บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1198 ศึกที่ใกล้เข้ามา
บทที่ 1198 ศึกที่ใกล้เข้ามา
บทที่ 1198 ศึกที่ใกล้เข้ามา
แน่นอนว่า ถังอิงต้องแพ้อย่างสิ้นเชิง!
หากรู้ว่าเฉินซีใช้กำลังน้อยกว่าครึ่งหนึ่งก็จัดการตนได้แล้ว ถังอิงคงรู้สึกโชคดีที่รีบแพ้ไปเช่นนี้
“ยอดเยี่ยม!” กู่เยวหมิงกับเหลียงเริ่นตะโกนอย่างตื่นเต้น “ให้พวกศิษย์รุ่นพี่รู้เสียบ้างว่าไม่สามารถมากร่างกับเด็กใหม่ตามใจชอบได้!”
เฉินซียิ้ม แต่เมื่อเห็นบาดแผลบนร่างกายของสหายตนก็เก็บรอยยิ้ม กลับคืนสู่ความสงบดังเดิม
ครั้งนี้เหล่าศิษย์อาวุโสดึงเหลียงเริ่นกับกู่เยวหมิงติดร่างแหมาเพื่อจัดการตน แล้วครั้งหน้าเล่า?
ดังนั้นจึงต้องสั่งสอนให้ไม่ลืมเลือน ไม่เพียงแต่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่อยากให้ทั้งสำนักศึกษาเข้าใจว่าใครก็ตามที่บังอาจล่วงเกินสหายของตนจะต้องรับผลที่หนักหนาอย่างใหญ่หลวง!
“ใครอยากลองอีก?” เฉินซีว่าพลางเหลือบมองหลิวอี่หมิง ซิงเยวียนหัง กงหยางหลงเฟ่ย และศิษย์รุ่นพี่คนอื่น ๆ แต่ไม่ว่ามองผ่านไปทางใด ศิษย์รุ่นพี่ทั้งหลายก็พร้อมเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตา
สีหน้าหลิวอี่หมิงและคนอื่น ๆ อับเฉาลงกว่าเก่า ไม่มีใครกล้าตอบรับ
หากเซวียนเจิ้นแพ้เพราะความประมาท เช่นนั้นถังอิงก็แพ้เพราะไร้โชค
ตอนนี้ เหล่าศิษย์อาวุโสรู้ชัดเจนแล้วว่าอันดับหนึ่งของปีนี้ ไม่ใช่คนที่พวกตนจะจัดการได้โดยง่าย
ถึงขนาดที่ศิษย์อาวุโสหลายคนเริ่มเสียใจที่ฟังคำยุยงของหลิวอี่หมิงให้มาหาเรื่องคนผู้นี้ เพราะหากล่วงเกินยอดฝีมือ อนาคตอาจไม่ได้กินอิ่มนอนหลับก็เป็นได้
หลิวอี่หมิงเองก็รู้สึกเสียใจอยู่ภายในเช่นกัน นางกัดฟันแน่น รู้สึกว่าถูกจั่วชิวจวินหลอกใช้ เดิมทีนางคิดว่าเฉินซีไม่ใช่คนจากมหาอำนาจเหมือนเจ็ดตระกูลบรรพกาล จึงคิดว่าตนรับมือไหว ไม่คิดเลยว่าพลังต่อสู้ของคนผู้นี้จะโดดเด่นถึงเพียงนี้
บัดซบ! หากรู้แต่แรกก็คงไม่รับโอสถทิพย์เก้าชีพจรมา… หลิวอี่หมิงทั้งโกรธทั้งไม่พอใจ ใบหน้างดงามแปรเปลี่ยนไปมาไม่แน่นอน
“นี่คือฝึกฝีมือให้ศิษย์ใหม่หรือ?” เมื่อไม่มีใครตอบรับ รอยยิ้มเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
สีหน้าเหล่าศิษย์อาวุโสแปรเปลี่ยนไปเมื่อได้ยิน แต่ไม่ว่าในใจจะโกรธเพียงใดก็ไม่กล้าผลีผลามก้าวเท้าออกไป
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกไปแล้วว่าจะเล่นด้วยจนถึงที่สุด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าเสียเวลาแล้วเข้ามาพร้อมกันเลยดีกว่า” เฉินซีเอ่ยเสียงเรียบ
พูดจบก็เหมือนสายฟ้าฟาดลงศีรษะของทุกคน
อะไรนะ?
อยากจะให้รวมกลุ่มกันสู้กับคนเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ?
ศิษย์อาวุโสได้ยินแล้วเบิกตากว้าง จ้องเฉินซีเขม็งราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องตลกร้าย
พร้อมกันนั้นในใจก็รู้สึกถึงกระแสความโกรธเกรี้ยวก่อตัวขึ้น รู้สึกเหมือนถูกหมิ่นศักดิ์ศรี แน่นอนว่าอีกฝ่ายมีพละกำลังกล้าแข็ง แต่คิดหรือว่าคนอื่นเป็น ‘ลูกพลับนิ่ม’ ที่คิดจะบีบก็บีบได้โดยง่าย?
กู่เยวหมิงกับเหลียงเริ่นชะงัก เหมือนเพิ่งรู้จักเฉินซีวันนี้เป็นวันแรก เพราะท่าทีของเจ้าตัวทั้งน่าเกรงขามและเย่อหยิ่งจองหองเป็นอย่างยิ่ง
“สหายผู้นี้ทะนงตัวเกินไปแล้ว…” กู่เยวหมิงเต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าว่าเฉินซีทำได้!” เหลียงเริ่นเผยสีหน้าตื่นเต้นที่หาได้ยากออกมา “ตั้งแต่ได้รู้จักเขา ยังไม่เคยเห็นเขาทำสิ่งใดไม่สำเร็จเลย!”
กู่เยวหมิงชะงักงัน เมื่อลองคิดดูดี ๆ ก็เป็นจริงตามนั้น ใครจะคิดว่าเฉินซีจะขึ้นเป็นห้าอันดับแรกบนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปทักษิณาภายในระยะเวลาอันสั้นได้? ใครจะจินตนาการว่าไม่เพียงผ่านบททดสอบรับศิษย์ทั้งสามรอบของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้ แต่ยังได้อันดับหนึ่งมาครอง?
ไม่เคยมีใครคาดคิดถึงเรื่องนี้ได้!
เจ้าหมอนี่เป็นเหมือนตัวประหลาดที่ใช้หลักเหตุและผลมาตัดสินไม่ได้ เฉินซีทำให้ผู้อื่นประหลาดใจอยู่ตลอดก็คงเป็นเพราะเช่นนี้กระมัง? กู่เยวหมิงถอนหายใจ ความกังวลที่หว่างคิ้วลดลงไปมาก
“เจ้าเด็กนี่…” ชายแก่ผมขาวที่อยู่ใกล้เคียงรู้สึกคอแห้งอยู่เล็กน้อย และตกตะลึงเช่นกัน ในความตกตะลึงนั้นเหมือนได้เห็นเงาร่างอันคุ้นเคยจากเด็กหนุ่ม มันคือความมั่นใจที่มีแต่ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นจึงจะมีได้ …เป็นหัวใจที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิ!
อย่างน้อยชายแก่ผมขาวก็ดูแลฝ่ายบำเพ็ญเต๋ามานาน แต่น้อยคนนักที่จะมีจิตวิญญาณเช่นนี้ และปัจจุบันหนุ่มสาวเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นเสาหลักช่วยค้ำจุนภพเซียน มีอำนาจเหนือใครไปแล้ว!
เฉินซีทำเป็นไม่เห็นตาแดงก่ำของเหล่าศิษย์อาวุโส ยังคงเอ่ยเสียงเรียบ “อะไรกัน? ต่อสู้กันเป็นกลุ่มแล้วจะเสียศักดิ์ศรีอย่างนั้นหรือ?”
ศิษย์อาวุโสคนหนึ่งยับยั้งตนเองไม่ไหว คำรามลั่น “อวดดี! อย่าได้ทำตัวจองหองนัก!”
“ในเมื่อเจ้ายืนกราน ข้าก็จะสนองให้เอง!” หลิวอี่หมิงได้ยินกลับรู้สึกดีใจ รีบฉวยโอกาสเอ่ยคำทำให้ฝ่ายตนฮึกเหิมขึ้น
หากเป็นการสู้ตัวต่อตัว นางไม่รู้ว่าจะมีใครที่นี่มีฝีมือทัดเทียมกับอีกฝ่ายได้หรือไม่ แต่หากสู้รวมเป็นกลุ่มก็ไม่แน่!
เฉินซีเป็นเซียนทองคำหรือ?
ก็ไม่!
เขาอยู่เพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง ไม่ว่าจะมีพลังต่อสู้น่ากลัวเพียงใด มีหรือจะรับมือพลังจากหลายคนพร้อมกันได้?
หลิวอี่หมิงพูดจบ ศิษย์อาวุโสคนอื่น ๆ ก็พร้อมเข้าร่วม จิตใจเต็มไปด้วยความกระหายอยาก
“แน่ใจแล้ว… หรือ?” ชายแก่ผมขาวอดถามไม่ได้
เฉินซีพยักหน้า “ผู้อาวุโสได้โปรดเป็นพยานและบันทึกแต้มดาราอย่างที่พวกเขาเดิมพันไว้ด้วย อย่าให้ข้าต้องเสียแรงเปล่า”
ชายแก่ผมขาวอ้าปากค้าง เด็กนี่ห่วงแต่แต้มดารา ดูท่าทางมั่นใจไม่น้อยทีเดียว
ตอนนี้เขาไม่แนะนำอะไรเพิ่มอีก ภายในกลับเกิดความสนใจขึ้นมา อยากเห็นว่าเด็กคนนี้จะเผยพลังต่อสู้แบบใดให้เห็น อยากรู้ว่าเฉินซีจะรับมือศัตรูทุกคนได้หรือไม่
แต่เมื่อศิษย์อาวุโสได้ยินคำพูดนั้น ก็เหมือนกระบี่คมแทงลงกลางใจ ทำเอาพวกเขาตาแดงก่ำกันไปทุกคน
“เจ้ายังอยากได้แต้มดาราอยู่อีกหรือ? เจ้า… อย่าได้แพ้เชียว!”
“โอหัง! เด็กใหม่สมัยนี้โอหังยิ่งนัก!”
“เอาเลย! โจมตี โจมตีพร้อมกันเลย!”
ทุกคนตะโกนเสียงดังลั่นเรียกขวัญกำลังใจ
เฉินซียังสบายอารมณ์ เอ่ยเสียงเรียบ “หากอยากประมือกัน เช่นนั้นก็พนันหนึ่งหมื่นแต้มดารามา อย่าบอกเชียวว่าศิษย์อาวุโสอย่างพวกท่านแต้มดาราเพียงหนึ่งหมื่นแต้มก็ยังไม่มี?”
คำพูดนั้นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย จุดไฟโกรธแค้นขึ้นในใจของทุกคนได้สำเร็จ บางคนก้าวขึ้นมาแล้วหยิบตราดาราม่วงให้ชายแก่ผมขาวบันทึกแต้มที่เดิมพันไว้
เมื่อมีคนเริ่ม คนอื่นย่อมทำตาม
พริบตาเดียว นอกจากเซวียนเจิ้นที่หมดสติอยู่กับถังอิงที่พ่ายแพ้ไปแล้ว หลิวอี่หมิงและศิษย์อาวุโสอีกหกคนล้วนลงคะแนนเดิมพันกันทั้งสิ้น
ชิ้ง~
ชายแก่ผมขาวบันทึกแต้มทั้งหมดไว้โดยละเอียด ก่อนจะหยิบจานค่ายกลขึ้นมาเปิดใช้ข้อจำกัดอีกครั้ง
ที่นี่คือลานบำเพ็ญเต๋าเขตเซียนลึกลับของฝ่ายบำเพ็ญเต๋า ปกติมีคนขวักไขว่ วันนี้ก็เช่นกัน
ความปั่นป่วนจากการประมือระหว่างเฉินซีกับศิษย์อาวุโสดึงความสนใจจากคนมากมาย ยิ่งตัวเฉินซีคนเดียวปะทะกับศิษย์อาวุโสทั้งกลุ่มก็ยิ่งเกิดความโกลาหลขึ้น
“เด็กใหม่นั่นเป็นใคร? หยิ่งผยองถึงเพียงนี้เลย?”
“คงจะเป็นอันดับหนึ่งของปีนี้นามเฉินซีกระมัง เราไปดูกันเถอะ ศิษย์อาวุโสเชิญศิษย์ใหม่มาประมือพูดคุยเรื่องเต๋าล้วนเป็นธรรมเนียมของสำนักศึกษา ในเมื่อเฉินซีแสดงความโดดเด่นออกนอกหน้าเช่นนั้น วันนี้คงไม่สามารถเดินออกจากฝ่ายบำเพ็ญเต๋าได้แน่”
“ถูกต้องแล้ว ศิษย์รุ่นพี่คงไม่นิ่งเฉยหากได้ยั่วยุพวกเด็กใหม่!”
“ไป เราไปดูกัน!”
“ต้องบอกศิษย์พี่หนิงเมิ่งกับลี่เหวินชงหรือไม่?”
“ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ? หากปล่อยให้ศิษย์ใหม่ชนะต่อไป ศิษย์อาวุโสเช่นเราจะเอาหน้าไว้ที่ไหน?”
ได้ยินเสียงเซ็งแซ่ดังมาแต่ไกล กลุ่มคนรีบรุดมาจากทั่วทุกทิศ อีกทั้งศิษย์จากส่วนอื่นของฝ่ายบำเพ็ญเต๋ายังสังเกตเห็นจึงรีบเดินทางมาเช่นกัน
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
“เหมือนเรื่องจะใหญ่ขึ้นนะ…” เหลียงเริ่นขมวดคิ้วมองกลุ่มศิษย์อาวุโสหลายกลุ่มเร่งเดินทางเข้ามา ในใจเริ่มเกิดความกังวล
เขาไม่ได้กลัวว่าเฉินซีจะไม่สามารถเอาชนะหลิวอี่หมิงและคนอื่น ๆ ได้ ที่กลัวคือจะยิ่งมีศิษย์อาวุโสเข้ามา ‘ประมือ’ กับเฉินซีมากขึ้นกว่าเดิมนี่สิ
เช่นนั้นคงเป็นปัญหาแน่!
“ดูสถานการณ์ก่อนเถอะ หากเห็นท่าไม่ดี ถึงตอนนั้นค่อยบอกเฉินซีว่าไม่ต้องรับคำท้าอีก” กู่เยวหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดช้า ๆ
เหลียงเริ่นพยักหน้ารับ
สถานการณ์ที่จู่ ๆ ก็คึกคักทำให้หลิวอี่หมิงและคนอื่น ๆ กดดันขึ้นมาเช่นกัน นอกจากจะมีสีหน้าเคร่งเครียดแล้ว ยังรู้สึกไม่พอใจอีกด้วย
สุดท้ายพวกเขาก็หลายคนรุมหนึ่ง นับเป็นภาพน่าอับอาย ตอนนี้มีศิษย์อาวุโสหลายคนกำลังจ้องมองมา หากทำเช่นนี้แล้วยังแพ้ก็คงเสียหน้าจนไม่อาจกู้กลับมาได้
ตอนนี้ถอยไม่ได้แล้ว เสียใจตอนนี้ก็ไม่ทัน
ดังนั้นต้องชนะให้ได้!
หรือก็คือเมื่อมีแรงกดดันจากรอบทิศ ก็ทำให้ใจหลิวอี่หมิงและคนอื่น ๆ เกิดความเร่าร้อนเด็ดเดี่ยวขึ้นมา
“อะไรนะ? คิดจะสู้พวกนั้นทั้งหมดเลยหรือ?”
ณ โถงผู้คุมกฎสายนอก จั่วชิวจวินรู้เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว เขาหรี่ตาลงในพลัน รีบโบกมือกล่าวว่า “ไป แจ้งหนิงเมิ่งและยอดฝีมือคนอื่น ๆ ที่อยู่ขอบเขตเซียนลึกลับให้รีบไปเขตเซียนลึกลับฝ่ายบำเพ็ญเต๋า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาชนะเจ้าเด็กนั่นให้ได้!”
น้ำเสียงนั้นเด็ดขาดไม่เปิดโอกาสให้ใครต่อต้าน
เขารู้ดีว่าหากเฉินซีคว้าชัยในวันนี้ไปได้ ไม่เพียงแต่แผนการกดดันของตนจะล้มเหลว แต่ยังช่วยส่งเสริมเกียรติยศและชื่อเสียงให้เฉินซีอีกด้วย
เขาไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแน่
“ขอรับ” ในฐานะที่เป็นน้องชายของจั่วชิวจวิน จั่วชิวฉวนจึงเข้าใจสถานการณ์ดี รีบรับคำแล้วจากไปอย่างเร่งรีบ
เจ้าตัวบัดซบผู้นี้รับมือยากเสียจริง ทำถึงเพียงนี้ยังทำอะไรเจ้านั้นไม่ได้… จั่วชิวจวินกัดฟันแน่น สีหน้ายิ่งโหดเหี้ยม เย็นชา ไม่สนใจผู้ใด ไม่รู้ว่าควรใช้เซียนทองคำในยามคับขันดีหรือไม่
ทว่าในตอนนี้เฉินซีอยู่บนลานบำเพ็ญเต๋า กำลังยืนเผชิญหน้ากับหลิวอี่หมิง ซิงเยวียนหัง กงหยางหลงเฟ่ย และศิษย์อาวุโสคนอื่น ๆ
การต่อสู้กำลังจะเริ่มแล้ว!