บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1205 ก่อตั้งพันธมิตรดารา
บทที่ 1205 ก่อตั้งพันธมิตรดารา
บทที่ 1205 ก่อตั้งพันธมิตรดารา
ตามปกติแล้ว เฉินซีมีสหายมากมายที่ให้ตายอย่างไรก็โกรธไม่ลง แน่นอนว่าอาซิ่วก็เป็นหนึ่งในนั้น
เฉินซีจับจ้องหญิงสาวในอาภรณ์สีเขียวที่กำลังวางมือไพล่หลังทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะถามอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หญิงสาวตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก็ก่อนหน้านี้มีคนตั้งมากมายส่งเสียงชื่นชมยินดีแก่เจ้า ขืนข้ามาหาเจ้าตอนนั้น ก็ไม่แคล้วถูกกลืนหาย ไม่โดดเด่นสำคัญในสายตาเจ้าน่ะสิ”
เฉินซีลูบจมูกด้วยความขบขัน
“โอ้ จริงสิ หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาที่ข้ามารบกวนเวลาฝึกฝนหรอกนะ” อาซิ่วขยิบตาหนึ่งที
ชายหนุ่มไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “เราสนิทกันเพียงนี้ ไยยังต้องมากพิธีเล่า?”
หญิงสาวหยุดหยอกเย้า หากรอยยิ้มของนางยังคงเปล่งประกายเจิดจ้า
…
“คราวนี้เจ้าทำได้ดีมาก ตอนนี้เจ้ามีทั้งชื่อเสียงและเกียรติยศ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อแสดงความยินดีกับเจ้า แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้ามีเรื่องสำคัญต้องการคุยกับเจ้าด้วย”
หลังจากพูดคุยกันสักพัก อาซิ่วก็พูดถึงเหตุผลที่นางมาที่นี่ “ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าตอนนี้มีหลาย ๆ สมาคมศิษย์กำลังพยายามรวบรวมผู้เยี่ยมยุทธ์ โดดเด่นในบรรดาศิษย์ใหม่ทั้งหลาย ข้าคิดว่าเจ้าเองก็ไม่ควรอยู่เฉยเช่นกัน บางทีเจ้าน่าจะลองสร้างสมาคมของตัวเอง ตีเหล็กน่ะต้องตีตอนร้อน ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงเชียวล่ะ”
นางหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ไม่เช่นนั้น หากเจ้าพลาดโอกาสในครั้งนี้ไป เจ้าอาจจะต้องอดทนรอไปจนกว่าจะได้เข้าไปเป็นศิษย์ฝ่ายใน ถึงตอนนั้น ศิษย์ใหม่ก็คงถูกดึงไปสมาคมอื่น ๆ จนแทบไม่เหลือแล้ว มันคงเป็นการยากที่เจ้าจะได้คนฝีมือฉกาจสักคนมาเป็นพวก”
เฉินซีชะงัก คิ้วขมวดมุ่นพลางความคิดเริ่มโลดแล่นภายในหัว “ตอนนี้ข้าไม่ได้มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย ข้าเกรงว่าการสร้างสมาคมขึ้นมารังแต่จะ…” ชายหนุ่มพูดขึ้นหลังจากที่ทิ้งเวลาอยู่นาน
อาซิ่วขัดจังหวะด้วยรอยยิ้ม “อย่าได้กังวลไป เจ้ายังมีข้าอยู่ไม่ใช่หรือ? ข้าน่ะว่างแสนว่างด้วยไม่ต้องเข้าร่วมการสอบศิษย์ฝ่ายใน ดังนั้น ข้าจะเป็นคนช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้เอง!”
นัยน์ตาของเฉินซีว่างเปล่าด้วยไม่รู้จะพูดสิ่งใด
ตั้งแต่รู้จักกับอาซิ่วมา แทบไม่มีครั้งใดที่ตนไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหญิงสาวผู้นี้ ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการจะตอบแทนนาง ชายหนุ่มกลับพบว่าตนไม่มีแม้คำพูด การกระทำ หรือสิ่งล้ำค่าใด ๆ พอจะสามารถตอบแทนในน้ำใจนี้ได้เลย
ด้วยเหตุนี้ หัวใจของเขาจึงบังเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“นี่ บอกข้ามาสิว่าเจ้าอยากตั้งชื่อสมาคมของเจ้าว่าอะไร? พอเจ้าตั้งชื่อเสร็จ ที่เหลือเจ้าก็ไม่ต้องกังวลใด ๆ แล้ว” อาซิ่วหมุนตัวไปมาด้วยต้องการจะหลบเลี่ยงสายตาของอีกฝ่ายพร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า
“ชื่ออย่างนั้นหรือ?” ความสนใจของเฉินซีถูกเบี่ยงเบนไปในทันที ชายหนุ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่นาน ทว่า คำตอบที่ออกมากลับมีเพียงเสียงหัวเราะ ฟังดูขื่นขม “ไม่ไหวหรอก จนถึงตอนนี้ไป๋คุยยังรู้สึกว่าชื่อที่ข้าตั้งให้มันน่าเกลียดอยู่เลย…”
อาซิ่วระเบิดเสียงหัวเราะ รอยยิ้มเจิดจ้าประดับบนใบหน้างาม “เรื่องนี้ข้าไม่เถียง โถ่ ไป๋คุยผู้น่าสงสาร มันน่าเกลียดจริง ๆ นั่นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่เรียกพันธมิตรเฉินไปเลยล่ะ?” อาซิ่วมองเฉินซีด้วยสายตาคาดหวัง
“พันธมิตรเฉินเนี่ยนะ?” เฉินซีส่ายหน้าเป็นระวิง “ข้าไม่ใช่คนเดียวในสำนึกศึกษาที่แซ่เฉินเสียหน่อย ขืนทำเช่นนั้นมีหวังได้สร้างความไม่พอใจให้ศิษย์คนอื่น ๆ ที่แซ่เฉินเหมือนกันแน่…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ อาซิ่วก็เหมือนจะนึกบางอย่างออก ดวงตาหญิงสาวสว่างวาบขึ้นทันที แล้วพูดถึงสิ่งที่คิดในใจ “เช่นนั้น เราจะเรียกมันว่าพันธมิตรดารา! คำว่า ‘辰 (เฉิน)’ นั้นแปลว่าดวงดาว*[1] นอกจากจะพ้องเสียงกับแซ่ของเจ้าแล้ว มันยังสื่อความหมายถึงหมู่ดาราจำนวนเหลือคณานับที่มารวมกันเพื่อส่องแสงอันเจิดจ้า!”
พันธมิตรดารา…
สายตาของเฉินซีกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง ชายหนุ่มทั้งสะท้อนใจและงุนงง จำได้ว่าตนนั้นได้รับเคหาดารา ได้บ่มเพาะวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้รับสืบทอดพลังอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ มาจากปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ามือมหาดารา หรือปีกนภาดารกะ…
ดูเหมือนข้าจะมีชะตาเกี่ยวพันกับดวงดาวจริง ๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นอันตกลงแล้วนะ” อาซิ่วถือวิสาสะตอบเองด้วยเห็นว่าเฉินซีมีสีหน้าค่อนข้างประทับใจในความคิดนี้ไม่น้อย เมื่อได้อย่างที่ต้องการ หญิงสาวก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วคล้ายกำลังเร่งรีบอย่างมาก เห็นทีนางคงตั้งใจจะใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุดไปกับการเผยแพร่ความนิยมในตัวเฉินซี และดึงดูดผู้คนเข้ามาเป็นพันธมิตรของเขา
เด็กสาวตัวน้อยผู้นี้ขยันในเรื่องเช่นนี้จริง ๆ… ความอบอุ่นที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้พลุ่งพล่านออกมาจากหัวใจ ขณะที่เฝ้าดูแผ่นหลังของอาซิ่วค่อย ๆ เลือนหายไป
เฉินซีไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจของเขาและอาซิ่วผ่านคำพูดเพียงไม่กี่คำจะส่งผลสั่นสะเทือนต่อภพทั้งสามอย่างไรบ้าง
บัดนี้ เขายังเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่กำลังพากเพียร และกระเสือกกระสนเพื่อสร้างอนาคตของตัวเอง
หลังจากอาซิ่วกลับไป เฉินซีก็เข้าสู่การปิดด่านฝึกวิชาอย่างเต็มตัว
…
ภายในเคหา หม้อใบจิ๋วกำลังดูดซับปราณบรรพกาลโกลาหลอย่างเงียบงัน
ในอีกด้านหนึ่ง ร่างอวตารก็กำลังทำภารกิจเกี่ยวกับเต๋าแห่งยันต์อักขระแทบทั้งวันทั้งคืนเพื่อสั่งสมแต้มดารา ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนในโลกภายนอกจำนวนมากจึงเข้าใจผิดว่าเฉินซีคงไม่คิดจะเข้าร่วมการสอบของศิษย์ฝ่ายในที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสองปีต่อจากนี้ และมีเพียงความตั้งใจในการรวบรวมแต้มดาราเท่านั้น
บางคนถึงกับถอนใจด้วยความโล่งอกต่อเรื่องนี้ เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าคู่แข่งที่น่ากลัวได้ออกจากสอบครั้งนี้ไปแล้วคนหนึ่ง
ขณะที่บางคนกลับรู้สึกผิดหวัง พวกเขาคิดว่าเฉินซีจัดลำดับความสำคัญผิดพลาด และกำลังทำให้ตนเดินไปในเส้นทางแห่งเต๋าช้าลง
ส่วนบางคนก็เกิดอาการสงสัยขึ้นมา ด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินซีจึงได้พยายามสะสมแต้มดาราอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้? อะไรคือเหตุผลแท้จริงกันแน่? หรือเป็นเพราะคนผู้นี้เห็นแก่ของล้ำค่า และเคล็ดวิชามากกว่าการบ่มเพาะ?
กล่าวโดยสรุป ผู้คนจำนวนมากในโลกภายนอกรับรู้เพียงว่าเฉินซีได้รับแต้มดาราอยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริง แต้มดาราทั้งหมดนั้นเกิดจากการกระทำของร่างอวตาร ส่วนร่างหลักอยู่ระหว่างการปิดด่านฝึกวิชามาโดยตลอด
บุปผาสะพรั่งร่วงโรย วสันต์เคลื่อนคล้อยเลื่อนผ่าน เปิดทางให้สารทฤดูเยือนย่ำ หนึ่งปีนับแต่วันที่เฉินซีเข้าสู่สำนักศึกษาผ่านพ้นไปโดยไม่รู้ตัว ทว่าในโลกแห่งดารานั้น เวลาได้ล่วงผ่านมาห้าปีแล้ว
ฟู่ว~
ในวันนี้ ขณะกำลังนั่งสมาธิภายในโลกแห่งดารา จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น จากนั้นก็ปล่อยลมหายใจออกมายาวเหยียด ทั้งวิญญาณ พลัง และแก่นแท้ภายในร่างสงบนิ่งราวกับเหวลึก
ข้าบรรลุขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูงอย่างสมบูรณ์แล้ว ทว่าโชคไม่ดีนักที่ข้ายังขาดปัจจัยบางอย่างอยู่ ข้าไม่นึกเลยว่าขอบเขตเซียนทองคำนั้นจะบรรลุได้ยากถึงเพียงนี้… เฉินซีรำพันกับตัวเองทั้งที่คิ้วขมวด
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้ เขามักจะบ่มเพาะโดยการปิดด่านฝึกวิชาอยู่เสมอ ชายหนุ่มมักจะใช้เวลาโดยส่วนใหญ่ไปกับการควบคุมการฝึกฝนและใช้เวลาที่เหลือเพียงเล็กน้อยในการหลอมรวมกฎ และทำความเข้าใจต่อมรดกของยันต์เทวะอนันต์
ทว่าจนถึงตอนนี้ เขายังคงไม่สามารถล่วงรู้ถึงปัจจัยที่จำเป็นต่อการบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ
อีกด้านหนึ่ง เฉินซีได้หลอมรวมความล้ำลึกของมหาเต๋าต่าง ๆ ที่ตนครอบครองเข้ากับกฎแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงสามารถซ้อนทับธาตุทั้งห้าเข้าด้วยกันได้ แต่ยังบรรลุมรดกของวายุ สายฟ้า หยินและหยาง ที่มาจากยันต์เทวะอนันต์อีกด้วย
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันสามารถเอาชนะหลิวเจ๋อเฟิงที่อยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับได้อย่างแน่นอน
น่าเสียดายแม้เฉินซีจะบ่มเพาะอยู่ภายในโลกแห่งดารามาเป็นระยะเวลากว่าห้าปีเต็ม ทว่ากลับยังไม่อาจก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้
ขอบเขตเซียนทองคำเป็นเส้นแบ่งแยกถึงความเป็นอมตะ เป็นขอบเขตที่ยากจะข้ามผ่าน เช่นเดียวกับขอบเขตจุติซึ่งเป็นระดับการบ่มเพาะภายในภพมนุษย์ อย่างไรก็ตาม หากเฉินซีสามารถบรรลุไปได้ เขาก็จะเป็นเสมือนเสาหลักของภพเซียน
ขอบเขตเซียนทองคำแบ่งออกเป็นสามขั้น ได้แก่ระดับมวลสวรรค์ ระดับกายาสวรรค์ และระดับพรหมสวรรค์
เหตุผลที่มีการใช้คำว่า ‘สวรรค์’ ก็เพื่อสร้างความแตกต่างและก่อให้เกิดความรู้สึกถึงการก้าวข้าม และเดินทางไปยังโลกใหม่โดยสมบูรณ์
ทั้งสามระดับนี้เรียกอย่างง่าย ๆ ว่าขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูง
“ระดับมวลสวรรค์ กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ไร้แห่งไร้ที่มา แล้วข้าจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร? ผลแห่งความสำเร็จคือร่างทองอันนิรันดร์ ในขณะที่ความล้มเหลวนำพาให้เส้นทางแห่งเซียนเลือนรางห่างไกล…” นี่คือคำอธิบายเกี่ยวกับระดับมวลสวรรค์ในคัมภีร์โบราณ มันบรรยายว่าระดับมวลสวรรค์นั้นไร้ขอบเขตและลึกเกินหยั่ง ปราศจากเคล็ดลับใด ๆ ที่จะทำให้ข้ามผ่านไปได้อย่างง่ายดาย มีเพียงความเพียรเท่านั้นที่จะนำพาผู้บ่มเพาะไปสู่จุดหมาย
หากผู้ใดสามารถก้าวข้ามไปถึงระดับมวลสวรรค์ได้สำเร็จ คนผู้นั้นจะมีร่างกายอันเป็นนิรันดร์และมีอายุขัยเทียบสวรรค์ สามารถเคลื่อนที่ไปในอวกาศได้อย่างอิสระ ท่องไปทั่วทั้งภพที่สามและจักรวาล โดยไม่ต้องคำนึงถึงกฎหรือข้อจำกัดใด ๆ
กลับกัน หากประสบกับความล้มเหลว คนผู้นั้นก็จะต้องกลายเป็นเถ้าธุลีภายใต้ทัณฑ์สวรรค์ ฐานพลังที่กำลังมุ่งไปสู่วิถีเซียนจะถูกทำลาย แม้คนผู้นั้นจะมีชีวิตรอดไปได้ แต่ก็ไม่มีทางบรรลุเต๋าได้อีกครั้ง
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการบรรลุระดับมวลสวรรค์นั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง จริงอยู่ในภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าสามารถมองเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำได้แทบจะทุกซอกทุกมุม ทว่าในสถานที่อย่างทวีปสันติบูรพา เหล่าเซียนทองคำก็อาจจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกครองเมืองต่าง ๆ มากมาย
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ ขอบเขตเซียนทองคำครอบครองกฎเซียนทองคำ พวกเขาสามารถหลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ในขณะบ่มเพาะภายใต้กฎแห่งมหาเต๋า
ความเข้าใจในพลังของเต๋าแห่งสวรรค์ทำให้ขอบเขตเซียนทองคำแตกต่างจากขอบเขตเซียนลึกลับและขอบเขตเซียนสวรรค์
สถานการณ์ปัจจุบันของเฉินซีคือ เขาสามารถบรรลุขอบเขตเซียนลึกลับได้อย่างสมบูรณ์ แต่กลับไม่อาจก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้ หากต้องการพัฒนาความแข็งแกร่ง ก็มีแต่ต้องค้นหาวิถีทางเพื่อไปสู่ขอบเขตเซียนทองคำ ทว่าเส้นทางดังกล่าวกลับไม่ได้รับการบันทึกไว้ในตำราหรือคัมภีร์ใด ๆ
ไม่ใช่เพราะมันเป็นความลับ แต่เส้นทางนี้ผู้บ่มเพาะต้องเข้าใจมันด้วยตนเอง ซึ่งแต่ละคนนั้นก็เข้าใจกันแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างของความสำเร็จหาไม่ได้ก็จริงอยู่ แต่ก็น่าจะมีตัวอย่างของความล้มเหลวเพื่อใช้สำหรับการอ้างอิงกระมัง? เฉินซีตระหนักดีว่าตนไม่ได้ขาดเคล็ดวิชา ยาเม็ด ความสามารถ หรือแม้แต่พรสวรรค์ ทว่าสิ่งเดียวที่เขาขาดก็คือคำชี้แนะของผู้อาวุโส
คำชี้แนะเหล่านั้นมักสะท้อนให้เห็นประสบการณ์ในการบ่มเพาะ ตัวอย่างเช่น เฉินซีพยายามเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้โดยการค้นหาเส้นทาง และทำความเข้าใจด้วยตัวเองเท่านั้น แต่ถ้าหากได้รับการชี้แนะจากผู้อาวุโส ผู้อาวุโสก็จะสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับเฉินซี ตนก็สามารถใช้มันอ้างอิงได้ อย่างน้อย ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผิดและช่วยประหยัดเวลาได้มาก
นี่คือความหมายของการมีอยู่ของผู้อาวุโสและคำชี้แนะ
บางทีอาจจะถึงเวลามุ่งหน้าไปยังฝ่ายสงวนคัมภีร์เพื่ออ่านตำราบางเล่มในหอคัมภีร์ ที่นั่นน่าจะมีตำราที่มีประโยชน์อยู่บ้าง… หากหาไม่เจอจริง ๆ ข้าจะใช้แต้มดาราเพื่อขอคำชี้แนะจากอาจารย์ในสำนักศึกษา อย่างน้อย ผู้อาวุโสฝ่ายสงวนโอสถจากตระกูลเซวียนหยวนก็คงไม่มีทางปฏิเสธข้าอย่างแน่นอน… เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยัดตัวขึ้น เหลือเวลาเพียงหนึ่งปีก่อนจะถึงการทดสอบศิษย์ฝ่ายใน ดังนั้นแม้ตนจะยังสามารถบ่มเพาะได้มากถึงห้าปีภายในโลกแห่งดารา แต่หากไม่สามารถบรรลุขอบเขตเซียนทองคำไปได้ เวลาทั้งหมดก็เป็นอันสูญเปล่า
ด้วยเหตุนี้ สิ่งสำคัญในปัจจุบันก็คือการค้นหาเส้นทาง ที่นำไปสู่ขอบเขตเซียนทองคำ!
ฟิ้ว!
เฉินซีออกจากเคหา ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงขณะตรงไปยังฝ่ายสงวนคัมภีร์
ฝ่ายสงวนคัมภีร์นั้นเก็บรวบรวมตำราต่าง ๆ ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไว้นับไม่ถ้วน มันไม่ได้มีเพียงเรื่องเกี่ยวกับการบ่มเพาะเท่านั้น แต่ยังมีทุกสรรพสิ่งที่ไม่ว่าใครก็หวังจะค้นพบ เช่น ตำราเกี่ยวกับโอสถ โหราศาสตร์ ดนตรี หมากล้อม และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ พวกมันยังเป็นสำเนาหายากที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีเพียงหนึ่งเดียว เรียกได้ว่าล้ำค่ามหาศาล
ด้วยเหตุนี้ การเข้าไปในฝ่ายสงวนคัมภีร์เพื่ออ่านตำรานั้นต้องใช้แต้มดารา ซึ่งจำนวนแต้มดาราจะแตกต่างกันไปตามความล้ำค่าของตำราแต่ละเล่ม
โชคดีที่เฉินซีตอนนี้ค่อนข้างมั่งคั่ง จึงไม่กังวลว่าจะต้องถูกขับไล่ออกจากฝ่ายสงวนคัมภีร์…
[1] คำว่า 辰 นั้น มาจาก 星辰 ซึ่งแปลว่าหมู่ดารา โดยคำว่า 辰 โดด ๆ นั้น เป็นคำรวม ๆ ถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว หรือก็คือเทหวัตถุต่าง ๆ