บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1187 เส้นทางสู่การเป็นเซียนกระบี่
บทที่ 1187 เส้นทางสู่การเป็นเซียนกระบี่
บทที่ 1187 เส้นทางสู่การเป็นเซียนกระบี่
หวีด!
เสียงหวีดหวิวคมชัดราวกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่พยายามจะฉีกแก้วหูของผู้ฟังออกเป็นชิ้น ๆ เสียงนั้นฉีกผ่านสวรรค์และปฐพี ปราณกระบี่อันสง่างามนี้น่ากลัวเกินไป มันเต็มไปด้วยรัศมีอันแข็งแกร่งที่สามารถทำลายทักษะด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
นี่คือพลังการทำลายทักษะในดาบเดียว เป็นความสามารถที่มีเพียงปรมาจารย์ชั้นยอดผู้บรรลุในเต๋ากระบี่เท่านั้น จึงสามารถเข้าใจได้!
ปราณกระบี่ประเภทนี้เฉินซีคุ้นเคยดี เพราะเต๋ากระบี่ที่เขาฝึกฝนมาจนถึงตอนนี้ ได้บรรลุมาถึงระดับนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงตระหนักดีว่าอำนาจปราณกระบี่นี้น่ากลัวเพียงใด
แทบไม่ต้องลังเลและครุ่นคิดเลยแม้แต่น้อย
ในทำนองเดียวกัน ปราณกระบี่ก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเฉินซี และควบแน่นเป็นปราณกระบี่ที่มองไม่เห็น ความว่างเปล่าโดยรอบราวกับระลอกคลื่นที่แตกสลาย พวกมันถูกบดขยี้ภายใต้ปราณกระบี่นี้ แผ่กระจายเป็นวงกว้างในความว่างเปล่า
ระหว่างตนกับหัวเจี้ยนคงมีระยะห่างอยู่หมื่นจั้ง หากมีผู้ชม ณ ที่แห่งนี้ พวกเขาจะสามารถสัมผัสถึงปราณกระบี่ของหัวเจี้ยนคงที่เย็นเฉียบเปี่ยมจิตสังหาร ซึ่งพัดผ่านไปราวกับพายุหิมะที่รุนแรงนี้ได้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน ปราณกระบี่ของเฉินซี ประกอบด้วยอักขระยันต์ลึกลับหนาแน่น กระชับ สะอาด เปล่งรัศมีที่มีเอกลักษณ์ และดุร้ายจนทำให้ใจสั่นระรัว
ทั้งสองต่างอยู่ในระดับที่สามารถทำลายฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
เต๋ากระบี่ที่พวกเขาเชี่ยวชาญนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเส้นทางที่แตกต่างกัน คุณภาพไม่มีความต่าง เพียงแตกต่างในระดับชั้นเท่านั้น
ปัง!
ปราณกระบี่ปะทะกัน กลายเป็นกระแสปั่นป่วนที่แฝงพลังทำลายล้างพัดกวาดไปทั่วบริเวณใกล้เคียง
“ปรมาจารย์ชั้นยอดแห่งเต๋ากระบี่ ดูเหมือนว่าทั้งลายเหมันต์และเหมันต์โลหิต จะไม่เหมาะกับเจ้าทั้งคู่”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หัวเจี้ยนคงก็เงียบไปครู่หนึ่ง เขาดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกโล่งใจในเวลาเดียวกัน ในที่สุด อีกฝ่ายก็ปรับสีหน้ากลับมาสู่ความสงบ เย็นชา และดูโดดเดี่ยวเช่นเดิม
ตอนนี้เฉินซีเข้าใจว่า การโจมตีสองครั้งก่อนหน้านี้ หัวเจี้ยนคงใช้ทดสอบเพื่อค้นหาว่ากระบี่เล่มใดเหมาะกับเฉินซี
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีขมวดคิ้ว “เหตุใดท่านจึงยืนกรานที่จะทำเช่นนี้?”
หัวเจี้ยนคงกล่าว “ขัดขวางการโจมตีของข้าอีกครั้ง แล้วข้าจะให้คำตอบแก่เจ้า”
โอม!
การแสดงออกของหัวเจี้ยนคงกลายเป็นจริงจัง ท่าทางเย่อหยิ่งและภาคภูมิปรากฏขึ้นระหว่างคิ้ว ราวกับกระบี่เซียนที่ไม่มีใครเทียบได้หลุดออกจากฝักและปลดปล่อยความสามารถสูงสุดที่มีอยู่!
ปลายนิ้วฟันทะลุผ่านอากาศ สวรรค์และปฐพีกลายเป็นมืดมิด ทันใดนั้น ประกายแสงสุกใสพร่างพราวระยับผ่าน
ราวกับดวงดาวพราวแสงในราตรี
ยามนี้ สวรรค์และปฐพีเริ่มสลัว เหลือเพียงจุดเล็ก ๆ ที่น่าหลงใหลเท่านั้น!
มันคือปราณกระบี่ประเภทใดกัน?
โชคลาภจากสวรรค์และปฐพีเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทันทีที่มันปรากฏขึ้น สวรรค์ ปฐพีและทุกสิ่งดุจกลายเป็นส่วนหนึ่งของปราณกระบี่นั้น พวกมันก่อตัวขึ้นเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีข้อบกพร่องใด ๆ
ราวกับสร้างศัตรูกับโลกทั้งใบ หากตั้งใจที่จะทำลายปราณกระบี่นี้ เช่นนั้นก็ต้องทำลายทั้งสวรรค์และปฐพี!
ขณะนี้ เวลาดูเหมือนจะช้าลง ดวงตาของเฉินซีหดอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่อันทรงพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ ประหนึ่งเฉือนความคิดของเขาไป เฉือนแม้แต่ภูมิปัญญา ความทรงจำ และทุกสิ่งที่มี!
หัวใจกระบี่คือข้า สวรรค์และปฐพีเองก็เป็นข้า!
สวรรค์และปฐพีคือหัวใจของข้า และหัวใจของข้าก็คือกระบี่!
นั่นคือระดับเซียนกระบี่!
เมื่อเห็นแสงที่ดูเหมือนจะทำให้โลกสว่างชัดเจน เขาก็สัมผัสได้ถึงรัศมีอันน่ากลัวและอันตรายในนั้น เฉินก็ซีเลือกหลับตาลง
ความคิดนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในทันที
เต๋ากระบี่มุ่งไปข้างหน้าด้วยความตั้งใจไม่ย่อท้อ
ความตั้งใจที่แน่วแน่ ทุกสิ่งในสวรรค์และปฐพีคือกระบี่ในใจของข้า
ไม่ว่า มหาเต๋า เต๋ารอง หรือความลึกลับต่าง ๆ … ทุกอย่างล้วนสามารถหลอมรวมเข้ากับเต๋ากระบี่ได้ มหาเต๋าอยู่ในใจของข้า มหาเต๋าคือกระบี่ของข้า!
เต๋ากระบี่เป็นดั่งหัวใจของข้า!
เฉินซีลืมตาขึ้น ในดวงตาและแทบทุกส่วนของร่างกายล้วนเต็มไปด้วยปราณกระบี่! ราวกับว่าร่างกายได้กลายเป็นกระบี่คมที่ไม่มีใครเทียบ!
ท่าทางยามนี้ คล้ายกับหัวเจี้ยนคงเล็กน้อย แต่ไม่ได้เข้มงวด สมบูรณ์ และไร้ที่ติเท่า
“หืม?”
หัวเจี้ยนคงตกตะลึงเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกมาจากดวงตา แม้จะไม่ได้เคลื่อนไหว ทว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในโลกก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
แม้แต่ปราณกระบี่ที่ปลดปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาจ้องมองเฉินซีที่อยู่ห่างออกไป ร่องรอยของความรู้สึกที่ซับซ้อนพลันเกิดขึ้นในใจ
“ในเวลาเช่นนี้ เขายังสามารถตระหนักรู้แจ้งได้ ดูเหมือนพรสวรรค์แต่กำเนิดของสหายผู้นี้ก็ไม่ใช่น้อยเช่นกัน…”
ท้ายที่สุด เขาก็ส่ายหัวและไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายคนผู้นี้ได้
ยามนี้ ความเข้าใจที่ไม่สามารถอธิบายได้มากมายกำลังหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของเฉินซี ประสบการณ์ของการดำดิ่งสู่เต๋ากระบี่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาสะท้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บรรจบกัน ควบแน่น และพัฒนาขึ้นภายในห้วงจิต
เต๋ากระบี่เป็นทักษะมหาเต๋า จากบรรดาทักษะทั้งหมดมันเป็นอันดับหนึ่งในแง่ของการสังหารอย่างเด็ดขาด
จากรากฐานเบื้องต้น ขั้นสูง ควบรวม ทั้งหมดนี้เป็นประเภทของการเสริมสร้างและการขัดเกลาของเต๋ากระบี่ เมื่อหัวใจกระบี่กระจ่างขึ้น ก็ถือได้ว่ามาถึงระดับปรมาจารย์แล้ว
เหนือระดับปรมาจารย์ คือความสามารถในการทำลายทักษะทั้งหมดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มันถูกเรียกว่าระดับปรมาจารย์ชั้นยอด
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุด เพราะเหนือระดับของปรมาจารย์ชั้นยอด คือระดับของเซียนกระบี่และเซียนปราชญ์กระบี่!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากที่บรรลุถึงพลังในการทำลายทักษะในกระบี่เดียวของเซียนกระบี่ ผู้มีหัวใจเป็นกระบี่ เป็นหนึ่งกับสวรรค์และปฐพี เมื่อมาถึงระดับนี้ได้แล้ว ทุกสิ่งในโลกล้วนคือมีกระบี่ในจิตใจ!
ตัวอย่างเช่น หัวเจี้ยนคงอยู่ในระดับเซียนกระบี่
เป็นเพราะการโจมตีสังหารครั้งที่สามของหัวเจี้ยนคง ความรู้มากมายที่เฉินซีสะสมไว้จึงได้ปะทุขึ้น จนสัมผัสได้ถึงร่องรอยของแก่นแท้ระดับเซียนกระบี่ ดังนั้น เขาจึงได้สัมผัสกับการรู้แจ้งในเต๋ากระบี่อย่างกะทันหัน!
เวลาผ่านไป เมื่อเฉินซีสัมผัสกับการรู้แจ้งอย่างฉับพลัน ก็สามารถทะลวงผ่านอุปสรรคและบรรลุถึงระดับของเซียนกระบี่ในการก้าวกระโดดเพียงครั้งเดียว
…
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน ในตอนนี้ข้าไม่อาจต้านทานการโจมตีครั้งที่สามได้จริง ๆ ”
หัวเจี้ยนคงส่ายศีรษะ “บางคนนั้นไม่สามารถต้านทานมันได้ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรืออนาคต เพราะการแสวงหาหนทางในเต๋าแห่งกระบี่ของพวกเขาหยุดอยู่แค่ระดับปรมาจารย์ชั้นยอดเท่านั้น”
“แต่เจ้านั้นแตกต่าง จากนี้ไป เจ้าถือเป็นผู้มีศักยภาพพอที่จะพุ่งเข้าสู่ระดับเซียนกระบี่แล้ว อีกไม่นานการโจมตีนี้ย่อมไม่สามารถสร้างอันตรายใด ๆ ให้เจ้าได้อีก”
เฉินซีรู้ว่า สิ่งที่หัวเจี้ยนคงกำลังพูดถึงคือการฝึกฝนในเต๋ากระบี่ มันไม่ได้รวมการฝึกฝนหรือพลังแห่งกฎ แต่การได้รับการยอมรับจากตัวตนที่อยู่ในระดับเซียนกระบี่ ก็ทำให้เขารู้สึกยินดียิ่งนัก
เคร้ง!
หัวเจี้ยนคงยื่นมือออกไป และเรียกกระบี่ตะขอดารามาไว้ในมือ ก่อนมองตรงไปที่เฉินซี “นี่คือกระบี่เซียนระดับจักรวาลขั้นสูงสุด อาจารย์มอบเป็นรางวัลแก่ข้า เมื่อครั้งข้าบรรลุถึงระดับเซียนกระบี่ ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์สำหรับข้าแล้ว ดังนั้น รับมันไปซะ”
ขณะพูด เขาก็สะบัดแขนเสื้อ ทำให้กระบี่ตะขอดารากลายเป็นลำแสงลอยไปทางเฉินซีอย่างนุ่มนวล
“ช้าก่อน ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งกระบี่เซียนใดไว้นะ!” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“เจ้าต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนของเจ้าในสำนึกศึกษาหรือ?” หัวเจี้ยนคงตอบกลับด้วยคำถาม
เพียงประโยคเดียว แต่ทำให้หัวใจของเฉินซีตกตะลึง สายตาตวัดมองไปทางหัวเจี้ยนคงราวกับสายฟ้าฟาด
“สิ่งที่ท่านเจ้าสำนักต้องการ… คือ ยันต์ศัสตรา?” ในที่สุดเฉินซีก็ถามอย่างอดไม่ได้
หัวเจี้ยนคงพยักหน้า เขาไม่แปลกใจเมื่อได้ยินคำว่ายันต์ศัสตรา
เมื่อมาถึงจุดนี้ ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจ เจ้าสำนักของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ารู้ตัวตนของเขานานแล้ว! นอกจากนี้ ตามที่หัวเจี้ยนคงกล่าว เจ้าสำนักคงคิดเก็บยันต์ศัสตราไปเพื่อซ่อนตัวตนของเขาไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็น
เพราะเหตุใด?
เพื่อปกป้องความลับมรดกของเขาเทพพยากรณ์ หรือเมื่อตัวตนของเขาถูกเปิดเผยจะทำให้เกิดภัยพิบัติหรือปัญหาบางอย่าง?
เฉินซีไม่สามารถเข้าใจได้เลย
“เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”
เมื่อเห็นเฉินซียังคงเงียบ หัวเจี้ยนคงจึงกล่าวเสริม “แม้ว่าข้าจะไม่สามารถคาดเดาถึงเจตนาของท่านอาจารย์ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เจตนาร้ายต่อเจ้าอย่างแน่นอน ”
เฉินซีเลิกคิ้วขึ้น “ข้าขอพบท่านเจ้าสำนักได้หรือไม่?”
หัวเจี้ยนคงตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ท่านอาจารย์จะมาพบเจ้าเองเมื่อถึงเวลา”
เฉินซีเงียบไปอีกครั้ง
ทว่าในท้ายที่สุด ชายหนุ่มก็ส่งมอบยันต์ศัสตราให้หัวเจี้ยนคง “ได้โปรด… ดูแลมันให้ดี”
หัวเจี้ยนคงพยักหน้า
“ขอบคุณศิษย์พี่” เฉินซีประสานมือก่อนจะหันหลังจากไป
“หากเจ้าต้องการที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำ เจ้าสามารถขอให้หม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ กลั่นหลอมบงกชครามบรรพกาลเป็นโอสถให้เถิด” หัวเจี้ยนคงพูดอย่างกะทันหัน
เฉินซีหยุดชะงักก่อนจะถามว่า “ท่านเจ้าสำนักคงไม่ได้มีนามว่าเหมิงซิงเหอใช่หรือไม่?”
หัวเจี้ยนคงยังนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำใด
จนกระทั่งเฉินซีจากไป ในที่สุดหัวเจี้ยนคงก็เคลื่อนสายตาไปยังยันต์ศัสตราในมือ ปลายนิ้วค่อย ๆ ลูบไปตามคมกระบี่ที่เรียบง่ายและเย็นเฉียบแผ่วเบา ความประหลาดใจที่ไม่อาจอธิบายได้ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้ว
“เมื่อหลายปีก่อน ทุกคนบอกว่าข้าคลั่งกระบี่ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในบรรดากระบี่ทั้งหมดในสามภพ มีเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้นที่ทำให้ข้าพึงพอใจได้”
“ยันต์ศัสตราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“น่าเสียดาย สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ของข้า…”
…
ห้องโถงภายในฝ่ายสงวนโอสถ
หลังจากเฉินซีและหัวเจี้ยนคงจากไป ผู้อาวุโสทุกคนต่างตื่นตกใจและสับสนเล็กน้อย
ทำไมหัวเจี้ยนคงถึงมาที่นี่เพื่อตามหาเฉินซี?
ไม่มีใครสามารถคาดเดาคำตอบได้
เพราะไม่รู้คำตอบ พวกเขาจึงหยุดใส่ใจ ขณะที่ความสนใจของเซวียนหยวนพัวจวินหันไปทางจั่วชิวเซิง รอยยิ้มเยาะเย้ยเยือกเย็นปรากฏขึ้นที่มุมปาก
เขาก้าวเข้าไปใกล้พลางกล่าวว่า “เจ้าอ้วน เจ้าคือคนที่มอบหมายงานให้ฟื้นฟูหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำใช่หรือไม่? ตอนนี้ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว เหตุใดเจ้ายังยืนเฉยอยู่อีก? รีบยืนยันการเสร็จสิ้นภารกิจและมอบรางวัลให้เฉินซีได้แล้ว”
เสียงของเขาดังมากจนทุกคนที่นี่ได้ยินอย่างชัดเจน
ความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแผนของตนทำให้จั่วชิวเซิงหดหู่ และเสียใจมากจนแทบกระอักเลือด เมื่อเห็นเซวียนหยวนพัวจวินเดินเข้ามาหา ใบหน้าอวบอูมก็แดงก่ำทันที เขาพูดด้วยสีหน้าขุ่นเคืองอย่างไม่พอใจ “ข้าบอกหรือว่า ข้าจะไม่ให้รางวัลภารกิจแก่เด็กนั่น? นี่เป็นเรื่องของเฉินซี เหตุใดคุณชายเซวียนหยวนพัวจวินถึงได้ร้อนรนแทนถึงเพียงนี้”
เซวียนหยวนพัวจวินเผยสีหน้าดูถูกเหยียดหยามมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาพูดอย่างไม่ไว้หน้าว่า “ข้าแค่เกรงว่าเจ้าจะกลับคำ และรังแกศิษย์ใหม่อย่างไร้ยางอาย เพราะนั่นเป็นธรรมเนียมอันดีงามของตระกูลจั่วชิวของเจ้านี่ ดังนั้น ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากป้องกันเอาไว้ก่อน”
จั่วชิวเซิงรู้สึกโกรธอย่างยิ่ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้ากล้าทำให้ตระกูลจั่วชิวของข้าอับอายหรือ?”
เซวียนหยวนพัวจวินไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย โบกมือพลางพูดต่ออย่างเหลืออด “หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ถ้าเจ้ายังไม่ทำ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะทุบตีเจ้า ตัดสินใจเลือกได้เลย!”
ถ้าคนอื่นพูดคำเหล่านี้ บางทีผู้คนที่อยู่ตรงนั้นอาจจะยังระคายหูอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่เมื่อเซวียนหยวนพัวจวินเป็นผู้กล่าว กลับไม่มีผู้ใดกล้าสงสัยในคำกล่าวนี้แม้แต่คนเดียว!
เพราะคนผู้นี้คือบุคคลที่น่ากลัวราวกับคนวิปลาส นิสัยเฉียบคมราวกับใบมีด ยามบ้าคลั่ง แม้แต่อาจารย์ใหญ่สายในฉือฉางเซิง ก็ยังไม่อาจหยุดคนผู้นี้ได้
พริบตาต่อมา ทุกคนก็เผยสีหน้าสิ้นหวังออกมาเล็กน้อย พวกเขาต้องการเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายแต่ไม่กล้าพอ เพราะรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะโน้มน้าวเซวียนหยวนพัวจวิน และยิ่งถูกโน้มน้าวมากเท่าใด คนผู้นี้ก็จะยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น
ใบหน้าของจั่วชิวเซิงเปลี่ยนไปอีกครั้ง แก้มอวบอูมกระตุกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีที่สิ้นสุด