บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1189 ข้าต้องพยายามให้ได้!
บทที่ 1189 ข้าต้องพยายามให้ได้!
บทที่ 1189 ข้าต้องพยายามให้ได้!
เฉินซีไม่คาดคิดว่า บางสิ่งที่รู้สึกยากจนแทบมองไม่เห็นโอกาสสำเร็จ กลับกลายเป็นเรื่องง่ายดายเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสเหล่านี้
ตอนแรกเซวียนหยวนพัวจวินได้มอบปีกกระเรียนปรโลกให้ จากนั้นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระชั้นยอดของตระกูลเซียนหยวนได้มอบปีกอีกาทองคำ ก่อนที่เซวียนหยวนถงจะมอบปีกคุนเผิง
ขณะเดียวกัน อาจารย์ใหญ่เสิ่นฮ่าวเทียนของฝ่ายสงวนโอสถ รองอาจารย์ใหญ่โม่หลิงไห่กับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ อีกหลายคนก็มอบเปลวเพลิงวิญญาณพฤกษา เปลวเพลิงวารีทมิฬ เปลวเพลิงสุริยัน เปลวเพลิงศิลาหมื่นปี ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นระดับสูงสุด และยังมีเป็นเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากในฟ้าดิน
สมบัติทั้งหมดนี้นับได้ว่าเป็นสิ่งที่แสวงหาได้ด้วยวาสนาเท่านั้น ทว่าตอนนี้ พวกมันกลับกองอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว มันทำให้ใบหน้าหล่อเหลาแข็งเกร็งขึ้นเล็กน้อย และรู้สึกราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน
เพราะประหลาดใจมากไป!
อีกทั้งความมั่งคั่งของผู้อาวุโสเหล่านี้ก็น่าทึ่งเหลือเกิน!
“หึ… ไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นใด ฝ่ายสงวนโอสถย่อมไม่ขาดแคลนเปลวเพลิง” โม่หลิงไห่หัวเราะเบา ๆ ด้วยท่าทางภาคภูมิ บุคคลสำคัญอื่น ๆ ของฝ่ายสงวนโอสถยิ้มเงียบ ๆ ซึ่งแสดงท่าทางของผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างชัดเจน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นปรมาจารย์สูงสุดในการการกลั่นโอสถ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ขาดแคลนเปลวเพลิงเช่น เปลวเพลิงวิญญาณพฤกษา หรือเปลวเพลิงวารีทมิฬ
สุดท้ายนอกจากวัตถุดิบเซียนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในการกลั่นโอสถ คือหม้อกลั่นและเปลวเพลิง
เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าตกตะลึงของผู้เยาว์ เหล่าผู้อาวุโสก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะการเป็นจุดสนใจมักถูกเฉินซีช่วงชิงไปอยู่เสมอ ในที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสได้เห็นสหายตัวน้อยถูกปราบ ดังนั้นจึงรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง
“น่าเสียดายที่เจ้ายังขาดปีกวิหคอมตะ” เซวียนหยวนพัวจวินกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว “สิ่งนั้นหายากยิ่ง และเป็นสมบัติล้ำค่าของสัตว์เทวะวิหคอมตะ ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักและสำคัญที่สุดในการหลอมสร้างพัดเทพอัคคี”
“ข้าจำได้ว่าวิหคอมตะเฒ่าของฝ่ายสงวนคัมภีร์มีสมบัติชิ้นนี้อยู่ใช่หรือไม่?” เซวียนหยวนถงกล่าว
“เฮ้ อย่าได้ฝันถึงมัน หญิงชราผู้หยิ่งผยองและไร้ความปรานีนั้นจงเกลียดจงชังพวกเราที่ใช้สัตว์อสูรบินในการขัดเกลาสมบัติ” เซวียนหยวนพัวจวินหัวเราะเบา ๆ ในน้ำเสียงมีร่องรอยของความไม่พอใจราง ๆ
“นั่นค่อนข้างลำบาก เพราะสัตว์เทวะวิหคอมตะถูกกำจัดไปจากโลกตั้งแต่ยุคบรรพกาล ลูกหลานจึงถูกแบ่งออกเป็นสองสาขา ซึ่งคือเผ่าวิหคอมตะตัวผู้และเผ่าวิหคอมตะตัวเมีย เผ่าวิหคอมตะตัวผู้อาศัยอยู่นอกภพเซียน พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวในโลกนี้มานานแล้ว อีกทั้งไม่พยายามติดต่อใด ๆ”
เสิ่นฮ่าวเทียนขมวดคิ้ว “แม้เผ่าวิหคอมตะตัวเมียมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับภพเซียน แต่น่าเสียดายเท่าที่ข้าได้ทราบมา มีเพียงวิหคอมตะเฒ่าเท่านั้นที่ครอบครองสมบัตินี้”
“เช่นนั้น ถ้าข้าไปพบวิหคอมตะเฒ่านั่นแล้วสู้กับนางล่ะ หากมันไม่ได้ผล ข้าก็ไม่เชื่อว่าจะทำให้นางมอบปีกวิหคอมตะให้ข้าไม่ได้” เซวียนหยวนพัวจวินกล่าวด้วยสีหน้าอาฆาตแค้น
เฉินซีตกใจมาก และรู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง เมื่อเห็นผู้อาวุโสเหล่านี้กังวลแทนตน
เมื่อได้ยินเซวียนหยวนพัวจวินตั้งใจจะยึดสมบัติอย่างแข็งขัน ชายหนุ่มจึงรีบกล่าวทันที “ขอบพระคุณผู้อาวุโสสำหรับความเมตตาอันยิ่งใหญ่นี้ แต่ไม่จำเป็นต้องผลีพลาม ปล่อยให้ข้าได้แสวงหาเองจะดีกว่า”
เฉินซีค่อนข้างตระหนักอย่างชัดเจนว่า สัตว์เทวะอย่างวิหคอมตะนั้นเป็นตัวตนสูงสุดในภพทั้งสาม และหายไปพร้อมกับเทพองค์อื่น ๆ มากมายในยุคบรรพกาลนานแล้ว
ปัจจุบัน ลูกหลานของวิหคอมตะถูกแบ่งออกเป็นเผ่าเพศผู้และเผ่าเพศเมีย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหาวิหคอมตะตัวใหม่พบ
“ยัยเฒ่าวิหคอมตะนั่นมีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น และมีอายุยืนยาวมากกว่าหมื่นปี แล้ว… เจ้าจะทำมันได้สำเร็จจริง ๆ หรือ?” เซวียนหยวนพัวจวิน คำรามด้วยเสียงหัวเราะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยกระแสเย้าแหย่
คนอื่น ๆ ก็ยิ้มตามไปด้วย
ตัวตนอย่างวิหคอมตะที่แท้จริงนั้น มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาและสายเลือดที่ไม่มีใครเทียบได้ อายุขัยของมันยาวนานนัก แต่เส้นทางในการบรรลุขอบเขตการบ่มเพาะนั่นยากยิ่ง แค่การแปลงกายเป็นมนุษย์ก็ยังต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหมื่นปี
แน่นอนว่าเป็นเพราะพรสวรรค์ของวิหคอมตะที่แท้จริง ทำให้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้เหนือกว่าผู้บ่มเพาะในขอบเขตเดียวกัน นี่คือความแตกต่างในด้านชาติกำเนิด ทรัพยากร และสายเลือด
เฉินซีไม่สามารถใส่ใจกับเรื่องทั้งหมดนี้ได้ ชายหนุ่มกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้จักผู้หญิงคนหนึ่งจากภพวิหคอมตะที่แท้จริง บางทีข้าอาจจะได้รับเบาะแสจากนาง”
ชายหนุ่มกำลังกล่าวถึงจ้าวเมิ่งหลี แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของตนกับสตรีนางนั้นไม่ค่อยดีนัก มันเป็นความสัมพันธ์ที่ต้องแข่งขันกัน แต่เหตุผลที่เขากล่าวเช่นนี้ก็เพื่ออธิบายแก่ผู้อาวุโส อีกทั้งยังป้องกันไม่ให้พวกเขาไปหาเรื่องวิหคอมตะเฒ่าตัวนั้นด้วย มิฉะนั้น บุญคุณที่ได้รับในครั้งนี้ก็จะมากมายมหาศาล จนเขาไม่อาจรับความกรุณาเช่นนี้ได้
“คงไม่ใช่สาวน้อยที่ชื่อจ้าวเมิ่งหลีกระมัง?” เซวียนหยวนพัวจวินเลิกคิ้ว “พรสวรรค์โดยกำเนิดของสาวน้อยคนนั้นไม่เลวเลย และตัวนางเองก็โดดเด่น แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือนางมีสายเลือดบริสุทธ์ อีกทั้งยังสืบทอดเคล็ดวิชาลับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพรสวรรค์โดยกำเนิดของวิหคอมตะที่แท้จริง ยามนี้นางกำลังบ่มเพาะอยู่กับวิหคอมตะเฒ่าในฝ่ายสงวนคัมภีร์ ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด นางจะต้องผ่านการทดสอบของฝ่ายในอย่างแน่นอน”
เมื่อกล่าวถึงจ้าวเมิ่งหลี เสิ่นฮ่าวเทียนก็ถอนหายใจ “ใช่แล้ว ศิษย์ใหม่ในปีนี้โดดเด่นกว่าปีก่อน ๆ นัก อาจกล่าวได้ว่าเป็นการรวมตัวของดวงดาราและเต็มไปด้วยอัจฉริยะที่มีความสามารถ อีกไม่นานศิษย์ใหม่เหล่านี้จะกลายเป็นหนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียน”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ เขาก็มองไปที่เฉินซี และกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ข้าจำได้ว่า เจ้าบรรลุขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางในระหว่างการทดสอบรอบที่สาม มันเพิ่งผ่านไปสิบกว่าวันเท่านั้น แต่เจ้ากลับทะลวงผ่านอีกครั้ง และบรรลุขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูงแล้วหรือ?”
ก่อนหน้านี้ จิตใจของพวกเขาจดจ่ออยู่กับหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ และมองข้ามการบ่มเพาะของคนผู้นี้ไป ทว่าตอนนี้ เมื่อได้พินิจอย่างถี่ถ้วน พวกเขาก็สังเกตเห็นว่า การบ่มเพาะของเฉินซีอยู่ที่ขอบเซียนลึกลับขั้นสูงแล้ว!
ในเวลาเพียงสิบกว่าวัน ชายผู้นี้ก็บรรลุจากขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางไปสู่ขั้นสูง!
ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นด้วยสองตาของตนเอง ก็คงไม่เชื่อ
ทันใดนั้น สายตาที่จ้องมองเฉินซีก็แปลกไปเล็กน้อย แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเคยเห็นคนที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ไม่เคยเห็นคนที่ก้าวหน้าเท่านี้มาก่อน!
เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่นในใจ “ดูเหมือนข้าจะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดอีกแล้ว…”
“อย่างไรก็ตาม ความเร่งรีบไม่ได้นำมาซึ่งความสำเร็จเสมอไป รากฐานของเจ้าอาจไม่มั่นคงจากการก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว วิถีของการบ่มเพาะจะต้องดำเนินไปทีละขั้น ดังนั้นจงอย่าได้เร่งรีบเพียงเพราะปรารถนาที่จะบรรลุ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้วิถีสู่การแสวงหามหาเต๋าของเจ้าแคบลง” เซวียนหยวนพัวจวินขมวดคิ้วและกล่าวเตือนผู้เยาว์
เฉินซีกล่าวอย่างเคร่งขรึม “จริงดั่งที่ท่านผู้อาวุโสว่าทุกประการ”
แน่นอน เขาไม่สามารถบอกเซวียนหยวนพัวจวินได้ว่ารากฐานของตนนั้นมั่นคงและลึกล้ำเสียจนเหนือกว่าผู้บ่มเพาะในขอบเขตเดียวกันถึงร้อยเท่า และถ้าสิ่งนี้ยังไม่มั่นคง ก็แสดงว่าความยุติธรรมนั่นไม่มีอยู่ในโลกแล้ว
“เจ้าคงไม่เร่งการบ่มเพาะเพียงเพราะเจ้าปรารถนาจะเข้าร่วมการสอบภายในอีกสองปีนับจากนี้ใช่หรือไม่?” เสิ่นฮ่าวเทียนถาม
เฉินซีพยักหน้า “เวลาไม่เคยคอยใคร ดังนั้นผู้เยาว์ต้องพยายามให้ดี!”
แม้เฉินซีจะกล่าวคำเหล่านี้อย่างใจเย็น แต่ก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกมั่นคงและดื้อรั้น เห็นได้ชัดว่าเขาตัดสินใจแล้ว และจะไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของตนอย่างแน่นอน
ทุกคนต่างรับรู้ถึงสิ่งนี้เช่นกัน
“ขอบเขตเซียนทองคำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้มาโดยง่ายดาย เจ้าได้รับพลังจากการสรรเสริญจากทวยเทพแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์โดยกำเนิดหรือความแข็งแกร่งในการต่อสู้ พวกมันล้วนได้รับการยอมรับจากการทดสอบรอบที่สามแล้ว อย่างไรก็ตาม การทะลวงไปสู่ขอบเขตเซียนทองคำภายในเวลาสองปี ก็ดูจะรีบร้อนเกินไป” ในขณะนี้ เซวียนหยวนพัวจวินดูเหมือนจะถือว่าเฉินซีเป็นผู้เยาว์ของตน ดังนั้นทุกสิ่งที่เขากล่าวจึงแสดงความกังวล “วิถีแห่งการบ่มเพาะนั้นมุ่งเน้นที่ความมั่นคง ดังนั้นข้าขอแนะนำว่าเจ้าอย่าเร่งรีบนัก”
เฉินซีพยักหน้า พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่ข้าพบศิษย์พี่หัวเจี้ยนคงก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่ได้บอกกับข้าว่า หากข้าต้องการทะลวงไปสู่ขอบเขตเซียนทองคำ ข้าสามารถขอความช่วยเหลือจากหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำได้”
สิ้นคำ ผู้อาวุโสทุกคนพลันรู้สึกตกตะลึงในใจ
ก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างคาดเดาว่า เหตุใดหัวเจี้ยนคงซึ่งเป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนักจึงมาหาเฉินซี แต่ไม่คาดคิดว่าหัวเจี้ยนคงจะชี้แนะเฉินซีในการบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ!
สิ่งนี้ทำให้พวกเขามีความเชื่อมั่นมากขึ้น “ดูเหมือนเจ้าสำนักจะเฝ้าดูเฉินซีมาตลอดตั้งแต่สิ้นสุดการทดสอบ…”
“เด็กน้อยคนนี้เต็มไปด้วยความลึกลับจริง ๆ…” เหล่าผู้อาวุโสต่างลอบถอนหายใจ
“หม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ?” เสิ่นฮ่าวเทียนอาจารย์ใหญ่ของฝ่ายสงวนโอสถ ให้ความสนใจกับบางสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เขาตกใจและงงงวยเล็กน้อย
“ใช่แล้ว หม้อสมบัติเก้าลึกล้ำ ผู้เยาว์บังเอิญได้รับบงกชครามบรรพกาลในระหว่างการทดสอบรอบที่สอง…” เฉินซีอธิบายอย่างอดทน
เมื่อพวกเขาได้ยินคำว่า ‘บงกชครามบรรพกาล’ หัวใจพลันสั่นไหวอีกครั้ง ความคิดมากมายอยู่ในหัว จนไม่สนใจในสิ่งที่เฉินซีกล่าวอีกต่อไป
หลังจากผ่านไปนาน เหล่าผู้อาวุโสก็จ้องมองเฉินซีด้วยสายตาแปลกประหลาด ราวกับเป็นครั้งแรกที่ได้พบคนผู้นี้
เฉินซีถึงกลับกล่าวไม่ออกเล็กน้อย… มันก็แค่บงกชครามบรรพกาลไม่ใช่หรือ เหตุใดพวกเขาจึงมีสีหน้าเช่นนี้?
หลังจากนั้น ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว “ผู้อาวุโส บงกชครามบรรพกาลนี้ได้รับมาจากผู้อาวุโสที่ชื่อว่าเหมิงซิงเหอ คนผู้นั้น… คงไม่ใช่ท่านเจ้าสำนักใช่หรือไม่?”
ทุกคนตกตะลึง จากนั้นส่ายศีรษะและเงียบโดยพร้อมเพรียง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่กล่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว
แม้แต่เซวียนหยวนพัวจวินที่มีอุปนิสัยตรงไปตรงมา ก็ยังเผลอเปิดปาก ก่อนจะปิดปากลงอย่างแน่นหนาในตอนท้าย
ดูเหมือนเหมิงซิงเหอจะเป็นทั้งเจ้าสำนักหรือตัวตนที่ไม่ธรรมดาในสำนักศึกษา…
เฉินซีรู้สึกว่ามันน่าเสียดายเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขายังคงรับรู้ได้หลายอย่างจากปฏิกิริยาของเหล่าผู้อาวุโส
“ด้วยบงกชครามบรรพกาลเป็นส่วนผสมหลัก มันสามารถสกัดเป็นโอสถทิพย์เก้าชีพจรได้ หลังจากกินมันเข้าไป โอกาสในการบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำจะเพิ่มขึ้นถึงห้าส่วน”
เสิ่นฮ่าวเทียนไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าว “อย่างไรก็ตาม การกลั่นโอสถนี้เป็นการสิ้นเปลืองอย่างแท้จริง สมบัตินี้มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ขอบเขตเซียนปราชญ์ เป็นสิ่งพิเศษสุดจะพรรณนาได้ ในความเห็นของข้า เจ้าควรเก็บมันไว้ก่อน มันจะเหมาะสมกว่าถ้าเจ้าใช้มันเมื่อเจ้าบรรลุสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์”
เขาเป็นอาจารย์ใหญ่ของฝ่ายสงวนโอสถ และเป็นปรมาจารย์สูงสุดที่มีความสามารถอันล้ำเลิศในการกลั่นโอสถ ดังนั้นทุกสิ่งที่เขากล่าวจึงมีน้ำหนักมาก หากเป็นคนอื่นคงได้แต่ฝันถึงการได้รับคำชี้แนะจากคน ๆ นี้
เฉินซีย่อมแยกแยะข้อดีข้อเสียได้โดยธรรมชาติ ชายหนุ่มเงียบไปนาน ก่อนจะกล่าวในตอนท้าย “ขอบเขตเซียนปราชญ์อยู่ห่างจากข้ามากเกินไป ตอนนี้ความปรารถนาเดียวของผู้เยาว์คือการบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำอย่างราบรื่น”
ชายหนุ่มไม่อาจรอต่อไปได้แล้วจริง ๆ และเป็นเช่นเดียวกับที่โจวจื่อหลีได้กล่าวไว้ กลียุคของทั้งสามภพกำลังใกล้เข้ามา ดังนั้นการตัดสินใจพลาดเพียงครั้งเดียว อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท้ายที่สุดอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่!
การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งมหาเต๋านั้นต้องผ่านการดิ้นรน!
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อให้แข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว หรือเพื่อทำหน้าที่ที่แบกไว้บนบ่าให้สำเร็จ เฉินซีจะไม่ยอมให้ตัวเองช้าลงแม้แต่น้อย
“มอบบงกชครามบรรพกาลให้ข้าที”
ทว่าจู่ ๆ เสียงอันไพเราะและเงียบสงบก็ดังก้องไปทั่วห้องโถง แม้เสียงนี้จะแผ่วเบา แต่กลับแฝงกลิ่นอายของความสูงวัยและร่องรอยของความเกียจคร้าน
ราวกับเจ้าของเสียงนี้เพิ่งตื่นขึ้นจากการหลับใหลมายาวนานพันปี
ร่างของทุกคนที่อยู่ในห้องโถงสั่นสะท้านพร้อม ๆ กัน ทุกสายตาพุ่งตรงไปยังหม้อสมบัติเก้าลึกล้ำที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องโถง!