บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 120 การต่อสู้ในสนามประลอง
บทที่ 120 การต่อสู้ในสนามประลอง
บทที่ 120 การต่อสู้ในสนามประลอง
2ตอนต่อวัน
มีคนออกมาสร้างความวุ่นวายอีกแล้ว!
เมื่อเห็นฉากนี้ แววตาของพวกเขาฉายแววความตื่นเต้นไหวระริก
เหยียนชิงหนี่เป็นหนึ่งในสามสิบหกศิษย์ที่แท้จริงของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ส่วนต้วนมู่หลินก็เป็นสมาชิกของหนึ่งในหกตระกูลใหญ่นั่นก็คือ ตระกูลต้วนมู่ ทั้งสองคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญในรุ่นเยาว์มีทั้งสถานะสูงส่ง แต่กลับไม่อาจตอบโต้เซี่ยจ้านได้
แล้วเจ้าเด็กอวดดีนี่โผล่มาจากที่ไหน? เขาจะทำอะไรกับเซี่ยจ้านได้?
“พี่ใหญ่เฉินซี” มู่เหยากับมู่เหวินเฟยกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ผู้ที่มาใหม่คือเฉินซี เนื่องจากเขาเป็นคนพาพี่น้องคู่นี้มาที่เมืองทะเลสาบมังกร เขาจะทนนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร?
“พวกเจ้าสองคนยืนดูเฉย ๆ ก็พอ ไว้ข้าจะพาเจ้าทั้งสองไปด้วยในภายหลัง” ชายหนุ่มยิ้มให้พี่น้องคู่นี้ในขณะที่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ร่างกายและจิตใจของมู่เหยากับมู่เหวินเฟยถูกกรีดลึก มันทำให้ทั้งสองโดดเดี่ยว หมดหนทาง และโกรธแค้น อีกทั้งยังทุกข์ทรมานจากความอยุติธรรม การปรากฏตัวของเฉินซีพร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้สองพี่น้องสัมผัสถึงความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้ ต่อให้เวลานี้ท้องฟ้าถล่มลงมา พวกเขาก็จะปลอดภัยอยู่เบื้องหลังแผ่นหลังแกร่งนี้
“เหตุใดถึงเป็นเจ้า?” เหยียนชิงหนี่ขมวดคิ้ว จากนั้นก็กล่าวด้วยท่าทางเหยียดหยาม “นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาโอ้อวดความสามารถหรือทำตัวโดดเด่น ระวังตัวไว้ มิเช่นนั้นเจ้าอาจต้องจบชีวิต”
เฉินซีโยนขวดหยกให้แก่นาง “ขอบคุณสำหรับคำเตือน จงเก็บวารีวิญญาณยี่สิบจินนี้กลับคืนไป การที่ช่วยมู่เหยากับมู่เหวินเฟยและพามาที่เมืองทะเลสาบมังกร ข้าไม่ได้คิดหาโอกาสเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับใครทั้งนั้น”
เหยียนชิงหนี่ตกตะลึง นางถือขวดหยกไว้และไม่ได้คิดจะกล่าวอะไรอีก เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นผู้บ่มเพาะจากต่างเมือง ที่ไม่ทราบว่าตัวตนของตระกูลเซี่ยมีอำนาจเพียงใด
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ นางได้เห็นผู้บ่มเพาะจากต่างเมืองที่ไม่รู้อะไรเลย หรือพวกที่คิดสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเองในเมืองทะเลสาบมังกร แต่ช่างน่าเสียดาย ชะตากรรมของพวกเขากลับไม่มีข้อยกเว้น และต้องมีจุดจบที่น่าอนาถใจ!
ในขณะนี้ เฉินซีกลายเป็นคนเยี่ยงนั้นในสายตาของเหยียนชิงหนี่ไปโดยปริยาย
“เฮ้ พี่ชาย เจ้ากำลังพยายามทำตัวเป็นวีรบุรุษอยู่หรือ?” ต้วนมู่หลินรู้สึกว่าความโดดเด่นของตนกำลังถูกกลบ เขาจึงกล่าวประชดประชัน “อย่าทำร้ายชีวิตตัวเองโดยไม่ตั้งใจ ไม่มีใครมาคอยเก็บกวาดศพของเจ้าหรอกนะ”
ชายหนุ่มยิ้มขณะชี้ไปยังศาลาไม้ไผ่ แล้วกล่าวผ่านกระแสปราณว่า “มีคนที่นั่นขอให้ข้าบอกให้เจ้าไสหัวไปซะ มิฉะนั้นก็ให้ข้าช่วยหักขาของเจ้าซะ”
“มารดามันเถอะ โผล่หัวมาให้ข้าดูหน่อย ว่าใครกล้ากล่าวเช่นนี้!” ต้วนมู่หลินเดือดดาล เขาเงยหน้าขึ้นมอง แต่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยแวบเข้ามาตรงหน้าต่างศาลาไม้ไผ่ นั่นก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านและหน้าซีดเผือดในบัดดล ชายผู้นี้ไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว ก่อนจะรีบหันหลังจากไปอย่างเร่งรีบ
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้คนต่างชะเง้อหน้ามองดูด้วยความสงสัย แต่กลับเห็นว่าหน้าต่างถูกปิดไปแล้ว
เหยียนชิงหนี่เหลือบมองไปที่เฉินซีอย่างเคลือบแคลง และดวงตาคู่สวยก็วูบไหวไปมา
เนื่องจากชายหนุ่มใช้การพูดผ่านกระแสปราณ นางจึงไม่ได้ยินอะไร กระนั้นก็ตระหนักได้ว่า ต้วนมู่หลินผู้ซึ่งไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดกลับแสดงความหวาดกลัวอย่างสุดขีด!
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?
‘ต้วนมู่หลินที่ตามติดข้าแจเหมือนปลิง เขาจะไม่กล่าวอะไรเลยสักคำแล้วเดินจากไปเฉย ๆ อย่างนั้นหรือ’
‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้ก็มีภูมิหลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน?’
เหยียนชิงหนี่ไม่อาจทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นนางจึงวางแผนที่จะยืนดูต่อไป นางต้องการดูว่าชายผู้นี้จะจัดการกับเซี่ยจ้านได้อย่างไร
…
“สหายเต๋า เจ้าจะสู้กับข้าหรือ” เซี่ยจ้านกล่าวช้า ๆ และเผยแววตาคมกริบตวัดมองเฉินซีตั้งแต่หัวจรดเท้า
ตั้งแต่เฉินซีปรากฏตัวขึ้น จนกระทั่งต้วนมู่หลินจากไป เซี่ยจ้านก็เฝ้ามองมาตลอด แม้ว่าเขาจะเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่ใช่คนขลาดเขลา เขารู้ดีว่าคนที่กล้าออกมาต่อต้านในตอนนี้ไม่ใช่คนหนุ่มที่หุนหันพลันแล่นหรือต้องการโอ้อวดความแข็งแกร่งแต่อย่างใด
“นั่นขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้ากระทำ” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย
เซี่ยจ้านกลอกตาไปมา “ข้าจะปล่อยสองพี่น้องนี้ตามที่เจ้าต้องการและไม่ถือโทษอีก ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะคนของข้าได้ ถ้าทำไม่ได้… ก็จงทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ซะ คิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“ข้าเห็นด้วย”
“ยอดเยี่ยม!” เซี่ยจ้านหัวเราะเสียงดัง
“แต่ข้ามีเงื่อนไข” เฉินซีกล่าวด้วยท่าทางสงบ
“ว่ามา”
“เมื่อข้าชนะแล้ว เจ้าต้องคุกเข่าคำนับขอโทษพวกเขาสามครั้ง” เฉินซีกล่าวแผ่วเบา
“จะ… เจ้า…” ดวงตาของเซี่ยจ้านเบิกโพลงด้วยความโมโห “ไอ้หนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังเล่นกับไฟ”
“เจ้าไม่กล้าตกลงหรือ” เฉินซียังคงไม่แยแสและเพิกเฉยต่อจิตสังหารอันเข้มข้นของเซี่ยจ้าน
“ตกลง! ข้าจะตั้งกฎการต่อสู้” เซี่ยจ้านครุ่นคิดพักใหญ่ ก่อนที่จะกล่าวเสียงเข้ม “หากเจ้าชนะทั้งสามครั้ง ข้าจะทำตามที่เจ้าบอกทันที แต่หากเจ้าแพ้ก็จงทิ้งชีวิตไว้ซะ! และไม่ต้องกังวล เพื่อพิสูจน์ว่าข้าไม่ได้รังแกเจ้า ทุกคนที่เข้าร่วมการต่อสู้จะมีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำกว่าขอบเขตเคหาทองคำ”
“นี่มันรังแกกันชัด ๆ พี่ใหญ่เฉินซีเพียงคนเดียวจะสู้ติดต่อกันทั้งสามครั้งได้อย่างไร” มู่เหวินเฟยร้องเสียงดัง
เฉินซีเหยียดมือออกเพื่อยับยั้งมู่เหวินเฟย จากนั้นมองไปที่เซี่ยเจิ้น ก่อนที่จะกล่าวช้า ๆ ว่า “ตกลง!”
เซี่ยจ้านหัวเราะเหี้ยมเกรียม จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่น “ผู้ดูแล! จงไปจัดสนามประลองที่จุคนได้นับพัน ข้าต้องการให้ทุกคนได้เห็นว่าผู้บ่มเพาะที่น่ารังเกียจจากต่างเมือง จะต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถเป็นเยี่ยงไร!”
…
ศาลาชุมนุมเซียนได้รับการขนานนามว่าเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอันดับหนึ่งของเมืองทะเลสาบมังกร ดังนั้นย่อมไม่ขาดสนามประลองที่จะให้บรรดาแขกเดิมพัน และประลองเพื่อความบันเทิง
เพื่อสร้างชื่อให้แก่ตนเองในเมืองทะเลสาบมังกร ผู้บ่มเพาะจำนวนมากจากต่างเมือง ล้วนเลือกที่จะเข้าร่วมการต่อสู้แบบเดิมพันในสนามประลองแห่งนี้ ผู้ที่ครอบครองความแข็งแกร่งอย่างน่าตกตะลึงย่อมมีโอกาสสูงมากที่จะได้เป็นผู้ติดตาม ศิษย์ หรือบริวารของกองกำลังมหาอำนาจ… พวกเขาจะมีความก้าวหน้าทางสังคมอย่างรวดเร็ว และยืนหยัดพร้อมกับเพลิดเพลินไปกับทรัพยากรมากมาย
ขณะนี้ ในสนามประลองที่รองรับผู้ชมได้นับพันคน ที่นั่งทุกที่แน่นขนัด และกลุ่มของตู้ชิงซีก็เลือกที่นั่งตรงมุม ๆ หนึ่ง
สายตาของทั้งสามจ้องมองไปยังเฉินซีที่ยืนอยู่หน้าสนามประลอง
“เฉินซีผู้นี้ยึดถือมิตรภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ อันที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องล่วงเกินตระกูลเซี่ยเพื่อพี่น้องคู่นี้ ที่ไม่ใช่แม้แต่ญาติหรือสหายเก่า หากเป็นข้า …ข้าคงไม่มีปณิธานเยี่ยงเขา” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวด้วยความชื่นชม
“มันไม่ดีหรือ?” ตู้ชิงซีตอบคำถามด้วยคำถาม
“ใช่ มันไม่ดีหรือ?” ซ่งหลินเอ่ยถามเช่นกัน
ต้วนมู่เจ๋อกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ข้าบอกว่ามันไม่ดีหรือไร? ว่ากันตามจริง ในโลกนี้ ข้า ต้วนมู่เจ๋อ ขอฝากชีวิตไว้กับสหายอย่างเฉินซีโดยไม่ต้องกังวลแม้แต่น้อย หากเป็นคนอื่นน่ะหรือ? อย่าแม้แต่จะฝันถึง!”
ตู้ชิงซีกับซ่งหลินต่างมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม เฉินซีเป็นคนเช่นนั้น …ไม่มีคำพูดสวยหรูหรือคำมั่นสัญญา แต่เพื่อสหายที่เขายอมรับ เขาจะยื่นมือช่วยเหลือโดยไม่ลังเล
โลกแห่งการบ่มเพาะอันโหดร้ายที่ผู้คนต่างหลอกลวงซึ่งกันและกัน คนเช่นนี้นับว่าหายากเกินไปจริง ๆ สำหรับพวกตู้ชิงซี มิตรภาพที่พวกเขาสร้างขึ้นกับเฉินซีนั้นมีค่าเป็นอย่างยิ่ง!
…
ที่ด้านหน้าของสนามประลอง มีคนอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นข้างเซี่ยจ้าน คนหนึ่งเป็นชายในชุดคลุมสีม่วงทอง คิ้วดำสนิทและดวงตาแวววาวราวกับอัญมณีสีดำ ที่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก
อีกคนหนึ่งคือเด็กหนุ่มในชุดขนนก รูปร่างดูธรรมดา ถึงกระนั้นท่าทางกลับอ่อนโยนเหมือนสายน้ำและก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
คนทั้งสองที่ตกตะลึงนี้คือหลินเส้าฉีกับถังสวี่ที่เฉินซีเคยพบในโถงใหญ่ของกองเทพองครักษ์ต้าซ่ง
“เพื่อความปลอดภัย พี่หลินจะเป็นคนแรกที่เข้าสู่สนามรบนี้ จากนั้นพี่ถังจะเป็นคนที่สอง เป็นอย่างไร” เซี่ยจ้านกล่าวช้า ๆ
หลินเส้าฉียิ้มอย่างไร้กังวล “เราจะทำตามที่นายน้อยบอก แต่ข้าคิดว่าพี่ถังคงไม่มีโอกาสได้ลงสนามแล้ว ฮ่า ๆ!” ความหมายของคำกล่าวคือการที่เขาสามารถฆ่าเฉินซีได้ในรอบแรก
“หากเป็นเช่นนั้นก็นับว่าดียิ่งนัก” ถังสวี่พยักหน้าด้วยท่าทางสงบนิ่งและไม่มีผู้ใดรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“เอาล่ะ หลังจากเรื่องนี้จบลง เจ้าสองคนจะได้รับรางวัลมากมาย!” เซี่ยจ้านหัวเราะอย่างมีเลศนัย จากนั้นก็จ้องมองไปยังเฉินซีที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสนามประลองด้วยแววอาฆาต
ในขณะนี้ข้ารับใช้หญิงเดินขึ้นไปยังสนามประลองอย่างช้า ๆ พร้อมกวาดสายตาไปโดยรอบด้วยรอยยิ้มสดใส “การต่อสู้ที่วางเดิมพันครั้งนี้เริ่มโดยนายน้อยเซี่ยจ้านจากตระกูลเซี่ย และอีกฝ่ายเป็นผู้บ่มเพาะจากต่างเมือง โอ้ ขออภัยที่ไม่ทราบนามของเขา แต่คิดว่าคนที่ทำให้นายน้อยเซี่ยริ่เริ่มการประลองได้นั้น ต้องเป็นบุคคลที่ทรงพลังอย่างแน่นอน”
ข้ารับใช้หญิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “กฎของสนามประลองนั้นง่ายมาก ชีวิตหรือความตายนั้นไม่สำคัญ ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายโปรดเข้าสู่สนามประลอง”
ฟิ้ว!
หลินเส้าฉีไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป ทันทีที่เสียงกล่าวจบลง เขาก็กระทืบเท้าลงกับพื้น ก่อนที่ร่างที่คล้ายกับนกตัวใหญ่จะร่อนลงมายังพื้นอย่างสง่างาม การเคลื่อนไหวนั้นช่างรวดเร็วดุจเหยี่ยว และทำให้เขาได้รับความสนใจทันที
เหตุใดถึงเป็นคนผู้นี้?
เมื่อเฉินซีเห็นหลินเส้าฉีก็อดตะลึงไม่ได้ เขายังคงจำได้ว่าเคยเห็นคนคนนี้ในโถงใหญ่ของกองเทพองครักษ์ต้าซ่ง คนผู้นี้มีอายุเพียงยี่สิบสามปี กลับมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นแปดดารา ในระหว่างการลงสมัครในครั้งนั้น เขาได้รับความสนใจจากบรรดาผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลจำนวนมาก
ขณะที่คิดเช่นนี้ ชายหนุ่มก็รีบก้าวเดินขึ้นสนามประลองไปทีละขั้น
วูบ!
ทันทีที่เฉินซีก้าวเข้าสู่สนามประลอง ชั้นของอักขระยันต์ที่หนาแน่นและซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นรอบ ๆ และผสานเข้าด้วยกัน จากนั้นก่อตัวเป็นม่านแสงขนาดมหึมาที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของสนามประลองอย่างรวดเร็ว
มหาค่ายกลสมดุลลึกล้ำ!
มันเป็นค่ายกลป้องกันระดับสูงที่สามารถต้านทานการโจมตีของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้
“เด็กน้อย เราพบกันอีกแล้ว… แต่น่าเสียดายที่เป็นครั้งสุดท้าย” หลินเส้าฉียิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นแววตาก็ย้อมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และเกิดแสงสว่างไสวไปทั่ว ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อย ๆ หายไปในอากาศ
ต่อจากนั้น เฉินซีก็เห็นว่าคมมีดอันเย็นยะเยือกขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในดวงตาของเขา ท่ามกลางความเจ็บปวดที่รู้สึกได้ถึงความแหลมคมและเย็นชา
เห็นได้ชัดว่าหลินเส้าฉีเป็นผู้บ่มเพาะที่มีประสบการณ์การต่อสู้จริงอย่างโชกโชน เขาโจมตีอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีความลังเลและปราศจากความละอายใจเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริง ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทใด ๆ เพราะในสนามประลองชีวิตกับความตายถูกกำหนดโดยโชคชะตา แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมาก แต่เขาก็ยังไม่ใจอ่อนกับคู่ต่อสู้เพียงเพราะเหตุนี้
การโจมตีด้วยกระบี่นี้เป็นกระบวนท่ากระบี่ที่เขาเชี่ยวชาญที่มีนามว่า กระบี่สยบเมฆา มันรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ และประกายแสงของกระบี่คล้ายจะฉีกหมู่เมฆให้แยกออก ในขณะที่มันเปล่งเสียงกระหึ่ม
ฟิ้ว!
กระบี่ของเขาแทงเข้าที่ศีรษะของเฉินซี แต่ดูเหมือนว่าจะทะลวงผ่านอากาศว่างเปล่า ช่างน่าตกตะลึง …มันเป็นเพียงเงาร่างของเฉินซีเท่านั้น!
“ไม่ได้การแล้ว!” เขารีบหันกลับอย่างเร่งรีบ ก่อนที่จะถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
กระนั้นก็ยังช้าไปหนึ่งก้าว และมีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหู “ความเร็วของเจ้ายังช้าเกินไป ข้าสังหารเจ้าได้มากกว่าร้อยครั้ง เมื่อตอนที่เจ้าชักกระบี่ออกมา แต่เนื่องจากเจ้าไม่ใช่เซี่ยจ้าน ข้าจะสอนบทเรียนให้ในครั้งนี้ ‘อย่าช่วยเหลือผู้อื่นตามอำเภอใจในภายภาคหน้า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตายโดยไร้ที่ฝัง’ จงจำไว้ซะ!”
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” หลินเส้าฉีคำรามลั่น จากนั้นร่างของเขาก็หดตัวลงขณะที่หมุนเวียนปราณแท้ ทั้งร่างก็ทะยานไปรอบสนามประลองอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งเงาดำไว้เบื้องหลังชั้นแล้วชั้นเล่า ทำให้ไม่มีใครรู้ได้ว่าร่างจริงของเขาอยู่ที่ใด
“เงาแสงหมื่นลักษณ์!” นี่เป็นเคล็ดวิชาที่หายาก เมื่อใช้ออกไปจนถึงขีดสุดจะสามารถสร้างร่างลวงตาได้มากกว่าหมื่นร่าง ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่างยังมีเงา การผสมผสานระหว่างจริงและเท็จซึ่งใคร ๆ ก็สามารถแทนที่ร่างลวงตาได้!
แต่ความเร็วของเขาจะเหนือกว่าเฉินซีได้อย่างไร?
เมื่อครั้งที่ชายหนุ่มอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนทางตอนใต้ เคล็ดวิชาตัวเบาของเขาได้บรรลุขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้งและเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋าแห่งสายลม ความเร็วของเขารวดเร็วจนถึงระดับที่น่าประหลาดใจ ถึงแม้หลินเส้าฉีจะดูทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับเหมือนเด็กน้อยในสายตาของเฉินซี
เมื่ออีกฝ่ายใช้กระบวนท่าเงาแสงหมื่นลักษณ์แล้ว เฉินซีก็ได้ไล่ติดตามเขาไปเหมือนเงา จากนั้นเขาก็คว้าไปที่ลำคอของหลินเส้าฉี หากใช้กำลังอีกเล็กน้อย มันจะกลายเป็นจุดจบของหลินเส้าฉีทันที
แควก! แควก!
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง มือซ้ายของเฉินซีได้เหยียดออกราวกับกรงเล็บของมังกร และด้วยการคว้าและบิดที่สะบักไหล่ทั้งสองของหลินเส้าฉี กล้ามเนื้อกับกระดูกของเขาก็หักทันที
“แค่ก… แค่ก…” หลินเส้าฉีเจ็บปวดจนใบหน้าบิดเบี้ยว แต่ลำคอถูกชายหนุ่มบีบ เสียงที่ออกมาจึงค่อนข้างอู้อี้
“…”
เหล่าผู้บ่มเพาะนับพันที่กำลังชมการต่อสู้ต่างอ้าปากค้าง พวกเขาแทบไม่เชื่อในสายตา การต่อสู้จบลงเพียงไม่กี่อึดใจหรือ?
อยากอ่านต่อใช่ไหมหล่ะเข้าบ้านหลักสิ เพียงกาแฟแก้วเดียว อัพเดทถึงล่าสุด