บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1216 เรื่องกวนใจไม่หยุดหย่อน
บทที่ 1216 เรื่องกวนใจไม่หยุดหย่อน
บทที่ 1216 เรื่องกวนใจไม่หยุดหย่อน
ท่ามกลางเสียงพูดคุยของเหล่าผู้คน เฉินซีเดินตรงเข้าไปหาศิลา
ศิลาทั้งก้อนเรืองแสงสว่างสีทองออกมา สลักรายชื่อทั้งห้าร้อยรายชื่อบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ไว้อย่างชัดเจน รายชื่อเหล่านั้นเรืองแสงดูน่าประหลาด แค่ได้เงยหน้าชมก็นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
เท่าที่เฉินซีรู้มา ศิษย์สายนอกที่ติดห้าร้อยอันดับบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ได้ จะได้รับแต้มดาราจำนวนหนึ่งเป็นรางวัลทุกเดือน
เช่น ห้าร้อยอันดับแรกจะได้รับ หนึ่งหมื่นแต้มดาราทุกเดือน
สีร้อยอันดับแรกได้รับ ห้าหมื่นแต้ม
สามร้อยอันดับแรกจะได้รับ หนึ่งแสนแต้ม
สองร้อยอันดับแรกจะได้รับ สองแสนแต้ม
หนึ่งร้อยอันดับแรกจะได้รับ สี่แสนแต้ม
อีกทั้งหนึ่งร้อยอันดับแรกยังถูกแบ่งออกเป็นห้าระดับ ได้แก่ ห้าสิบอันดับแรก สามสิบอันดับแรก สิบอันดับแรก ห้าอันดับแรก และ สามอันดับแรก
ทั้งห้าระดับนี้จะได้รับ แปดแสน หนึ่งล้าน หนึ่งล้านห้าแสน สองล้าน และ สามล้านแต้มตามลำดับ ส่วนผู้ที่คว้าอันดับหนึ่งไว้ได้จะได้รับเพิ่มอีกสองล้านแต้มดาราทุกเดือน นับว่าได้รางวัลทั้งหมดห้าล้านแต้มดารา!
หรือก็คือหากใครสามารถครองอันดับหนึ่งบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ได้ แม้ในหนึ่งปีจะไม่รับภารกิจเลยสักอย่าง ก็ยังได้รับ ‘หกสิบล้านแต้มดารา’ ไปทันที!
แต่แน่นอนว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในสายนอก ศิษย์ทุกคนหมายตาอันดับหนึ่งเอาไว้อยู่ตลอด ดังนั้นการรั้งอันดับหนึ่งไว้ให้ได้ตลอดปีจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย
และไม่ใช่แค่อันดับหนึ่งเท่านั้น ห้าร้อยอันดับแรกบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์สลับสับเปลี่ยนไปมาตลอดเวลา มีชื่อขึ้นลงอยู่ทุกวัน
การรับบททดสอบหน้าศิลาเพียงครั้งเดียวย่อมไม่สามารถรั้งอันดับไว้ได้นาน
หรือก็คือรางวัลแต้มดาราของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์นั้นมีมูลค่าสูง แต่ก็ไม่ใช่ใครจะติดอันดับได้ง่าย ๆ ถึงจะสามารถติดอันดับได้ก็รั้งไว้ไม่ได้นาน
เฉินซีเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ดี จึงค่อนข้างยินดีกับรางวัลของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์แล้ว
ไม่ว่าจะทำเพื่อชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก หรือชิ้นส่วนแก่นแท้โกลาหล เขาก็ต้องรีบหาแต้มดาราให้ได้มากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นหากพลาดโอกาสได้รับสมบัติล้ำค่าทั้งสองไป เขาก็คงเสียใจไปชั่วชีวิต
“เจิ่นลู่ไม่ธรรมดาจริง ๆ ขึ้นอันดับที่ 35 ได้ในคราวเดียวตอนรับการทดสอบเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ผ่านไปปีเดียว ก็สามารถดีดมาถึงอันดับที่สิบ!”
“จริง ๆ แล้วไม่ใช่เพียงเจิ่นลู่ เจ้าดูจี้เซวียนปิง กับจ้าวเมิ่งหลีสิ สองคนนั้นก็รั้งอันดับที่ 13 และ 15 ไม่ใช่หรือ?”
“ได้ยินมาจากศิษย์อาวุโสคนอื่นว่าศิษย์ใหม่รอบนี้ยังมียอดอัจฉริยะอยู่อีกมาก เทียบกับการรับศิษย์ในอดีตนับว่ามีเยอะที่สุด ดูท่าจะสมคำร่ำลือแล้ว”
เมื่อเฉินซีมาถึงก็มีศิษย์หลายคนกำลังยืนคุยเรื่องอันดับกันอยู่ก่อนแล้ว ส่วนมากคุยเรื่องเจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี แล้วก็จี้เซวียนปิง
เพราะอย่างไรใน ห้าสิบอันดับแรกก็มีพวกเขาเป็นศิษย์ใหม่อยู่เพียงสามคน ส่วนที่เหลือเป็นศิษย์อาวุโสทั้งสิ้น จึงค่อนข้างเป็นจุดเด่นพอสมควร
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินซีจึงเงยหน้าขึ้นมองรายชื่อห้าสิบอันดับแรก คิดในใจว่า ตอนอยู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นข้าก็สามารถกำราบพวกเจ้าในการทดสอบเข้าสำนักไว้ได้ ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนอยู่ขอบเขตเซียนทองคำ ส่วนข้าก็เป็นเซียนทองคำเช่นกัน การบ่มเพาะพลังของข้าไม่ด้อยไปกว่าพวกเจ้า แต่หากว่ากันในเรื่องพลังต่อสู้ พวกเจ้าก็คงด้อยกว่าข้าไปแล้ว…
ในขณะที่คิดเช่นนี้ เฉินซีก็เดินออกไปพร้อมสูดหายใจเข้าลึก กำลังจะไปวัดอันดับ ก็ถูกเสียงรีบร้อนเสียงหนึ่งหยุดไว้เสียก่อน
“เฉินซี!” เงาร่างนั้นอยู่ในชุดสีแดงเพลิง ผิวนุ่มเนียน ใบหน้างดงาม กลิ่นอายสูงส่งดุดัน และหยิ่งผยองพลันลอยเข้ามา
“แม่นางจ้าวก็อยู่ด้วย” เฉินซีส่งสายตามอง เมื่อเห็นว่าเป็นจ้าวเมิ่งหลีก็ชะงักไป
“เวลาเช่นนี้ยังมีอารมณ์มาที่นี่อีกหรือ?” คิ้วงามของจ้าวเมิ่งหลีขมวดเข้าหากันแน่น
“แล้วมันผิดหรือ?” เฉินซีเองก็มุ่นคิ้วเช่นกัน การที่ข้ามามาวัดอันดับที่นี่คงไม่ไปล่วงเกินใครหรอกกระมัง?
จ้าวเมิ่งหลีเห็นเฉินซีมีท่าทีไม่รู้เรื่องเช่นนั้นก็อึ้งไปเล็กน้อย “หรือเจ้ายังไม่ได้ยินข่าว?”
“ข่าวอะไรหรือ? เกี่ยวกับข้าหรือ?” เฉินซียิ่งดูสับสนกว่าเดิม
ตอนนี้จ้าวเมิ่งหลีรู้แน่ชัดแล้วว่าเฉินซีไม่รู้เรื่องจริง ๆ นางพูดไม่ออกอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองเขาแล้วคิดในใจว่า ไม่รู้ว่าคนผู้นี้กลายเป็นผู้นำพันธมิตรดาราได้อย่างไร ตัวเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพันธมิตรดาราเลยแท้ ๆ…
นางสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ หลิวเจ๋อเฟิงแห่งสมาคมจั่วชิวพาสหายหลายคนส่งคำท้าสู้กับพันธมิตรดาราของเจ้า หากฝั่งเจ้าแพ้ก็ต้องยุบสมาคมไปรวมกับสมาคมจั่วชิว!”
นางหยุดมองเฉินซีเล็กน้อย “ก็คงจะรู้ดีว่าคนในพันธมิตรดาราล้วนเป็นศิษย์ใหม่ อย่างไรก็เทียบกับสมาคมจั่วชิวไม่ติดอยู่แล้ว”
เฉินซีชะงักไป ยามเอ่ยถ้อยคำใบหน้าก็ไม่สู้ดีนัก “ทางสำนักก็ยอมให้มีการท้าทายเช่นนี้ได้หรือ?”
“มันเป็นการต่อสู้กันในสมาคมศิษย์ หากฝั่งหนึ่งท้าประลองแล้วอีกฝั่งรับคำท้า เช่นนั้นก็นับว่าไม่ผิดกฎสำนักศึกษา ข้ารู้สึกว่าหลิวเจ๋อเฟิงกำลังเล็งเจ้าอยู่ อย่างไรเจ้าก็เอาชนะเขาตอนอยู่ฝ่ายบำเพ็ญเต๋าเมื่อปีก่อนไปได้ ทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง ไปที่ไหนก็ไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้อีก”
จ้าวเมิ่งหลีเหมือนหยุดคิดอะไรบางอย่างแล้วกล่าว “ส่วนจะมีผู้ใดยุยงหรือไม่ ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้คำตอบดีอยู่แล้ว”
หลิวเจ๋อเฟิง!
เฉินซีพลันนัยน์ตาเยือกเย็น เต็มไปด้วยไฟโกรธ ฝ่ายบำเพ็ญเต๋าเมื่อปีก่อนนั่น หลิวเจ๋อเฟิงที่อยู่ขอบเขตเซียนทองคำท้าประลองกับตน แค่นั้นก็มากเกินไปแล้ว ตอนนี้ไม่เพียงแต่หลิวเจ๋อเฟิงจะไม่รู้จักยับยั้งอารมณ์ แต่ยังคิดจะสลายพันธมิตรดาราผ่านคำท้าเช่นนี้ จะไม่ให้เฉินซีโกรธได้อย่างไร?
“เขาอยู่อันดับแปดบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ ครั้งที่สู้กับเจ้ายามนั้นพลังบ่มเพาะถูกยับยั้งไว้ ดังนั้นคงจะรู้สึกแพ้อย่างไม่ยุติธรรม ก็เลยจะทวงเกียรติคืนพอรู้ว่าเจ้าถึงขอบเขตเซียนทองคำแล้ว” จ้าวเมิ่งหลีมุ่นคิ้ว “แต่ปัญหาคือสมาชิกพันธมิตรดาราของเจ้าดันไปรับคำท้าแล้ว ฉะนั้นคนนอกคงยุ่งเกี่ยวไม่ได้ นับว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อพันธมิตรดาราเลย ถึงต้องเป็นเจ้าที่ลงมือ…”
พูดจบนางก็นิ่งไป
แต่เฉินซีก็รู้ความหมายเบื้องหลังดี และรู้ดีว่าจ้าวเมิ่งหลีคงคิดว่าตัวเขาไม่อาจสู้หลิวเจ๋อเฟิงได้เพียงลำพัง
เพราะอย่างไรหลิวเจ๋อเฟิงก็เป็นบุคคลรั้งอันดับแปดบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ อีกทั้งคำท้านี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นในฝ่ายบำเพ็ญเต๋า เฉินซีจึงไม่อาจทำให้หลิวเจ๋อเฟิงกดพลังบ่มเพาะไว้ได้เหมือนเมื่อปีก่อน
เฉินซีไม่คิดตอบคำ ตอนนี้ชายหนุ่มห่วงแต่ว่าเหตุใดพันธมิตรดารา ซึ่งปกติมีอาซิ่วคอยดูแล ถึงได้รับคำท้าของหลิวเจ๋อเฟิงไปเช่นนั้น ทั้งที่ดูก็รู้ว่าตนเองเสียเปรียบ?
ถึงเขาจะยังไม่เคยพบหน้าสมาชิกพันธมิตรดารา แต่ก็รู้ว่าคนที่อาซิ่วหามานั้นล้วนเป็นศิษย์ใหม่ที่ผ่านบททดสอบมาแล้ว และมีพรสวรรค์ไม่ใช่น้อย พื้นเพสะอาดสะอ้าน หากแต่มีเพียงสิบคนเท่านั้น และคงยังไม่สามารถทะลวงถึงขั้นขอบเขตเซียนทองคำเป็นแน่
ในสถานการณ์เช่นนี้ พันธมิตรดารากลับไปรับคำท้าหลิวเจ๋อเฟิง ดูแล้วไม่ใช่นิสัยอาซิ่วเลย
แต่สุดท้ายเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์
ชายหนุ่มรู้ดีว่าคำท้าที่ส่งให้พันธมิตรดาราไม่ได้มีเจตนาดีแน่ ไม่เพียงแต่เป็นการยั่วยุศักดิ์ศรี แต่ถึงขั้นอยากทำลายพันธมิตรดาราเพื่อโจมตีตนอีกด้วย!
จ้าวเมิ่งหลีมองเฉินซีที่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับเห็นว่าความโกรธบนใบหน้าพลันค่อย ๆ สงบลง มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ลึกล้ำดั่งเหวไร้ก้นทั้งยังคงความเย็นชาน่าหวาดผวาเอาไว้ด้วย
“ขอบคุณแม่นางจ้าว ข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย” เฉินซีเงยหน้าขึ้นแล้วป้องมือขอบคุณจ้าวเมิ่งหลีเสียงเบา
จ้าวเมิ่งหลีพยักหน้า “เจ้าสามารถขึ้นขอบเขตเซียนทองคำก่อนการสอบสายในได้ข้าก็นับถือเจ้าแล้ว ดังนั้นย่อมมาเตือนเจ้าไว้ก่อน จะว่าไป ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่? ถึงคนภายนอกจะยุ่งเกี่ยวไม่ได้ แต่เจ้าสามารถให้ผู้อื่นกดดันพวกเขาไม่ให้ทำเกินเหตุได้”
เฉินซีได้ยินแล้วกลับคลี่ยิ้ม “ขอบคุณสำหรับความหวังดีของแม่นาง แต่ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันกับพันธมิตรดาราของข้า เช่นนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ”
จ้าวเมิ่งหลีนิ่งไป เมื่อมองรอยยิ้มของเฉินซีแล้ว ในใจพลันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้น ดูท่าชายหนุ่มคนนี้จะโกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
เฉินซีหันกลับหมายจะเดินจากไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้า ก่อนจะยืดแขนออกมาแล้วซัดพลังไปทางศิลาด้านหลังตนเองไกล ๆ
ตูม!
พลังที่มองไม่เห็นปะทะเข้ากับศิลา จากนั้นเส้นแสงก็พลันส่องขึ้นฟ้า ทำให้ทุกคนในที่นั้นแหงนหน้าขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ จากนั้นก็เห็นว่ามีแสงส่องลงมาทางเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ อันเป็นเครื่องแสดงเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งสายนอก!
ชิ้ง!
ตอนนี้ทุกคนเห็นแล้วว่าบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์มีแสงสีทองปรากฏขึ้น มันกำลังพุ่งขึ้นไปด้านบนด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
ภายในไม่กี่ลมหายใจ มันก็ฝ่ามาถึงห้าสิบอันดับแรก!
รอบข้างพลันเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที แม้เทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์จะเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดของสายนอก แต่ห้าสิบอันดับแรกก็ไม่ค่อยเปลี่ยนชื่อบ่อย แต่ตอนนี้กลับมีชื่อที่ไม่เคยปรากฏบนศิลาพุ่งขึ้นมาถึงห้าสิบอันดับแรกภายในไม่กี่ลมหายใจ ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น
ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของใครหลายคน แสงสีทองนั้นพุ่งฝ่าห้าสิบอันดับแรก สามสิบอันดับแรก และยี่สิบอันดับแรกไป…
แสงสีทองยิ่งพุ่งขึ้นสูง ความตกตะลึงในใจคนรอบข้างก็พุ่งขึ้นสูงตาม พร้อมกับเบิกตากว้างขึ้นเรื่อย ๆ ปากก็อ้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ…
เมื่อเห็นว่าแสงนั้นหยุดอยู่อันดับที่ห้าทุกคนก็ตกใจจนพูดอันใดไม่ออก บรรยากาศรอบข้างเงียบสนิท แม้แต่หายใจดัง ๆ ยังไม่กล้า
เพราะชื่อนั้นคือชื่อของเฉินซี ศิษย์ใหม่อันดับหนึ่งที่สร้างเหตุการณ์สะเทือนเลือนลั่นมาแล้วหลายครั้งนับตั้งแต่เข้าสำนักมาได้ไม่ถึงสองปี!
ตอนนี้ คอขาวเนียนของจ้าวเมิ่งหลีกำลังแหงนขึ้นมอง สายตาจ้องชื่อบนอันดับที่ห้านิ่ง นัยน์ตากระจ่างเต็มไปด้วยความสง่างามไม่ธรรมดา ริมฝีปากเรียบเนียนสีแดงสดของนางพลันโค้งขึ้นอย่างไม่อาจอธิบายได้
นางพลันรู้สึกว่าหลิวเจ๋อเฟิงได้ก่อเรื่องที่ยากเกินแก้ลงไปเสียแล้ว…
—————————————————-