บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1182 กายเต๋า
บทที่ 1182 กายเต๋า
บทที่ 1182 กายเต๋า
ณ ฝ่ายสงวนโอสถ
ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งมีหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำตั้งอยู่
“เซวียนหยวนพัวจวิน?”
“เขากลับมาเร็วขนาดนี้เลยหรือ? โอ้ ยังมีปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดจากตระกูลเซวียนหยวนด้วย”
ผู้อาวุโสต่างพูดคุยกัน
เบื้องหน้าหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ เซวียนหยวนพัวจวินนิ่งเงียบ ขณะจ้องมองมันอย่างแน่วแน่ ใกล้กันคือปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดสองสามคน พวกเขากำลังศึกษาผังค่ายกลยันต์อักขระภายในหม้อกลั่นอย่างมีสมาธิ
เซวียนหยวนพัวจวินพาปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระที่เก่งกาจเหล่านี้มาจากตระกูลของตน เพื่อซ่อมแซมหม้อคุณสมบัติเก้าลึกล้ำอย่างสุดความสามารถ
เสิ่นฮ่าวเทียนอาจารย์ใหญ่ของฝ่ายสงวนโอสถ โม่หลิงไห่รองอาจารย์ใหญ่ และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของสำนัก ไม่ได้รบกวนอีกฝ่าย เนื่องจากพวกเขาสามารถแยกแยะได้ว่า เซวียนหยวนพัวจวินกำลังร้อนรนด้วยความกังวลเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดก็ส่ายศีรษะและถอนหายใจ
“เป็นอย่างไรบ้าง” เซวียนหยวนพัวจวินเอ่ยถาม เขามีรูปร่างสูงตระหง่าน มีคิ้วรูปร่างเหมือนสายฟ้า ราวกับเทพเซียนที่ไร้เทียมทาน
“เกินความสามารถของข้าแล้ว” ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดกล่าวอย่างขมขื่น
คิ้วหนาของเซวียนหยวนพัวจวินขมวดเข้าหากัน ก่อนจะโบกมือและกล่าวว่า “ทำต่อไป! หาก… หากปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดทั้งแปดอย่างพวกเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะจัดการกับผังค่ายกลยันต์อักขระที่เสียหายได้ ก็คงเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่ง!”
คนผู้นี้ไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
นี่คือเซวียนหยวนพัวจวิน อุปนิสัยคมกริบดุจกระบี่ รุนแรงประหนึ่งดาบ และตั้งแต่บ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ คนผู้นี้มักจะมีชื่อเสียงในด้านความกล้าหาญ ไร้ซึ่งความกลัว และตรงไปตรงมา
เป็นเพราะนิสัยใจคอนี้เองที่ทำให้หลายคนเรียกชายผู้นี้ว่าวิปลาสเซวียนหยวน
เวลาผ่านไปทีละนิด บรรยากาศภายในห้องโถงก็ยิ่งหนักหน่วงและกดดันมากขึ้น
นานเข้า สีหน้าของปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดจากตระกูลเซวียนหยวนก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น คิ้วของพวกเขาขมวดเข้าหากันแน่น ราวกับกำลังประสบปัญหาที่ไร้ทางออก ไม่ว่าจะเค้นสมองคิดสักเพียงใดก็ตาม
จนสามารถสังเกตเห็นความงุนงง ความหงุดหงิด ความประหลาดใจ และความเดือดดาล บนใบหน้าของพวกเขาได้ราง ๆ
เซวียนหยวนพัวจวินย่อมสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ ทำให้เขากังวลมากขึ้นเช่นกัน ความโกรธเกรี้ยวกลั่นตัวแผ่วเบาอยู่ที่หว่างคิ้ว
“สหายเต๋าเซวียนหยวน ข้าคิดว่าเราควรคิดหาวิธีอื่น” เสิ่นฮ่าวเทียนกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา เขากังวลเล็กน้อยว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เซวียนหยวนพัวจวินอาจอารมณ์เสียได้
“ไม่จำเป็น เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า ดังนั้นมันควรจะจบลงโดยข้าเช่นกัน หากคนในตระกูลไม่สามารถจัดการกับมันได้ หากมันเลวร้ายยิ่งกว่านั้น ข้าจะยอมรับความผิดพลาดของข้าต่อเจ้าสำนัก” เซวียนหยวนพัวจวินโบกมือขณะกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
“ฮึ่ม! แม้แต่ปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดแห่งฝ่ายสงวนโอสถก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ข้าคิดว่าเจ้าควรลืมเรื่องนี้ไปซะ และอย่าได้ใช้ความพยายามที่เปล่าประโยชน์” เสียงฮึดฮัดดังก้อง มันสั่นสะเทือนไปถึงหู
เซวียนหยวนพัวจวินหันกลับมา และเห็นจั่วชิวเซิงหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา สิ่งนี้ทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นอย่างฉับพลัน ประกายแสงเย็นเยียบดุจกระบี่ ส่องประกายในแววตา
ทันใดนั้นเอง จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวก็ถาโถมออกมา ทำให้กระแสการหมุนเวียนของปราณและมิติตกอยู่ในความผันผวน มันทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าตนกำลังถูกลากลงไปในเหวลึก
ทุกคนตกใจมาก โดยเฉพาะจั่วชิวเซิง ใบหน้ากระตุกวูบ ทั้งยังถอดสีจนซีดเผือด ร่างอวบอ้วนซวนเซจนเกือบล้มลงกับพื้น
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หัวใจของเสิ่นฮ่าวเทียนก็กระตุกเช่นกัน เขากล่าวเสียงดังทันที “สหายเต๋าเซวียนหยวนโปรดระงับอารมณ์ก่อน!”
“ฮึ่ม! แม้ว่าข้า เซวียนหยวนพัวจวิน จะต้องประสบกับภัยพิบัติในตอนนี้ ก็ไม่มีที่ให้ไอ้อ้วนอย่างเจ้าเข้ามาสอด!” เซวียนหยวนพัวจวินแค่นเสียงเย็น ก่อนจะเบือนสายตาออก จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวถูกดึงกลับเข้าไปในร่างราวกับกระแสน้ำขณะฟื้นคืนความสุขุม
จั่วชิวเซิงทั้งหวาดกลัวและโกรธจัด ชายอ้วนกัดฟันพลางเย้ยหยันอยู่ในใจ ‘วิปลาสเซวียนหยวน ข้าจะปล่อยไปก่อน ให้ข้าดูว่าเจ้าจะอธิบายกับเจ้าสำนักอย่างไร เมื่อเจ้าไม่สามารถซ่อมแซมหม้อกลั่นได้ และยังพยายามกลั่นโอสถพลิกชะตาสวรรค์ ทั้งที่เป็นโอสถต้องห้าม! ที่ท่านเจ้าสำนักสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด!’
“ลูกพี่ลูกน้อง? ใยเจ้าถึงกลับมาเร็วนัก?” ในขณะเดียวกัน ก็มีใครบางคนเดินเข้ามาจากนอกห้องโถง ชายสวมชุดสีม่วง ท่าทางสง่างาม เขาคือเซวียนหยวนถง สีหน้าทั้งประหลาดใจและยินดีเมื่อเห็นเซวีนหยวนพัวจวิน
“เจ้าไปไหนมา? ถึงได้กลับมาในเวลาเช่นนี้?” เซวียนหยวนพัวจวินขมวดคิ้ว เขากล่าวห้วน ๆ ด้วยความกังวลใจ
เซวียนหยวนถงหัวเราะอย่างขมขื่น เขาเข้าใจอารมณ์ของเซวียนหยวนพัวจวินดี จึงไม่ถือสาต่อเรื่องนี้
“ลุงสามไปหาข้า ส่วนข้าไปหาเฉินซี” เสียงที่ชัดเจนและไพเราะดังก้องจากนอกห้องโถง ร่างที่มาพร้อมกับเสียงนี้ คือร่างสง่างามและมีชีวิตชีวาของอาซิ่ว
“อาซิ่ว?” เซวียนหยวนพัวจวินตกตะลึง เขากล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว “มาที่นี่ทำไมสาวน้อย?” แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่น้ำเสียงกลับสงบลงมาก เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ค่อนข้างจะเอ็นดูสาวน้อยคนนี้มาก
อาซิ่วเอามือไพล่หลังขณะเดินเข้าไปในห้องโถงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด ที่ผู้เยาว์เช่นนางปรากฏตัวต่อหน้าผู้อาวุโสหลายคนในสำนัก
เมื่อเข้ามาใกล้หม้อกลั่น นางพลันกล่าวว่า “ลุงสอง การที่ข้ามาที่นี่ ย่อมเป็นเรื่องการซ่อมแซมหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ แต่ถ้าท่านไม่เต็มใจ เช่นนั้นข้าจะจากไปทันที”
“หยุดล้อเล่น!” เซวียนหยวนพัวจวินตำหนินางโดยไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและยิ้มอย่างขบขันเช่นกัน
“แล้วคิดว่าข้าจะไปจริง ๆ หรือ” อาซิ่วกระพริบตาและยิ้มพลางมองเซวียนหยวนพัวจวิน
เซวียนหยวนพัวจวินโกรธและกำลังจะโบกมือไล่นางออกไป แต่เซวียนหยวนถงกลับห้ามเขาไว้ “ลูกพี่ลูกน้อง ฟังสิ่งที่อาซิ่วกล่าวก่อน”
เมื่อพวกเขาเห็นเซวียนหยวนถงออกตัวให้กับอาซิ่ว ทั้งเซวียนหยวนพัวจวินและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงและคาดหวัง เมื่อเห็นว่าอาซิ่วดูเหมือนจะไม่ได้ล้อเล่น
มีเพียงจั่วชิวเซิงเท่านั้นที่หัวเราะอย่างเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
“เฉินซีจะมาในอีกสิบวันนับจากนี้ เขาจะช่วยเราซ่อมแซมหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ!” อาซิ่วไม่ได้อ้อมค้อม กล่าวจบนางก็หันหลังกลับและออกจากห้องโถง
เสียงที่ชัดเจนและไพเราะยังคงดังก้องไปทั่วห้องโถง ในขณะที่สีหน้าของทุกคนเริ่มแปลกไป
“สิบวันนับจากนี้?”
“ซ่อมแซมหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ?”
“เด็กคนนั้นไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?”
เซวียนหยวนพัวจวินขมวดคิ้วและกล่าวกับเซวียนหยวนถงผ่านกระแสปราณ “อาซิ่วเสียสติไปแล้วหรือ? นางมั่นใจเกินไป ถ้าเด็กนั่นล้มเหลวล่ะ? ถึงตอนนั้นจะไม่ใช่แค่เด็กคนนั้นที่เสียหน้า”
เซวียนหยวนถงไหวไหล่และกล่าวอย่างหมดหนทาง “เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ลองดูก่อนเถิด”
เซวียนหยวนพัวจวินส่ายศีรษะ และไม่กล่าวสิ่งใดอีก
…
ณ โลกแห่งดารา
หลังจากตกลงกับอาซิ่วว่าเขาจะพยายามช่วย เฉินซีก็เข้าสู่โลกแห่งดารา ชายหนุ่มถอนตราดาราม่วงและเข้าไปในพื้นที่ภารกิจ ก่อนจะพบภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ
หลังจากนั้นก็เริ่มศึกษามันอย่างตั้งอกตั้งใจ ภารกิจนี้ถือได้ว่ายากยิ่ง ไม่เช่นนั้น เหล่าผู้อาวุโสของฝ่ายสงวนโอสถคงไม่ถึงขั้นทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นเฉินซีจึงไม่กล้าทุบอกรับประกัน ว่าตนจะจัดการกับมันได้อย่างสมบูรณ์
สิ่งที่ทำได้ คือ ‘พยายามอย่างเต็มที่’ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยอาซิ่ว หรือการทำภารกิจเพื่อให้ได้รับแต้มดาราแปดแสนแต้ม เขาจะทำทุกวิถีทาง
แน่นอนว่าเฉินซีไม่รู้ว่าอาซิ่วได้กระจายข่าวออกไปว่า ตัวเขาจะสามารถไปซ่อมแแซมหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำภายในเวลาสิบวัน…
สิบวันในโลกภายนอก เท่ากับห้าสิบวันในโลกแห่งดารา
เฉินซีตั้งอกตั้งใจกับภารกิจนี้ โดยไม่รู้ตัว เวลาได้ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนในโลกแห่งดาราแล้ว
“ข้าสามารถยืนยันได้ว่า มันจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับยันต์เทวะ แต่มันยังคลุมเครือและซับซ้อนกว่านั้น ผู้ที่มีความสามารถดังกล่าว อาจเกินมาตรฐานของปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอด และอาจถือได้ว่าเป็นเทพยันต์อักขระ…” เฉินซีกล่าวพึมพำ ณ ตอนนี้ เขาทราบอย่างชัดเจนว่า เหนือระดับปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระ และปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอด คือระดับของเทพยันต์อักขระ และเซียนปราชญยันต์อักขระ
ประการแรกคือเทพ จากนั้นคือเซียนปราชญ์ ดังคำกล่าวที่ว่า เทพและเซียนปราชญ์ไม่อาจล่วงเกิน ซึ่งเห็นได้ชัดจากสิ่งนี้ว่าเทพยันต์อักขระและเซียนปราชญยันต์อักขระเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งอย่างยิ่ง!
ในทางกลับกัน คำว่า ‘ไม่อาจล่วงเกิน’ ก็ได้อธิบายถึงสถานะของพวกเขาอย่างชัดเจน
ซึ่งอันที่จริงแล้ว เต๋าแห่งยันต์อักขระใช้หลักการเดียวกันกับเต๋าแห่งกระบี่ เต๋าแห่งดาบ เต๋าแห่งศิลปะ และเต๋าแห่งวิญญู ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ในเต๋าแห่งกระบี่ บรรลุถึงแนวทางในหลอมรวมกระบี่ ก็จะเข้าสู่ระดับของปรมาจารย์ในเต๋าแห่งกระบี่ ในขณะที่เคล็ดวิชานับร้อยนับพันถูกหลอมรวมเป็นกระบวนท่าเดียว นั่นคือระดับปรมาจารย์ชั้นยอดในเต๋าแห่งกระบี่ ดังนั้นสิ่งที่เหนือกว่าระดับปรมาจารย์และปรมาจารย์ชั้นยอด คือตัวตนของเทพกระบี่และเซียนปราชญ์กระบี่
อย่างไรก็ตาม ในภพทั้งสาม ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ถูกเรียกว่า ‘เทพ’ หรือ ‘เซียนปราชญ์’ มีจำนวนเพียงน้อยนิด ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับระดับเหล่านี้จึงหาได้ยากยิ่ง มันจึงถือได้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งถึง สูงส่งและลึกลับ
“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องพึ่งพาพลังของยันต์เทวะอนันต์แล้ว…”
หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน ในที่สุด เฉินซีก็ตัดสินใจที่จะหยุดเสียเวลา เพราะหากมีเวลามากกว่านี้ เขาย่อมสามารถศึกษาผังค่ายกลยันต์อักขระด้วยจิตใจและจิตวิญญาณได้อย่างเต็มที่
แต่น่าเสียดายที่ยามนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างต้องจัดการ ด้วยเวลาอันน้อยนิด จึงไม่อาจเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ในทางกลับกัน สิ่งเดียวที่เฉินซีรู้สึกว่าสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ น่าจะมีเพียงมรดกที่แท้จริงของปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะ ‘ยันต์เทวะอนันต์’
โอม~
ในขณะนี้ คลื่นความผันผวนแปลกประหลาดและยิ่งใหญ่ ได้แผ่กระจายออกมาจากโลกแห่งดาราด้วยแรงผลักดันอันน่าตกใจ
เฉินซีตกตะลึง เมื่อหันกลับมา ชายหนุ่มเห็นว่าในขณะนี้ ร่างหลักซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น จู่ ๆ ก็เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมานับไม่ถ้วน และทำให้เกิดฝนแสงสาดส่อง รัศมีอันโอ่อ่า เหมือนกับหน่อไม้หลังฝนโปรย และทันใดนั้นมันก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!
“ร่างของข้าได้บรรลุสู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูงแล้ว!” ดวงตาของเฉินซีสว่างวาบ ร่างอวตารและร่างหลักเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาย่อมรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจในร่างหลักได้อย่างชัดเจน
ภายใต้ ท้องทะเลแห่งลมปราณของร่างหลักและภายในจุดฮุ่ยอิน กระแสของปราณเซียนพิสุทธิ์ได้ไหลมาบรรจบกันที่นั่น และเปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์แวววาวราวอำพัน
“วิญญาณแห่งชีวิต!”
ในขณะนี้ วิญญาณสวรรค์ วิญญาณปฐพี และวิญญาณแห่งชีวิต ได้เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตำหนักหนี่หวางที่ด้านบนศีรษะ จุดถันจงที่หน้าอก และจุดฮุ่ยอินที่อยู่ใต้ท้อง ได้เชื่อมโยงและหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นเส้นตรง เผยให้เห็นฉากอันลึกซึ้งของวิญญาณทั้งสามที่หลอมรวมเข้าด้วยกันและพลังลึกล้ำก็ปรากฏขึ้น
เมื่อบรรลุถึงขอบเขตนี้ ร่างกายทั้งหมดก็จะปราศจากสิ่งสกปรกโดยสิ้นเชิง ดังนั้น ร่างกายของคนผู้นั้นจะก่อตัวกายเต๋าที่แท้จริง
ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณของขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง!
“ไม่เลว ถ้าข้าสามารถซ่อมแซมหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำได้ ข้าก็จะสามารถปล่อยให้ร่างหลักดำเนินการ ด้วยวิธีนี้ ร่างอวตารจะไม่ถูกเปิดเผย และยังคงเป็นไพ่ตายต่อไป…” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก และหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนจะหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว