บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1172 การทดสอบที่อุกอาจ
บทที่ 1172 การทดสอบที่อุกอาจ
บทที่ 1172 การทดสอบที่อุกอาจ
เสียงของโจวจื่อหลีนั้นสงบยิ่ง แต่ก็มีอานุภาพทรงพลังพุ่งตรงไปยังหัวใจของทุกคน
ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดซ้ำซ้อน ซึ่งสุดท้ายจะลงเอยด้วยช่องว่างที่ใหญ่ยิ่ง!
ในการแข่งขันเพื่อบรรลุมหาเต๋า ผู้ที่สำเร็จคือราชา!
สิ้นคำ สภาพแวดล้อมทั้งหมดก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน ดวงตาของศิษย์ทุกคนก็ลุกโชนด้วยความแน่วแน่ร้อนแรง
“เวลาสองปีเพียงพอสำหรับข้าที่จะบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ”
เจิ่นลู่ยังคงไม่แยแส แต่เสียงอันทรงพลังกลับดังก้องอยู่ในใจของเขาแทน “ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องฉวยโอกาสนี้เพื่อเข้าสู่ฝ่ายในให้ได้!”
“สองปี? ประเสริฐยิ่ง ข้าได้ระงับการบ่มเพาะอย่างขมขื่นก็เพื่อโอกาสนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเริ่มทะลวงสู่ขอบเขตเซียนทองคำ!” รอยยิ้มแห่งความมั่นใจปรากฏขึ้นที่มุมปากของจี้เซวียนปิง ชายเสื้อไหวกระพือ พลางแผ่กลิ่นอายของจักรพรรดิออกมา
“สิบห้าอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์? ความท้าทายนี้ไม่เลวเลย” จ้าวเมิ่งหลีดูเหมือนจะหลงอยู่ในห้วงความคิด ดวงตางดงามของนางเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง
ไม่ใช่แค่พวกเขาสามคนเท่านั้น ศิษย์คนอื่น ๆ ก็มีความคิดที่แตกต่างกันไป รวมถึงศิษย์อาวุโสแปดพันคนที่เผยความคาดหวังต่อการสอบเพื่อเข้าสู่ฝ่ายใน ซึ่งจะมีขึ้นในอีกสองปีนับจากนี้ในทำนองเดียวกัน
“แค่สองปี มันสั้นเกินไป… โอ้ บางทีข้าอาจจะเลือกบ่มเพาะในโลกแห่งดาราก็ได้ ด้วยวิธีนี้ ข้าจะได้รับเวลาเพิ่มอีกแปดปี” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจ ชายหนุ่มตั้งใจแน่วแน่ที่จะสอบเข้าสู่ฝ่ายในให้สำเร็จในอีกสองปีนับจากนี้
เมื่อเทียบกับเฉินซีและคนอื่น ๆ มีคนมากมายที่ไม่ได้ตั้งความหวังกับเรื่องนี้มากนัก ตัวอย่างเช่น ศิษย์ใหม่ที่ได้อันดับต่ำกว่าร้อยอันดับแรกในการทดสอบ พวกเขาล้วนทราบดีว่า ไม่ว่าจะทุ่มเทพยายามเพียงใด ภายในสองปี ก็ไม่อาจเข้าร่วมในการสอบเพื่อเข้าสู่ชั้นในได้
ท้ายที่สุด ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการสอบไม่ใช่แค่การบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ แต่ยังต้องติดอันดับหนึ่งในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ด้วย!
เพราะเหตุนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงพวกเขา แม้แต่ศิษย์ใหม่ที่ติดหนึ่งร้อยอันดับแรก ก็ไม่มีความหวังมากนักที่จะทำมันให้สำเร็จ
แน่นอน แม้ว่าจะไม่มีความหวังมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีความหวังเลย ไม่ต้องกล่าวถึงว่านี่คือสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่เต็มไปด้วยวาสนา และตราบใดที่พวกเขาทำงานหนัก บางทีปาฏิหาริย์ก็อาจเกิดขึ้นได้…
หลังจากนั้น โจวจื่อหลีก็จากไปหลังจากกล่าวคำเหล่านี้
จั่วชิวฮงจึงเริ่มกล่าวแทนในฐานะรองอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาฝ่ายนอก จั่วชิวฮงจึงดูแลเรื่องกฎระเบียบและการลงโทษ มีอำนาจค่อนข้างมาก แต่ด้อยกว่าโจวจื่อหลีเพียงเท่านั้น เมื่อรวมกับตัวตนในฐานะคนของหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ ตระกูลจั่วชิว เขาจึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้สูงศักดิ์และได้รับความเคารพ เป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในสำนักศึกษาฝ่ายนอก
“ศิษย์ใหม่อย่างพวกเจ้าคงไม่รู้กฎระเบียบของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามากนัก แต่ข้าคงต้องบอกว่า แม้เจ้าจะไม่รู้กฎแต่ก็ต้องรับโทษ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในอันดับที่หนึ่งหรือท้ายสุด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานของตระกูลสูงส่งหรือเป็นผู้ข้ามผ่านจากภพมนุษย์ ก็ไม่มีใครได้รับการยกเว้นจากกฎของสำนักศึกษาฝ่ายนอก!”
“จงจำไว้! การบ่มเพาะก็เหมือนการพายเรือทวนน้ำ และการตั้งกฎก็เพื่อให้ศิษย์ทุกคนทุ่มเทในการบ่มเพาะ หากใครกล้าฝ่าฝืนกฎ อย่างน้อยที่สุดก็จะจบลงด้วยการลงโทษ แต่ถ้ามากกว่านั้น อาจจบลงด้วยการยึดตราดาราม่วง และถูกขับออกจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ สายตาของจั่วชิวฮงก็จับจ้องไปที่เฉินซี ขณะที่ยังคงแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ทำให้คนอื่นไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
“เอาละ หากพวกเจ้ายังมีคำถามอื่นอีก ก็จงถามอาจารย์ของพวกเจ้าได้ตามสบาย” ทันทีที่กล่าวจบ จั่วชิวฮงก็ออกไปพร้อมกับอาจารย์คนอื่น ๆ
หลังจากที่เหล่าบุคคลสำคัญจากสำนักศึกษาฝ่ายนอกออกไปแล้ว ทั้งจัตุรัสก็คึกคักและส่งเสียงเซ็งแซ่อีกครั้ง
“ศิษย์น้อง ในที่สุดเจ้าก็มา อันดับของเจ้าเป็นอย่างไรในระหว่างการทดสอบ”
“ศิษย์น้อง ข้าได้ยินเกี่ยวกับอันดับของเจ้าในระหว่างการทดสอบ เจ้าทำได้ดีมาก ข้าจะขอให้ท่านพ่อมอบรางวัลให้เจ้าด้วยสมบัติอมตะ เมื่อข้ากลับไปที่ตระกูลแล้ว”
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ข้าอยู่นี่!”
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์อาวุโสหรือศิษย์ใหม่ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนมาจากกองกำลังชั้นนำของภพเซียน ย่อมไม่ขาดศิษย์ที่รู้จักกัน ถึงขนาดมีญาติและสหายที่มาจากกองกำลังเดียวกันมากมาย
ดังนั้น ในช่วงเวลาถัดมา ศิษย์อาวุโสหลายคนเริ่มพูดคุยกับศิษย์ใหม่ และบรรยากาศก็คึกคักอย่างยิ่ง
ในทางกลับกัน ศิษย์อย่างเฉินซี เหลียงเริ่น และกู่เยวหมิงกลับไม่เป็นที่สนใจของผู้คนนัก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่าพวกเขาจะมาจากทวีปทักษิณา แต่เมื่อเทียบกับศิษย์ของกองกำลังชั้นนำ พวกเขาก็ยังด้อยกว่ามาก
“ชิ ดูสิ จี้เซวียนปิง เจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี จงหลีสวิน และคนอื่น ๆ ล้วนถูกล้อมเหมือนดาวล้อมเดือน” เหลียงเริ่นเดาะลิ้นด้วยความชื่นชม และมีร่องรอยของความอิจฉาอยู่ในน้ำเสียงอย่างอดไม่ได้
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง มันเป็นอย่างที่เหลียงเริ่นกล่าว ศิษย์ใหม่ที่ติดหนึ่งในร้อยอันดับแรกระหว่างการทดสอบครั้งนี้ ส่วนใหญ่ถูกรายล้อมไปด้วยศิษย์อาวุโส และค่อนข้างโดดเด่น
สำหรับเหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นปีนี้หรือปีก่อน ศิษย์ที่สามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้ ส่วนใหญ่เป็นศิษย์จากกองกำลังชั้นนำ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะคุ้นเคยกัน
เฉินซีไม่ได้คิดอะไรเมื่อเห็นฉากดังกล่าว และรู้สึกไร้กังวลแทน ชายหนุ่มจึงกล่าวกับกู่เยวหมิงและเหลียงเริ่นว่า “เจ้าทั้งคู่อยากเดินสำรวจรอบ ๆ หรือกลับไปที่เคหาของเจ้าเพื่อบ่มเพาะต่อ?”
“เราตั้งใจจะสำรวจรอบ ๆ” เหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงกล่าวพร้อมกัน
“ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์หลายท่านกำลังสอนอยู่ในหอบรรยาย ข้าเพิ่งพบปัญหาบางอย่างในการบ่มเพาะ จึงตั้งใจจะไปขอคำชี้แนะ” เหลียงเริ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อสูรเซียนของข้าพบปัญหาคอขวดในการบ่มเพาะเมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าจึงตั้งใจจะไปหอฝึกสัตว์อสูร ถ้าข้าสามารถขอคำชี้แนะจากอาจารย์ได้ ก็คงไม่ดีไปกว่านี้แล้ว” กู่เยวหมิงยิ้มขณะกล่าว
กู่เยวหมิงมองไปที่เฉินซี และกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ไยเจ้าไม่ไปกับข้าเล่า เราเพิ่งมาถึงที่นี่ ดังนั้นคงไม่สายเกินไปที่จะเริ่มบ่มเพาะ หลังจากที่เราคุ้นเคยกับสถานการณ์ภายในสำนักศึกษาฝ่ายนอก”
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่า มีสถานที่ดี ๆ มากมายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า บางทีเราอาจจะได้พบโชคโดยบังเอิญก็ได้” เหลียงเริ่นชวนเฉินซีไปด้วย
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่พวกเขาทั้งสามตั้งใจจะออกไปด้วยกัน ฝูงชนที่อยู่ใกล้เคียงก็เริ่มแตกตื่น ก่อนที่จะมีเสียงดังก้องเหมือนฟ้าร้อง “ใครคือเฉินซี? ออกมาซะ!”
ทุกคนโห่ร้องเสียงดัง ขณะมองไปด้านข้าง ปรากฏชายหนุ่มร่างกำยำในชุดคลุมสีเขียวยืนอยู่ระยะไกลด้วยสีหน้าอาฆาตแค้น
“อ๋าวเทียนซิง? เหตุใดถึงเป็นคนผู้นี้?”
“โอ้ หรือว่าเขาตั้งใจที่จะทดสอบพลังฝีมือของศิษย์ใหม่?”
“ฮ่าฮ่า! อ๋าวเทียนซิงเพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำเมื่อไม่นานมานี้ แต่กลับมารังแกผู้อ่อนแอเสียแล้ว”
“คนของภพมังกรต่างหยิ่งผยองเช่นนี้ สงสัยเฉินซีไปล่วงเกินคนของภพมังกรเข้า จนอ๋าวเทียนซิงเสนอหน้าออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ฝูงชนพูดคุยกันจอแจ ทุกคนต่างรู้จักตัวตนของชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวคนนี้ เขาคืออ๋าวเทียนซิงจากภพมังกร ถือได้ว่าเป็นตัวปัญหาในหมู่ศิษย์อาวุโสทั้งแปดพันคน
ในเวลาเดียวกัน สายตาของผู้คนมากมายก็จ้องมองไปที่เฉินซี และแววตาไม่มากก็น้อย ล้วนมีร่องรอยแห่งความสุขจากความโชคร้ายของคนผู้นี้ มีเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่ขมวดคิ้วและไม่พอใจอยู่บ้าง
“เจ้าคือเฉินซีหรือ?” อ๋าวเทียนซิงสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง และจ้องมองไปยังตรงนั้นทันที ในน้ำเสียงเจือความก้าวร้าวและคาดคั้น
เฉินซีขมวดคิ้วและกวาดสายตามองฝูงชน แน่นอนว่าชายหนุ่มสังเกตเห็นว่า อ๋าวอู๋หมิงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนโดยเอามือกอดอกและเชิดคางขึ้นสูง ทั้งยังเผยรอยยิ้มเย็นชา มองตรงมาที่ตน
เห็นได้ชัดว่าอ๋าวเทียนซิงมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับอ๋าวอู๋หมิง
“ไอ้หนู เจ้ายืนอยู่ตรงนั้นทำไม? ไม่ได้ยินคำพูดข้าหรือ?” อ๋าวเทียนซิงก้าวยาว ๆ เข้ามา กลิ่นอายน่าเกรงขามก็เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงในทุก ๆ ฝีก้าว จนอยู่ห่างจากเฉินซีเพียงสิบสองฉื่อ ทั้งร่างดูเหมือนจะกลายเป็นภูเขาสูงตระหง่านแผ่กลิ่นอายกดดันออกมาอย่างมาก
“ใช่แล้ว ข้าชื่อเฉินซี เจ้าต้องการอะไรหรือ?” เฉินซีถามอย่างใจเย็น กลิ่นอายอันน่าเกรงขามนี้ ทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างมาก และมันเป็นพลังยับยั้งที่มาจากความแตกต่างในขอบเขตการบ่มเพาะ
เห็นได้ชัดว่าอ๋าวเทียนซิงคือเซียนทองคำ!
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ เฉินซีก็ยิ่งระแวดระวังอยู่ในใจ “อ๋าวอู๋หมิงตั้งใจที่จะยืมมือคนอื่นเพื่อวางท่าต่อหน้าข้าตั้งแต่วันแรกในสำนักเลยหรือ?”
เขาคิดจริง ๆ หรือว่า จะรังแกข้าได้ตามต้องการ เพียงเพราะข้าไม่ได้เป็นศิษย์ของผู้ยิ่งใหญ่!?
“คนที่อยู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางเช่นเจ้า กลับสามารถเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบได้ด้วยหรือ? มาให้ข้าทดสอบความสามารถที่แท้จริงของเจ้า ไม่ต้องกังวล ข้ารับรองว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า!”
อ๋าวเทียนซิงจ้องมองที่เฉินซีเป็นเวลานาน ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะในตอนท้าย เสื้อคลุมสีเขียวสั่นไหว แล้วสับฝ่ามือออกไป ไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าเฉินซีเห็นด้วยกับการทดสอบนี้หรือไม่ ซึ่งเป็นท่าทีก้าวร้าวและเอาแต่ใจอย่างถึงที่สุด
โครม!
ฝ่ามือนี้สับลงมาราวกับกรงเล็บของมังกรที่พุ่งมาจากมวลเมฆ มันแฝงอานุภาพอันทรงพลังทั้งหมด ความอ้างว้าง หนาแน่น เข้าห่อหุ้มสภาพแวดล้อมโดยรอบ ทำให้คนอื่นไม่อาจหลบเลี่ยง
ศิษย์ใหม่หลายคนตกใจอย่างมาก เพราะนี่ไม่อาจเรียกว่าการทดสอบด้วยซ้ำ พลังที่แฝงอยู่ในการโจมตีนี้ได้เกินขอบเขตของเซียนลึกลับไปแล้ว ดังนั้นเฉินซีจะต้านรับมันได้อย่างไร?
“เขาทำเกินไปแล้ว!”
ในขณะนี้ แม้แต่จี้เซวียนปิงและจ้าวเมิ่งหลีก็ขมวดคิ้วและไม่พอใจเล็กน้อย แต่เนื่องจากการโจมตีของอ๋าวเทียนซิงนั้นกะทันหันและรุนแรงเกินไป พวกเขาจึงไม่สามารถหยุดยั้งมันได้ แม้จะต้องการก็ตาม
ขณะที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว ที่ปกคลุมฝ่ามือของอ๋าวเทียนซิง ใบหน้าของเฉินซีแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างยิ่ง ในขณะที่ปราณในร่างกายรู้สึกราวกับกำลังแข็งตัว
ชายหนุ่มไม่กล้าลังเล และสร้างกระบี่ด้วยนิ้วของตนโดยสัญชาตญาณ จากนั้นใช้เคล็ดกระบี่วารีที่เพิ่งจะบรรลุขั้นสมบูรณ์!
ฟิ้ว!
สายน้ำพร่างพราวพุ่งออกจากจากนิ้วของเฉินซี มันเฉียบคม เต็มไปด้วยพลังสังหาร และรุนแรงถึงขีดสุด ซึ่งกระบวนท่านี้คือ พิรุณโปรยปรายประหนึ่งฝัน ทว่ามันกลับน่ากลัวยิ่งกว่าในอดีต!
ตู้ม!
ปราณกระบี่ปัดป้องพลังของฝ่ามือของอ๋าวเทียนซิง ทั้งสองประจันหน้ากัน
สายตาของทุกคนอดไม่ได้ที่จะหรี่ลง “เขาต้านมันได้หรือ? ปราณกระบี่นี่คืออะไรกัน?
“ฮึ่ม!” อ๋าวเทียนซิงตกตะลึง ชายหนุ่มคำรามในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะถ่ายพลังเข้าฝ่ามือของตน
โครม!
มันบดขยี้ปราณกระบี่โดยตรง และสับไปที่หน้าอกของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง
ทว่าอ๋าวเทียนซิงกลับต้องประหลาดใจ เพราะปราณกระบี่ที่แตกสลายไม่ได้กระจายออกไป แต่มันกลับกลายเป็นเมฆที่ควบแน่นเป็นรูปเป็นร่าง และปัดป้องพลังของตนอีกครั้ง!
ทุกคนต่างก็ประหลาดใจอย่างมากเมื่อเห็นสิ่งนี้ “เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
ใบหน้าของอ๋าวเทียนซิงจมดิ่งลง ถ่ายพลังเพิ่มลงไปในฝ่ามือ มันถูกปกคลุมด้วยกฎของเซียนทองคำ ราวกับมังกรร้ายที่หลุดออกจากกรง และตั้งใจที่จะกลืนกินโลก!