บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 117 เข้าสู่สนามแข่งขัน
บทที่ 117 เข้าสู่สนามแข่งขัน
บทที่ 117 เข้าสู่สนามแข่งขัน
เมืองทะเลสาบมังกร
ห่างไปล้านลี้ในภูมิภาคตอนกลางของเขตแดนทางใต้ เป็นที่รวมของกองกำลังที่ยิ่งใหญ่แปดนิกาย สามสำนักและหกตระกูลใหญ่ กองกำลังเหล่านี้มีทั้งอำนาจและเป็นที่กักเก็บทรัพยากรมากมาย อีกทั้งมีความเก่าแก่ดำรงอยู่มาช้านาน
เนื่องจากเป็นที่ตั้งของกองกำลังขนาดใหญ่หลายแห่งอยู่ในเมืองเดียว คงจะจินตนาการได้ว่าอาณาเขตของเมืองนั้นจะกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด ระดับของความเลิศหรูอลังการจะสักแค่ไหน
เพียงแค่เฉินซีเดินเข้าประตูเมืองก็เห็นถนนอิฐเรียบเป็นเงาวับปราศจากเศษผงธุลี ทุกแห่งหนถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม อาคารบ้านเรือนสถาปัตยกรรมเรียงรายเต็มไปหมด บนถนนที่กว้างกว่าร้อยจั้งคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกบ่มเพาะมากหน้าหลายตาที่หลั่งไหลไปทั่วทุกสารทิศ ทว่าไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าแออัดแต่อย่างใด
ร้านรวงภายในเมืองสูงใหญ่กว้างขวาง และแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมความงดงามอย่างยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งเกินกว่าสายตาจะกวาดมองได้ครบทุกร้าน
ที่นี่มีผู้บ่มเพาะเหลือคณานับ!
เวลานี้ญาณจิตของเฉินซีสังเกตเห็นว่า ตลอดทางที่เดินผ่านมามีผู้บ่มเพาะเคหาทองคำแล้วนับสิบคน แต่ละคนสวมเครื่องแต่งกายปักด้วยตราสัญลักษณ์หลากหลายแสดงให้เห็นว่ามาต่างกองกำลัง
อีกอย่างในจำนวนคนที่เดินสวนกันไปมา เฉินซีพบเห็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่ส่องประกายผ่านมาสักสองสามคน ผ้าคลุมที่สวมไว้สะบัดพลิ้วไปตามกระแสลมยิ่งเพิ่มความภูมิฐานและสง่างาม ไม่ว่าจะผ่านไปที่ใด คนที่พบเห็นจะให้ความเคารพนบนอบอย่างยิ่ง
ณ เมืองทะเลสาบมังกร ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจัดว่ามีฐานะสูงส่งเป็นลำดับต้น ๆ มันแตกต่างกับเมืองหมอกสนที่จัดลำดับมาตรฐานสูงสุดไว้เพียงแค่ขอบเขตตำหนักอินทนิล ซึ่งเป็นพลังที่ด้อยกว่าขอบเขตเคหาทองคำ และไม่ต้องพูดถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเลย!
เดินมาครึ่งวันเฉินซีก็ได้ประเมินเมืองนี้ไว้ในใจคร่าว ๆ ทันใดนั้นเองเขาก็ชะงักฝีเท้าและเอ่ยทักผู้บ่มเพาะพลังคนหนึ่งที่กำลังจะเดินเลยไป
“มีอะไร!” ผู้บ่มเพาะคนนี้เป็นหนุ่มน้อยรูปร่างกำยำ ซ้ำพลังก็ไม่ได้สูงกว่าขอบเขตตำหนักอินทนิลและคงอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น แต่ตราสัญลักษณ์กระบี่ที่ติดอยู่บนผ้าคลุมนั่น บ่งบอกว่าเป็นศิษย์ของกองกำลังทรงพลังสักที่หนึ่ง
และเมื่อถูกเฉินซีรั้งไว้ คนผู้นั้นพลันชักสีหน้าไม่พอใจ ทว่าเขาก็รีบระงับโทสะลงทันที่เมื่อรับรู้พลังของเฉินซี
เป็นเพราะว่าเขาสามารถแยกแยะได้ว่าชายหนุ่มคนนี้เหมือนจะมีกลิ่นอายในระดับที่ไม่แตกต่างกัน ทั้งยังให้ความรู้สึกดั่งห้วงสมุทรกว้างใหญ่ ดังนั้นพลังอย่างน้อย ๆ ต้องถึงขอบเขตตำหนักอินทนิล!
“ผู้อาวุโสมาขวางทางข้าด้วยเหตุใด” หนุ่มน้อยร่างกำยำเปลี่ยนท่าทีไป
“หามิได้ ข้าเพียงอยากจะถามว่าถ้าจะไปลงสมัครเพื่อเทียบอันดับมังกรซ่อนได้ที่ไหน” เฉินซีถามพลางยิ้มน้อย ๆ
“อย่างนี้เอง” หนุ่มน้อยกำยำผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก “การแข่งขันเทียบอันดับมังกรซ่อนจะจัดขึ้นในอีกครึ่งเดือนนับจากนี้ หากต้องการลงสมัครจะต้องไปที่กองเทพองครักษ์ต้าซ่ง ซึ่งห่างจากเมืองทะเลสาบมังกรแปดร้อยลี้ทางตะวันตก”
“อ้อ! ขอบใจมาก” เฉินซีกล่าวตอบแล้วร่างของเขาสั่นเล็กน้อยก่อนจะเร้นกายลับไป
“รวดเร็วอะไรเช่นนี้!” ม่านตาของหนุ่มน้อยหดเกร็งขณะเขม้นมองเฉินซีที่หายไปแล้ว จากนั้นก็มีเสียงคนที่ยังอยู่พึมพำกับตนเอง “การเทียบอันดับมังกรซ่อนเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วม เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปี ชายหนุ่มคนนี้ดูท่ามันจะอายุไม่เกินยี่สิบปี แต่กลับมีพลังน่าเกรงขาม! สงสัยว่าปีนี้เขาน่าจะได้รับการจัดอันดับในเทียบอันดับมังกรซ่อนล่ะกระมัง…”
คำเตือนว่ามีข้อห้ามเหินบินขึ้นไปเหนือท้องฟ้าของเมืองทะเลสาบมังกร แต่เฉินซีใช้วิชาแปดก้าวมังกรสวรรค์จึงทำให้แค่ก้าวเดียวก็เคลื่อนที่ไปได้ไกลกว่าสามสิบจั้ง ไม่ทันไรก็ผ่านไปแปดร้อยลี้แล้ว ขณะนี้ชายหนุ่มพลันหยุดนิ่งอยู่กับที่
ห่างไปเบื้องหน้าร้อยจั้งมีจวนหลังมหึมาสีดำสนิทที่สร้างจากหินภูเขาไฟ มันส่องประกายแวววาวและสูงตระหง่านขึ้นไปพันจั้ง ตรงกลางแขวนด้วยแผ่นทองคำมันวาวและมีอักขระเขียนไว้ว่า ‘กองเทพองครักษ์ต้าซ่ง!’
กองเทพองครักษ์ต้าซ่งเป็นองค์กรของผู้บ่มเพาะที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของราชวงศ์ซ่ง หากจะมีใครกล่าวขานก็คงเป็นเรื่องพลังความแข็งแกร่งน่าเกรงขาม จนชื่อเสียงขจรขจายไปทุกแว่นแคว้น อีกทั้งคนของกองเทพองครักษ์ต้าซ่งล้วนมีพละกำลังแกร่งกล้าอย่างน้อย ๆ ก็ขอบเขตตำหนักอินทนิลกันทุกคน!
แน่นอนว่าเมืองทะเลสาบมังกรแห่งนี้ เป็นแค่สาขาย่อยของกองเทพองครักษ์ต้าซ่ง แต่ถึงกระนั้นความแข็งแกร่งก็ยังน่าเกรงขามอย่างยิ่ง และไม่ได้ด้อยไปกว่ากลุ่มที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ระดับเดียวกันกับอีกแปดนิกายเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าการจัดเทียบอันดับมังกรซ่อนจะเกิดจากความร่วมมือของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งแปดนิกาย สามสำนักและหกตระกูลใหญ่ แต่ผู้บ่มเพาะที่มาจากต่างเมืองต้องลงชื่อ และเข้าเป็นสมาชิกกองเทพองครักษ์ต้าซ่งเสียก่อน
ขณะนี้มีจำนวนผู้บ่มเพาะเดินเข้าออกขวักไขว่ และผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่เป็นคนในขอบเขตตำหนักอินทนิลเกือบทั้งหมด!
“ให้ตายเถอะ! ต้องจ่ายค่าลงชื่อด้วยวารีวิญญาณถึงร้อยชั่ง พวกกองเทพองครักษ์ต้าซ่งมันหน้าเลือดจริง ๆ”
“เฮ้อ แล้วพวกเราจะทำอย่างไร เราไม่ใช่ศิษย์ของพวกกองกำลังใหญ่เมืองทะเลสาบมังกรนี่ซะหน่อย เจ้าพวกนั้นแค่หายใจก็เป็นสมาชิกแล้ว ทั้งยังได้เปรียบในฐานะที่เป็นเมืองเหย้าอีกด้วย พวกเขาไม่ยอมให้ผู้บ่มเพาะจากต่างเมืองอย่างเราเข้าเป็นสมาชิกได้ง่าย ๆ แน่ ๆ”
“ถุย! พวกศิษย์จากกองกำลังใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร มันจะแน่สักแค่ไหนเชียว คอยดูปีนี้ข้าจะต้องติดหนึ่งในร้อยของเทียบอันดับมังกรซ่อนให้ได้!”
“เอาน่า ในอดีตคนที่ติดหนึ่งในสิบลำดับต้นของเทียบอันดับมังกรซ่อน ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ของกองกำลังมหาอำนาจ ซึ่งอยู่ระดับเดียวกับแปดนิกายใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกรทั้งสิ้น มีผู้บ่มเพาะที่มาจากต่างถิ่นไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทำสำเร็จ”
…
เสียงของกลุ่มผู้บ่มเพาะเดินออกมาจากโถงใหญ่พลางพูดคุยเอ็ดตะโรเสียงดัง หัวข้อสนทนาก็เกี่ยวข้องกับการต่อสู้เทียบอันดับมังกรซ่อนที่กำลังจะมีขึ้นอีกราวครึ่งเดือนถัดไป ทำให้เกิดความครึกครื้นกันมาก
‘การจะติดในร้อยอันดับแรกนั้นยากมากอย่างนั้นหรือ? เห็นทีข้าจะประมาทไม่ได้แล้ว’ เฉินซีนิ่งคิดชั่วขณะ จากนั้นก็เดินเข้าไปโดยไม่ลังเลอีกต่อไป
ทันทีที่ก้าวเข้าไปภายในโถงดำทะมึน เฉินซีสังเกตเห็นว่าข้างในนั้นมีพื้นที่กว้างขวางมาก ให้ความรู้สึกเคร่งขรึมจริงจังประหนึ่งกำลังเข้าไปในวังหลวง อีกทั้งบรรยากาศยังเงียบสงบ
บรรดาศิษย์สวมชุดดำและสะพายกระบี่ไว้ที่ด้านหลังยืนอย่างมีระเบียบอยู่รอบ ๆ โถงใหญ่ ขณะนั้นปรากฏคลื่นพลังอำมหิตแผ่ซ่านออกมาอย่างน่ากลัว แสดงว่าคนสวมชุดดำเหล่านี้เป็นศิษย์กองเทพองครักษ์ต้าซ่ง!
“เตรียมวารีวิญญาณร้อยชั่งให้พร้อม จากนั้นก็ไปเข้าแถวรอลงชื่อตรงโน้น” คนของกองเทพองครักษ์ต้าซ่งเห็นเฉินซีที่กำลังเดินเข้ามา จึงชี้พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แถวเป็นแนวยาวดุจร่างมังกรให้เห็นอยู่ไกล ๆ คนหนุ่มสาว บุรุษวัยกลางคนท่าทีองอาจ หญิงสาวหน้าตาสะสวย คนสูงวัย… มีทั้งเด็กผู้ใหญ่หรือชายหญิง ทุกคนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งสิ้น
เฉินซีเดินไปยังท้ายแถว ขณะมองไปรอบข้างพลางกะด้วยสายตา …ในบรรดาผู้ฝึกขอบเขตตำหนักอินทนิลที่เข้าแถว มีทั้งคนที่มีกลิ่นอายแรงกล้าและอ่อนด้อย และมีคนสองคนที่มีกลิ่นอายแข็งแกร่งจนอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มสวมชุดสีม่วงทอง คิ้วหนาดำสนิทดั่งสีหมึกพาดเฉียงคมกริบดุจใบมีด แววตาเปล่งประกายเจิดจ้าประหนึ่งอัญมณีสีดำวาววับที่ทำให้ผู้พบเห็นแทบลืมหายใจ เขาเป็นคนที่มีแขนยาวมาก ดูเหมือนจะยาวกว่าคนทั่วไปราวสิบกระเบียด ขณะที่คนผู้นั้นยืนอยู่กับที่ทว่าพลังกดดันไร้ขีดจำกัดกระจายไปรอบข้าง ไหนจะกลิ่นอายที่ลึกล้ำนั่นอีก
อีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าที่ทำจากขนนก รูปร่างผอมสูงโปร่งแผ่ประกายอ่อนโยนและนุ่มนวล ทำให้ดูมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างยิ่ง แต่รูปร่างหน้าตากลับดูธรรมดามาก ถ้าจับเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนคงยากที่จะหาพบ
เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าถูกเฉินซีจ้องมอง สายตาเหยียดหยามและรังเกียจของคนชุดม่วงชำเลืองแวบมาทันที ส่วนหนุ่มสวมผ้าทอขนนกเพียงพยักเบา ๆ ก่อนที่จะหันกลับไป
“หลินเส้าฉี คุณสมบัติขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นแปดดารา อายุยี่สิบสามปี น้อมรับตราคำสั่ง” เสียงพูดแหบห้าวดังขึ้น ผู้พูดเป็นชายชราสวมชุดสีเทานั่งอยู่ที่โต๊ะ และบนโต๊ะมีหินหยกขนาดเท่ากำปั้นส่องแสงหมองมัว
จากนั้นผู้บ่มเพาะทุกคนจะก้าวออกไปข้างหน้าและวางมือลงบนศิลาหยก จากนั้นชายชราสวมชุดเทาจะพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนจะขานพลังของผู้บ่มเพาะรวมทั้งอายุกระดูกของแต่ละคน ช่างน่าอัศจรรย์นัก!
รูปลักษณ์ภายนอกสามารถหลอกตาผู้อื่น แต่อายุกระดูกจะเป็นที่ประจักษ์ การเทียบอันดับมังกรซ่อนจะอนุญาตให้เฉพาะผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล ที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีเท่านั้น และเมื่อใช้ศิลาหยกนี้ในการพิจารณาจึงไม่มีผู้ใดสามารถผ่านไปได้
เวลานั้นสิ่งที่ตรวจสอบออกมาของชายชุดสีม่วงได้ดึงดูดความสนใจของเฉินซี
“ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นแปดดารา อายุยี่สิบสามปีอย่างนั้นหรือ เขาก็เป็นอัจฉริยะสินะ!”
“เป็นคนหนุ่มที่มีอนาคตไกล แน่เลยว่าครั้งนี้เขาต้องติดหนึ่งในร้อยคนแรกของเทียบอันดับมังกรซ่อน”
“เฮ้ เขาหรือหลินเส้าฉี น่าจะใช่อัจฉริยะของตระกูลหลินแห่งเมืองทะเลหมอก ซึ่งหาไม่ได้ในรอบพันปีอย่างนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินเนื้อความตามประกาศของชายชราสวมชุดเทา เสียงพึมพำด้วยความประหลาดก็ดังขึ้น ทำให้ทุกคนมองไปยังเด็กหนุ่มสวมชุดม่วงด้วยความอิจฉาริษยา
ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นแปดดาราอย่างนั้นหรือ คุณสมบัติเช่นนี้สมควรยโสโอหังหรอกนะ เฉินซีพยักหน้ากับตัวเองแต่ยังอดทอดถอนใจไม่ได้
เมืองทะเลสาบมังกรแห่งนี้สมควรแล้วที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นเมืองอันดับหนึ่งแห่งเขตแดนตอนใต้ มันเป็นที่ซุ่มซ่อนและรวบรวมคนที่มีพรสวรรค์มากมาย
คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะจากต่างเมืองทั้งนั้น บางคนอาจจะมีพรสวรรค์มากกว่าหลินเส้าฉีด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นเองจู่ ๆ เฉินซีก็รับรู้ถึงกลิ่นอายที่ยากจะหาใดเหมือน ชายหนุ่มลืมตามองอย่างรวดเร็ว และพบกับชายสวมขนนกก้าวไปข้างหน้า เกิดกระแสลมพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาเล็กน้อยก่อนจะกดเบา ๆ ลงไปที่ศิลาหยกบนโต๊ะ
ปราณจ้าววิญญาณ!
เพียงชำเลืองครู่เดียว เฉินซีก็จดจำได้อย่างแม่นยำ ฝ่ามือของหนุ่มคนนั้นมีปราณจ้าววิญญาณพุ่งออกมา ด้วยมีเพียงผู้ฝึกทักษะแปรสภาพกายาที่บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้นถึงจะสามารถครอบครองพลังดังกล่าว
“ถังสวี่อย่างนั้นหรือ คุณสมบัติขอบเขตตำหนักอินทนิลระดับสาม อายุกระดูกสิบเก้าปี เอาไปนี่ตราคำสั่งของเจ้า” เสียงชายชราสวมชุดเทาที่นั่งอยู่หลังโต๊ะแสดงความประหลาดใจ ดวงตาทั้งสองที่เคยหลุบต่ำเป็นนิจเหลือบขึ้นมองทันที ทั้งยังมองดูชายสวมชุดขนนกตาเป็นประกาย จากนั้นพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่เลว หากสนใจ ข้ายินดีให้เจ้ามาเข้าร่วมกับกองเทพองครักษ์ต้าซ่งของเรา”
ขวับ!
ทุกคนหับขวับไปมองด้วยความตะลึง ทักษะแปรสภาพกายาขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างนั้นหรือ พลังน่าสะพรึงกลัวที่สามารถบดขยี้ผู้บ่มเพาะปราณภายในระดับเดียวกันได้!
แม้แต่หลินเส้าฉีที่กำลังจะเดินออกจากโถงใหญ่ยังต้องชะงักฝีเท้า และหันไปมองชายสวมชุดขนนกทันที ยามนี้สีหน้าของเขาค่อนข้างเคร่งขรึมขึ้นมา
‘ขอบเขตตำหนักอินทนิลระดับสามอย่างนั้นหรือ พลังสูงกว่าข้าหนึ่งระดับสินะ หรือว่าเจ้านั่นจะฝึกพลังอิทธิฤทธิ์…’ เฉินซีครุ่นคิด
จากนั้นในการตรวจสอบคนอื่นที่เหลือก็ไม่มีคนใดที่ทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจอีกเลย
เมื่อถึงคราวเฉินซี ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าพลางสูดลมหายใจลึก ก่อนจะใช้ฝ่ามือขวากดลงไปที่ศิลาหยกทันที ศิลาหยกนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง เมื่อปราณแท้ซึมเข้าไป ประหนึ่งวัวโคลนลุยทะเลที่หายสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครพบเห็นหรือสัมผัสได้อีกเลย
“เฉินซี คุณสมบัติขอบเขตตำหนักอินทนิลระดับหก อายุกระดูก… สิบเจ็ดอย่างนั้นหรือ ไม่เลว…ไม่เลว… นี่คือตราคำสั่งของเจ้า” ชายชราสวมชุดเทาหยิบตราคำสั่งที่เหมือนจะทำมาจากทองคำมาให้ เขาเอ่ยคำชื่นชมซึ่งหาได้ยากยิ่ง ทว่าเขาไม่ได้มองคนตรงหน้า ทั้งไม่ได้เชื้อเชิญให้เข้าร่วมกองเทพองครักษ์ต้าซ่งอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับถังสวี่ ซึ่งมีทักษะแปรสภาพกายาขอบเขตตำหนักอินทนิลระดับสาม ด้วยวัยเพียงสิบเก้าปี และคุณสมบัติของเฉินซียังมีไม่มากพอ
ถึงกระนั้นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาของเฉินซีที่ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหกดาราตอนอายุสิบเจ็ดปี สิ่งนี้เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนโดยรอบทันที และในตอนที่หมุนตัวกลับก็พบกับสายตาที่เขม้นมองแฝงความอิจฉาริษยา
ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าฝึกทักษะแปรสภาพกายาเป็นสองเท่า ชักสงสัยสิแล้วว่าจะมีท่าทีอย่างไร
ชายชราสวมชุดเทาคนนั้นคงจะชักชวนให้เข้าร่วมกองเทพองครักษ์ต้าซ่งสินะ เฉินซีสะบัดศีรษะขจัดความคิดเพ้อเจ้อออกไป จากนั้นเขาก็รับตราคำสั่งที่มีคำว่า ‘มังกรซ่อน’ อยู่ด้านบน ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนกว่าการเทียบอันดับมังกรซ่อนจะเริ่มต้นขึ้น เห็นทีว่าต้องใช้เวลานี้ฝึกฝนให้หนักเสียแล้ว ขณะที่เดินไปเฉินซีครุ่นคิดในใจไปพลาง
“เฉินซี! เจ้ากล้าดีอย่างไร! มาถึงเมืองทะเลสาบมังกรทั้งทีแต่ไม่คิดจะมาบอกกล่าวให้พวกเรารู้เลย เจ้าเป็นสหายแบบไหนกันแน่!” เฉินซีเพิ่งก้าวออกจากโถงใหญ่ของกองเทพองครักษ์ต้าซ่งเท่านั้น เสียงของใครสักคนตะโกนโหวกเหวกมาแต่ไกล
และเมื่อมองไปทางต้นเสียงก็ได้พบต้วนมู่เจ๋อ ซ่งหลินและตู้ชิงซี!