหินยิ้ม เหมือนจะเหลือบตามองไปทางเฉินซีด้วยนัยน์ตาสื่อความใน “แต่ไม่ต้องห่วงไป เพราะเรายังมีวิธีการได้รับแต้มดาราอยู่หลายทาง”
“ยกตัวอย่างเช่น หากสหายน้อยที่รั้งสิบอันดับแรกสามารถขึ้นสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้ ก็จะได้รับเก้าพันแต้มดาราทันที และหากสามารถติดห้าร้อยอันดับแรกบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ ก็จะได้รับหนึ่งหมื่นแปดพันแต้มดารา”
“การทำงานในสำนักศึกษาก็เป็นวิธีการได้รับแต้มดาราโดยตรงเช่นกัน”
“นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายวิธี หลังจากเข้ามาในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าสักพักหนึ่งพวกเจ้าจะเข้าใจ”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เฉินซีจึงเข้าใจแต้มดาราภายในตราดาราม่วงดีขึ้น หรือก็คือ หากอยากได้อะไรภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านี้ก็ต้องใช้แต้มดาราจ่าย และหากอยากได้แต้มดารา ก็ต้องใช้ความพยายามหามา
“เอาล่ะ พวกเจ้าจ่ายสามพันหนึ่งร้อยแต้มดารามาเสีย แล้วก็ไปเลือกเรือนเถอะ” หวังเหินพลิกฝ่ามือว่าแล้วนำตราดาราม่วงออกมา
“อาจารย์หวัง เรือนฝึกสิบหลังในเขตภูเขาเมฆาไพศาลส่วนนอกจ่ายแค่สามพันแต้มมิใช่หรือ?” เฉินซีชะงัก อดถามขึ้นมาไม่ได้
พูดจบ ก็เรียกความสนใจจากผู้อื่นได้ จั่วชิวอิน เจี้ยงฉางไฮ่ และอ๋าวอู๋หมิงถึงกับมีแววเยาะเย้ยในสีหน้า
“อ้อ ลืมอธิบายไปว่าอีกหนึ่งร้อยแต้มเป็นค่าที่ปรึกษาที่จ่ายให้ข้า เพราะข้าก็ตอบคำถามพวกเจ้าไปหลายอย่างเลยทีเดียว” หวังเหินยิ้มเอ่ยเสียงอ่อนโยน
เฉินซีจึงเข้าใจอย่างลึกล้ำ กระทั่งขอคำแนะนำหรือถามคำถามยังต้องใช้แต้มดารา แสดงให้เห็นว่าภายในสำนักศึกษาแห่งนี้แต้มดารามีความสำคัญเพียงใด
“ข้าอยากเลือกเคหาระดับจักรพรรดิเพื่อใช้บ่มเพาะพลัง” จังหวะนั้นเอง อ๋าวอู๋หมิงก็เอ่ยเสียงภาคภูมิขึ้นมา “มีแต่สถานที่เช่นนั้นจึงจะเหมาะสมกับฐานะข้า!”
หวังเหินชะงัก จากนั้นพยักหน้า “ย่อมทำได้ แต่เรามีเคหาระดับจักรพรรดิเพียงสามหลังเท่านั้น หากเจ้าอยากเข้าไปบ่มเพาะพลังที่นั่น นอกจากจะต้องจ่ายแปดพันแต้มดาราแล้ว โอกาสในการได้รับก็จะขึ้นอยู่กับอันดับของเจ้าด้วย”
ระหว่างที่พูดก็มองเฉินซีแล้วยิ้มไปด้วย “ยกตัวอย่างเช่น เฉินซีซึ่งได้อันดับที่หนึ่งก็จะสามารถเลือกเคหาระดับจักรพรรดิได้เป็นคนแรก คนต่อมาก็จะเป็นเจิ่นลู่กับจ้าวเมิ่งหลี หากมีใครไม่รับโอกาสนี้ไว้พวกเจ้าที่เหลือจึงจะมีโอกาสเลือกได้”
อ๋าวอู๋หมิงอึ้งไปทันใด สีหน้าดูอับอายอยู่เล็กน้อย รู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาได้รับอันดับที่หกในการทดสอบ ฉะนั้นถึงอยากได้เคหาระดับจักรพรรดิแต่ก็มีโอกาสไม่มาก
“เฉินซี เจ้าตัดสินใจเสียตอนนี้ เจ้าอยากเลือกเคหาระดับจักรพรรดิเป็นที่บ่มเพาะพลังหรือไม่?” หวังเหินถามตามตรง
ทุกสายตามองไปทางเฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน มีความหวังอยู่เล็ก ๆ ว่าเฉินซีจะไม่ใช้เคหาระดับจักรพรรดิ เพราะปราณบรรพกาลโกลาหลภายในมีประโยชน์ต่อการขึ้นสู่ขอบเขตเซียนทองคำอย่างมาก
แต่เฉินซีอยู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ดังนั้นเท่าที่พวกเขารู้ หากเฉินซีเลือกใช้เคหาระดับจักรพรรดิไปก็เปล่าประโยชน์
อ๋าวอู๋หมิงถึงขนาดเอ่ยขึ้นตามตรง “เฉินซี พลังบ่มเพาะของเจ้าต่ำเกินไป ใช้เรือนฝึกไปก็ไม่ได้ประโยชน์ หากเจ้ามอบโอกาสนี้ให้ข้า ข้าจะจ่ายเจ้าห้าพันแต้มดารา และจะมอบมุกมังกรทมิฬให้ ซึ่งมีประโยชน์ยามขึ้นสู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูงนัก”
ระหว่างที่พูดก็คลี่ยิ้มถือดี ชายหนุ่มพลิกฝ่ามือ เผยให้เห็นมุกมังกรก้อนกลมเกลี้ยงสีดำสนิทขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่ง มันเต็มไปด้วยพลังลมหายใจมังกรที่กว้างใหญ่ไพศาลราวมหาสมุทร ดึงความสนใจจากคนหลายคนไปได้
“ว่าอย่างไร? เป็นข้อเสนอที่ดีไม่ใช่เล่นเลยจริงหรือไม่?” อ๋าวอู๋หมิงเชิดหน้ามอง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “แน่นอนว่าหากเจ้าปฏิเสธ ก็เท่ากับปฏิเสธโอกาสในการผูกสัมพันธ์กับภพมังกร”
มันเป็นน้ำเสียงสงบนิ่งที่แฝงแววข่มขู่ไว้
มู่อวี่ชงที่อยู่ใกล้ ๆ มุ่นคิ้ว “อ๋าวอู๋หมิง เจ้าทำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมเท่าใดนัก!”
อ๋าวอู๋หมิงจึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองอีกฝ่าย ก่อนกล่าวเย้ยหยัน “มู่อวี่ชง ข้ากำลังตกลงกับเฉินซี เจ้ามีสิทธิ์มาขัดขวางด้วยหรือ?”
“เจ้า!” มู่อวี่ชงสายตาเย็นชาทันใด
เฉินซีจึงรีบหยุดเขาไว้ แล้วไม่มองอ๋าวอู๋หมิงด้วย ชายหนุ่มหันไปพูดยิ้ม ๆ กับหวังเหินว่า “อาจารย์หวัง ข้าหมายจะบ่มเพาะพลังภายในเคหาระดับจักรพรรดิ”
ว่าจบ อ๋าวอู๋หมิงก็หน้าคว่ำทันใด ส่งสายตาเย็นชามองเฉินซีแล้วคลี่ยิ้มเย็น “ดี ดียิ่ง ใจกล้าไม่น้อยทีเดียว!”
น้ำเสียงนั้นแฝงแววเหี้ยมคล้ายจะบอกว่า ‘เจ้าหนู ฝากไว้ก่อนเถอะ!’ เอาไว้
คนจากภพมังกรล้วนเป็นเช่นนี้ ถือหยิ่งอวดดี มีแค้นต้องชำระ แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเป็นตัวตนที่สูงส่งโดยชาติกำเนิด มีพรสวรรค์และศักยภาพที่มนุษย์ไม่สามารถเทียบเคียงได้ ดังนั้นจึงมีพละกำลังโดดเด่น
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินเช่นนั้น อย่างไรข้าก็เป็นอันดับหนึ่งของการทดสอบ ส่วนเจ้า… ได้แค่อันดับหก เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์มาตัดสินข้าอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีมองอ๋าวอู๋หมิงด้วยสายตาเรียบเฉย ยอกย้อนคำพูดเดิมของเจ้าตัวใส่อ๋าวอู๋หมิงให้มู่อวี่ชง
อ๋าวอู๋หมิงยิ่งมีสีหน้าไม่น่ามอง เผยแววอำมหิต ชายหนุ่มจ้องเฉินซีอยู่นานก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วเลื่อนสายตาไป จากนั้นไม่พูดอะไรอีก
ทุกคนในที่นี้จึงสังเกตเอาไว้ในใจ
เจิ่นลู่ไม่เปลี่ยนสีหน้า
จ้าวเมิ่งหลีเหลือบมองเฉินซีแล้วตกลงสู่ภวังค์ความคิด
จี้เซวียนปิงกลับหัวเราะเล็กน้อย
จงหลีสวินกับโม่ชีอวินทำเฉย ๆ เหมือนไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้
ส่วนเจี้ยงฉางไฮ่นั้น มุมปากเผยแววพึงพอใจกับโชคร้ายของอ๋าวอู๋หมิง
มีเพียงเซวียนหยวนอวิ่นกับมู่อวี่ชงที่มุ่นคิ้ว กังวลว่าเฉินซีอาจถูกอ๋าวอู๋หมิงแก้แค้นในอนาคต
หวังเหินมองเฉินซีด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมแล้วเอ่ยเสียงจริงจังขึ้น “ข้าลืมเตือนไปว่าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป หากสู้กันเองภายในสำนักศึกษา นอกจากจะถูกลงโทษแล้ว ยังจะถูกหัก หมื่นแต้มดาราด้วย ฉะนั้นขอแนะนำว่าอย่าทำอะไรผลีผลามจะดีกว่า”
ทะเลาะกันครั้งเดียวโดนหักหมื่นแต้มดาราเลยหรือ?
ทุกคนได้ยินก็ตกใจ มีกฎเกณฑ์เช่นนี้ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วเหตุใดต้องหักแต้มดาราด้วย? ทำไมพวกเราถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย?