บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1200 เฆี่ยนตีอย่างดุร้าย
บทที่ 1200 เฆี่ยนตีอย่างดุร้าย
บทที่ 1200 เฆี่ยนตีอย่างดุร้าย
ตูม!
กำปั้นของเฉินซีเป็นเหมือนคลื่นยักษ์จำนวนมหาศาลถาโถมออกไป ทำให้ระฆังเขียวโลกิยะระเบิดจนปลิวว่อนและหลุดจากการควบคุมของกงหยางหลงเฟ่ย ในขณะที่ตัวเขาเองก็ถูกแรงระเบิดผลักกระเด็นออกไป เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด
ผัวะ! ผัวะ!
ในเวลาเดียวกัน เฉินซีเหวี่ยงแขนออกไปประหนึ่งแส้เหล็กที่ฉีกกระชากผืนฟ้า มันฟาดใส่ศิษย์อาวุโสสองคนที่ไม่สามารถหลบได้ทันอย่างแรง ทำให้หน้าอกของพวกเขายุบ ร่างกระแทกกับพื้นไม่ต่างจากกระสอบทราย และสิ้นสติไป
ในชั่วพริบตา ทุกคนรู้สึกถึงบางสิ่งแวบผ่านตา จากนั้นก็เหลือเพียงหลิวอี่หมิง ซิงเยวียนหัง และศิษย์อาวุโสอีกสองคนที่ยังคงยืนอยู่เท่านั้น!
ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออก หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง และตระหนักได้ว่าเฉินซีที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ได้กลายเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
หลิวอี่หมิงและคนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย
ตูม!
เฉินซีก้าวไปข้างหน้าด้วยกลิ่นอายน่าเกรงขาม ทุกย่างก้าวทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน กลิ่นอายเปี่ยมล้น และไม่สามารถต้านทานได้
“ข้าจะแลกชีวิตกับเจ้า!” ศิษย์อาวุโสคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง ขณะโคจรพลัง แล้วผลักภูเขากระดูกใส่อีกฝ่าย
เฉินซีกดมือลง นิ้วเสมือนยอดเขาสูงตระหง่านที่เต็มไปด้วยกฎแห่งพสุธาอันหนักหน่วง ร่างกายดุจภูผาสูงตระหง่านทะลุท้องฟ้าจากผืนดิน ฝ่ามือกดใส่ภูเขากระดูก ทำให้มันไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
นัยน์ตาของศิษย์อาวุโสคนนั้นหดเกร็ง ในขณะที่รู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีด เพราะสิ่งนี้เป็นสมบัติที่ตนหลอมสร้างจากการรวบรวมโครงกระดูกของเซียนจากยุคบรรพกาล และเต็มไปด้วยพลังของทวยเทพ เมื่อมันถาโถมลงมา มันทั้งทรงพลังและไม่สามารถต้านท้านได้
แต่ตอนนี้เฉินซีกลับกดมันลงอย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากการขยี้ผีเสื้อกลางคืนที่ไม่รู้ขีดจำกัดของมัน และบินเข้าสู่กองไฟ
ตูม!
เฉินซีฟาดมือ ทำให้ศิษย์อาวุโสและภูเขากระดูกถูกซัดออกไปพร้อมกัน ก่อนจะกระแทกเข้ากับม่านพลังของลานบำเพ็ญเต๋า ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นสั่นสะเทือนฟ้าดิน
หัวใจของผู้คนกระตุกอย่างรุนแรงอีกครั้ง “ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!”
“โจมตีพร้อมกัน!” ในขณะนี้ ผมของหลิวอี่หมิงยุ่งเหยิง นางอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม เพราะไม่มีทางให้ถอยกลับ และสายเกินไปที่จะเสียใจกับการกระทำของตน
ฟั่บ!
ขณะที่กล่าว หญิงสาวฟาดแส้ยาวกว่า 120 จั้งไปบนท้องฟ้า มันขดเป็นเกลียวด้วยพลังของกฎแห่งอัคคี แส้นี้มีกลิ่นอายดุร้ายและเปี่ยมด้วยจิตสังหาร
ทว่า หลิวอี่หมิงต้องประหลาดใจ เพราะไม่เพียงซิงเยวียนหังจะไม่ร่วมโจมตีเท่านั้น แต่ยังยอมรับความพ่ายแพ้อีกด้วย
“ข้ายอมแพ้ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้แล้ว!” กล่าวจบ ซิงเยวียนหังก็ถูกพาตัวออกไปด้วยข้อจำกัดของลานประลอง
“เจ้า!” หลิวอี่หมิงตกใจและโกรธมาก นางไม่กล้าเชื่อดวงตาและหูของตน
ไม่ใช่แค่นาง ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกตะลึงเช่นกัน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าซิงเยวียนหังจะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ในเวลานั้นเอง แส้ของหลิวอี่หมิงก็ถูกเฉินซีคว้าเอาไว้ ชายหนุ่มเขย่ามันเบา ๆ มันก็หลุดออกจากมือของนาง
ฟั่บ!
เฉินซีถือแส้ไว้ในมือ และเปลี่ยนมันเป็นลำแสงยาวกว่า 120 จั้ง พุ่งทะลวงผ่านท้องฟ้า และเฆี่ยนไปที่ร่างของหลิวอี่หมิงโดยตรง มันทำให้เสื้อผ้าของนางฉีกขาด ผิวหนังแตก ส่งเสียงร้องโหยหวน และเป็นที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง
เฉินซีสังเกตเห็นว่า ศิษย์อาวุโสต่างทำตามคำสั่งของหญิงสาวคนนี้ ดังนั้นเขาจะแสดงความเมตตาต่อหัวหน้าโจรได้อย่างไร?
ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!
แส้สั่นวูบวาบ มันเปลี่ยนเป็นภาพเต็มท้องฟ้า ราวกับสวรรค์พิโรธกำลังเฆี่ยนตีโลกหล้าเพื่อระบายไฟแห่งโทสะในใจ ทำให้หลิวอี่หมิงส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างต่อเนื่อง นางดิ้นรน เสื้อผ้าทุกส่วนบนร่างกลายเป็นเศษผ้า รอยเลือดปกคลุมทั่วทั้งตัว นางมีสภาพน่าสังเวชใจอย่างยิ่ง
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึง บางคนถึงกับทนดูไม่ได้ เนื่องจากไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะโหดร้ายกับผู้หญิงคนหนึ่งได้ถึงเพียงนี้ ประหนึ่งการขยี้บุพผาอย่างไร้ความปรานี
“เจ้า… เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!” หลิวอี่หมิงร้องเสียงโหยหวน จนแทบกลายเป็นบ้า ภายใต้สายตาของทุกคน นางเสียหน้าจนหมดสิ้น!
“ศิษย์พี่หญิง นี่คือการประลองบนลานบำเพ็ญเต๋า มันก็แค่การแลกเปลี่ยนในเต๋าเท่านั้น ดังนั้นการกล่าวเช่นนี้ออกจะเกินไปสักหน่อย” เฉินซีกล่าวอย่างใจเย็น ซึ่งในขณะที่กล่าว มือของเขาไม่หยุดแม้แต่ครู่เดียว เฆี่ยนตีหลิวอี่หมิงจนถึงจุดที่นางคร่ำครวญโหยหวน
“พอได้แล้ว!”
“เจ้าเป็นแค่ศิษย์ใหม่เท่านั้น! อย่าได้เกินไปนัก!”
“ศิษย์พี่หญิงอี่หมิง รีบยอมรับความพ่ายแพ้เร็วเข้า!”
ในขณะนี้ ศิษย์อาวุโสหลายคนที่อยู่ที่นี่ ล้วนเต็มไปด้วยความโกรธ พวกเขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด พลางประนามเฉินซี
“หมายความว่าอย่างไร ที่บอกว่าเกินไป? หรือว่ามีเพียงศิษย์อาวุโสอย่างพวกเจ้าเท่านั้น ที่สามารถสอนบทเรียนให้คนอื่นได้ แต่คนอื่นไม่สามารถสอนบทเรียนให้กับศิษย์อาวุโสทุกคนได้? ช่างไร้สาระยิ่งเสียจริง!”
“ศิษย์พี่เฉินซี เราสนับสนุนเจ้า!”
เมื่อได้ยินศิษย์อาวุโสประนามเฉินซี ศิษย์ใหม่ต่างไม่พอใจทันที ส่งเสียงร้องโวยวายติดต่อกัน เนื่องจากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาหลายคนต้องทนทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของศิษย์อาวุโสเหล่านี้ ดังนั้นความคับแค้นใจจึงอัดแน่นอยู่เต็มอก การกระทำของเฉินซีจึงไม่เพียงเอาชนะใจศิษย์ใหม่เท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ระบายความแค้นอีกด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะไม่สนับสนุนเฉินซีได้อย่างไร?
“เจ้าหนูพวกนี้ เก็บกดความโกรธแค้นไว้ในใจมากมายนัก” โจวจื่อหลีที่อยู่ไกลออกไปหัวเราะเบา ๆ
“ฮึ่ม! เด็กคนนั้นไร้ความปรานีต่อศิษย์ร่วมสำนัก นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?” จั่วชิวฮงคำรามด้วยความไม่พอใจ
โจวจื่อหลีชำเลืองมอง แต่ไม่ได้กล่าวอะไร
สุดท้าย หลิวอี่หมิงก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้ และยอมรับความพ่ายแพ้ในที่สุด
โอม~
ข้อจำกัดถูกเปิดใช้งาน และส่งนางออกจากลานประลอง ส่วนศิษย์อาวุโสคนอื่น เช่นกงหยางหลงเฟ่ย ได้ยอมรับความพ่ายแพ้และจากไปนานแล้ว
ณ จุดนี้ หลิวอี่หมิงและศิษย์อาวุโสคนอื่น ๆ ล้วนถูกสยบสิ้น!
เฉินซีไม่ได้ใช้สมบัติอมตะเลยตั้งแต่ต้นจนจบ พลังฝีมือของคนผู้นี้น่าเกรงขามจนทำให้ทุกคนตกตะลึง
เหล่าศิษย์ใหม่ต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
เมื่อเทียบกับศิษย์อาวุโส ทุกคนต่างปิดปากเงียบ ใบหน้าดูน่าเกลียดไม่น้อย ไม่ว่าศิษย์อาวุโสจะเปิดใจกว้างเพียงใด พวกเขาก็ยังคงเงียบ
เพราะศิษย์ใหม่ได้ต่อสู้กับศิษย์อาวุโสเจ็ดคนโดยลำพัง และเป็นศิษย์ใหม่ที่คว้าชัยในครั้งนี้ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองอย่างถึงที่สุด
“ท่านผู้อาวุโส ข้าได้แต้มดาราเท่าใด?” เฉินซีไม่ได้แสดงความยินดีใด ๆ แต่กลับเอ่ยถามทันที
“เจ็ดคนคนละหมื่นแต้ม และสำนักจะหักออกสามส่วน โอ้ รวมกันแล้ว เจ้าได้ประมาณห้าหมื่นแต้มดารา” ชายชราผมขาวอุทานด้วยความชื่นชม
ชายหนุ่มพยักหน้า และไม่ได้ออกจากลานบำเพ็ญเต๋า สายตากวาดผ่านศิษย์อาวุโสทุกคนที่อยู่ที่นี่ราวกับสายฟ้าเย็นเฉียบ
ขณะที่สัมผัสได้ถึงการจ้องมองของเฉินซี การสนทนาทั้งหมดรอบข้างก็ลดลงอย่างไม่รู้ตัว แล้วสภาพแวดล้อมโดยรอบก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว
“ข้าได้กล่าวไปแล้ว ข้าจะอยู่กับพวกเจ้าทุกคนจนจบ มีใครอีกหรือไม่ที่อยากประลองกับข้า? เช่นนั้นก็เชิญก้าวออกมาข้างหน้า แน่นอน อย่าได้ลืมเดิมพันด้วยแต้มดาราของเจ้า และหากเจ้าพลาดโอกาสนี้ ในอนาคตจะไม่ได้รับโอกาสเช่นนี้อีก”
เสียงทุ้มต่ำสงบเรียบเรื่อย แต่ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดนี้ ทุกคนล้วนได้ยินอย่างชัดเจน
ศิษย์ใหม่ทุกคนตัวสั่นและตื่นเต้น พวกเขาไม่คิดว่าเฉินซีจะอหังการมากถึงเพียงนี้ “อยู่จนจบ? เป็นไปได้หรือไม่ว่า เขาตั้งใจที่จะเอาชนะศิษย์อาวุโสของสำนักศึกษาฝ่ายนอกทั้งหมด?”
คำพูดเหล่านี้ได้กลายเป็นสิ่งยั่วยุต่อบรรดาศิษย์อาวุโสอย่างรุนแรง แต่หลังจากได้เห็นพลังฝีมือของเฉินซีก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า และท้าประลองอีกต่อไป
ช่วยไม่ได้ พลังฝีมือของเฉินซีที่ขอบเขตเซียนลึกลับนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ
“ศิษย์พี่หนิงเมิ่ง!”
“ศิษย์พี่หนิงเมิ่ง โปรดลงมือเร็วเข้า รีบสั่งสอนบทเรียนให้กับเจ้าเด็กนี้ด้วย!”
“ศิษย์พี่โปรดลงมือด้วย!”
ชู่ว!
สายตาของศิษย์อาวุโสทั้งหมดพลันพุ่งไปที่คน ๆ หนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน ชายหนุ่มหล่อเหลา ท่าทางดั่งสตรี คนผู้นั้นคือหนิงเมิ่งนั่นเอง
ในขณะนี้ เฉินซีกวาดสายตาไปพร้อมกับเผยสีหน้าสงบ ซึ่งทำให้คนอื่นไม่สามารถแยกแยะได้ว่าชายผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่
ภายใต้การจ้องมองของทุกคน หนิงเมิ่งกลับแย้มยิ้ม และกล่าวบางสิ่งที่เกินความคาดหมายของทุกคน “ศิษย์น้องเฉินซีมีพลังฝีมือแก่กล้า ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ตัวเองต้องอับอาย”
สิ้นคำ หนิงเมิ่งก็จากไปอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจสายตาคาดหวังจากทุกคนที่อยู่รอบข้าง
ทุกคนเงียบสนิท ความรู้สึกของพวกเขาซับซ้อน ในบรรดาศิษย์อาวุโสของสำนักศึกษาฝ่ายนอก หนิงเมิ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตเซียนลึกลับ ทว่ากลับยอมรับว่าตนด้อยกว่าเฉินซี และจากไปอย่างรวดเร็ว มันจึงเป็นสิ่งที่พวกเขายากจะยอมรับได้
เฉินซีตกตะลึงเล็กน้อย มองตามร่างของหนิงเมิ่งไปจนสุดสายตา
การจากไปของหนิงเมิ่ง ทำให้เกิดความแตกตื่นโกลาหล และเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของศิษย์อาวุโสอย่างมาก
“ไอ้สารเลวนั่นกล้าปฏิเสธการต่อสู้!” ภายในฝูงชน จั่วชิวจวินมีสีหน้าบิดเบี้ยว สายตาเย็นชาจนถึงขีดสุด เขาไม่คิดเลยว่าหนิงเมิ่งจะทำเช่นนี้!
“พี่ใหญ่ เราควรหาโอกาสเตือนสติเขาหรือไม่? ” จั่วชิวฉวนกัดฟัน เพราะนี่เป็นแผนการของตน แต่ตอนนี้มันกลับล้มเหลว
“ไม่ต้องรีบร้อน จัดการเจ้าเด็กนี่ก่อน ใช่แล้ว สหายคนนั้นมาแล้วหรือไม่?” จั่วชิวจวินถามพลางขมวดคิ้ว
จั่วชิวฉวนตกตะลึง จากนั้นมองไปรอบ ๆ อย่างลังเล “มันควรจะเป็น… เร็ว ๆ นี้”
คิ้วของจั่วชิวจวินขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น คลื่นเสียงจอแจดังก้อง ดึงดูดความสนใจของทุกคน
จั่วชิวจวินเงยหน้า เมื่อเห็นร่างคุ้นเคยปรากฏขึ้นที่ลานบำเพ็ญเต๋า รอยยิ้มผ่อนคลายก็ปกคลุมไปทั้งมุมปากทันที “เขามาแล้ว ข้ารู้ว่าเขาไม่สามารถนิ่งเฉยได้”
ในเวลาเดียวกัน ห่างไกลออกไปจากลานบำเพ็ญเต๋า จั่วชิวฮงกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ศิษย์ของสำนักศึกษาฝ่ายนอกนั้นไม่มีกระดูกสันหลังจริง ๆ มันเป็นเพียงการประลอง แต่กลับไม่กล้าต่อสู้ และชิงยอมแพ้เสียก่อน”
คนที่เขากล่าวถึง ย่อมหมายถึงหนิงเมิ่ง
โจวจื่อหลีขมวดคิ้ว “การทะเลาะวิวาทหรือไม่นั้นเป็นเรื่องระหว่างศิษย์ อย่าบังคับจิตใจผู้อื่น เพราะนั่นเป็นข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสำนักศึกษา!”
จั่วชิวฮงตกตะลึง รับรู้ว่าโจวจื่อหลีกำลังเตือนตน ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับมันนัก พลางเย้ยหยันอยู่ในใจ ‘ข้อห้ามเรอะ? มันสำคัญกว่าผลประโยชน์ของตระกูลข้าหรือ?’
“หืม? ทำไมผู้ที่อยู่ในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ถึงเคลื่อนไหว?” โจวจื่อหลีจ้องมองไปเบื้องล่าง และเห็นร่างนั้นปรากฏขึ้น ใบหน้าสำรวมและเคร่งขรึมเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความโกรธอย่างหาได้ยาก
หัวใจของจั่วชิวฮงกระตุกวูบ แน่นอนว่าเขาเห็นหลิวเจ๋อเฟิงซึ่งอยู่ในอันดับแปดในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ ได้ปรากฏตัวต่อหน้าลานประลองแล้ว!
เด็กนั้น.. อาจวินทำตัวไร้ความปรานีเกินไปจริง ๆ…
จั่วชิวฮงถอนหายใจ แต่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮ่า ฮ่า! มันเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทกันระหว่างศิษย์ร่วมสำนัก ดังนั้นก็ไม่น่าจะเป็นอันใด”
“ฮึ่ม!” โจวจื่อหลี คำรามในลำคอ พลางขมวดคิ้วครุ่นคิดเป็นเวลานาน ทว่าท้ายที่สุด เขาก็ไม่ได้กล่าวอันใด