บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1219 เหมือนกำลังบดใบไม้แห้ง
บทที่ 1219 เหมือนกำลังบดใบไม้แห้ง
บทที่ 1219 เหมือนกำลังบดใบไม้แห้ง
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า เฉินซีเพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ขณะที่หลิวเจ๋อเฟิงได้บ่มเพาะในสำนักฝ่ายในมาเกือบพันปี
ดังนั้นในช่วงแรกของการต่อสู้ ทุกคนต่างรู้สึกว่า แม้เฉินซีจะโดดเด่นเพียงใด แต่หากต้องเผชิญหน้ากับหลิวเจ๋อเฟิง เฉินซีจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบอย่างแน่นอน ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น หลิวเจ๋อเฟิงจะถูกต้อนตั้งแต่การโจมตีครั้งแรก!
ชู่ว!
ในขณะที่ทุกคนประหลาดใจและงุนงง จู่ ๆ ภาพติดตาที่พร่าเลือนก็ปรากฏขึ้นเหนือหลิวเจ๋อเฟิงราวกับภูตผี จากนั้นปราณกระบี่ที่พร่างพรายก็ฟันฉับลงมา
มันเป็นมรดกจากยันต์เทวะอนันต์ และเป็นพลังกระบี่ของธาตุทั้งห้าที่ทับซ้อนกัน ทันทีที่ถูกฟันออกไป อากาศก็ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับเศษกระดาษ อีกทั้งมันยังเปล่งรัศมีแห่งการเข่นฆ่า และการทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
กระแสปราณกระบี่นี้ ทำให้คิ้วของหลิวเจ๋อเฟิงขมวดเข้าหากัน ในขณะที่เผยร่องรอยของใบหน้าที่หนักอึ้ง “เหตุที่เจ้าเด็กนี่หยิ่งผยอง เป็นเพราะมีฝีมืออยู่บ้าง”
ก่อนหน้านี้ ทันทีที่ต่อสู้เริ่มขึ้น เขาใช้พละกำลังเพียงห้าส่วน และแม้จะถูกพลังของเฉินซีสั่นคลอนจนต้องถอยหลังไปสองสามก้าว แต่เขาก็ยังมั่นใจว่าสามารถเอาชนะเฉินซีได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ภายในการโจมตีด้วยกระบี่นี้ หลิวเจ๋อเฟิงก็ตระหนักได้ว่า เซียนทองคำทั่วไปไม่อาจเทียบกับเฉินซีที่อยู่ตรงหน้าได้เลย!
“เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งปี แต่พลังต่อสู้ของเจ้าเด็กคนนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้อย่างไร แม้จะบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ แต่พลังต่อสู้จะน่าสะพรึงกลัวได้อย่างไรในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้?”
“หมัดราชาเทพอสูรทมิฬ!” หลิวเจ๋อเฟิงไม่เสียเวลาคิดต่อไป ร่างยืนหยัดอย่างมั่นคง กำปั้นพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีทองส่องออกมาจากภายใน ดูเหมือนภูเขาไฟที่กำลังปะทุ มันแตกกระจายไปทั่วอากาศก่อนจะระเบิดอย่างรุนแรง ปราณกระบี่วูบวาบลงมาจากทางด้านบน
ปัง!
พลังทั้งสองสายปะทะกันอีกครั้ง แสงศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้นและครอบคลุมพื้นที่ 250 ลี้โดยรอบ ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ต้องหลบเลี่ยงกันจ้าละหวั่น โชคดีที่มันอยู่ในสำนัก และสำนักก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัด ทำให้คลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัว ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับอาคารใกล้เคียงได้
มิฉะนั้น การปะทะกันของเซียนทองคำสองคนก็เพียงพอที่จะทำลายลานฝ่ายนอกทั้งหมดในพริบตา!
ตุบ! ตุบ!
แม้ว่า หลิวเจ๋อเฟิงจะเตรียมการมาอย่างดี แต่เมื่อปะทะกันจริง ๆ เขายังคงถูกซัดอย่างรุนแรง จนถึงจุดที่ร่างกายสั่นสะท้าน ต้องถอยหลังไปอีกสองก้าวอย่างควบคุมไม่ได้
ฉากนี้ทำให้สีหน้าของหลิวเจ๋อเฟิงมืดมนอย่างมาก ดวงตาลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธแค้น เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะพลังต่อสู้ที่คนผู้นี้สำแดงออกมา เหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง
ในส่วนของคนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ ต่างตกใจจนกรามแทบจะกระแทกพื้น
หากการปะทะกันครั้งแรกระหว่างหลิวเจ๋อเฟิงและเฉินซีก่อนหน้านี้ อาจบอกได้ว่าหลิวเจ๋อเฟิงประมาท ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้าก็ได้พิสูจน์แล้วว่า พลังต่อสู้ของเฉินซีนั้นอยู่ในระดับเดียวกับหลิวเจ๋อเฟิง และอาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ !
“อย่างที่ข้ากล่าวไป เจ้าเพียงคนเดียวไม่พอหรอก เข้ามาพร้อมกันเลยดีกว่า” ร่างของเฉินซีวูบวาบเหมือนแสงที่ส่องผ่านท้องฟ้า ชายหนุ่มกลับมายังจุดที่ตนยืนอยู่ก่อนหน้านี้ในพริบตา พลางกวาดสายตาไปยังหลิวเจ๋อเฟิงและสหายของเขาอย่างเย็นชา
สิ้นคำ ทุกคนก็ตกใจอีกครั้ง แต่เมื่อเทียบกับความเหลือเชื่อก่อนหน้านี้ ความรู้สึกตอนนี้จึงถือว่าเล็กน้อย
สำหรับหลิวเจ๋อเฟิง คำพูดเหล่านี้ไม่ต่างจากเข็มพิษทิ่มแทงลึกเข้าไปในหัวใจ ทำให้สีหน้ามืดมนอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน สหายของเขาต่างกัดฟันแน่น และรู้สึกว่าพวกตนต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสู และการดูถูกเหยียดหยามอย่างใหญ่หลวง
“อะไร? พวกเจ้ากลัวว่าจะถูกศิษย์ใหม่อย่างข้าทุบตี และไม่อาจเชิดหน้าชูตาอยู่ในสำนักฝ่ายนอกได้?” รอยยิ้มเย็นยะเยือกเสี้ยวหนึ่งปกคลุมไปทั้งมุมปากของชายหนุ่ม
ในชั่วพริบตาต่อมา แสงสีทองที่ไม่ธรรมดาก็พุ่งออกมาจากภายในตัว และพุ่งขึ้นไปบนผืนนภา พลังอันน่าสะพรึงกลัวของกฎแห่งเซียนทองคำหมุนวนอยู่ทั่วร่างกายของเฉินซี ทำให้เขาดูเหมือนเป็นราชาผู้ครองโลก กลิ่นอายอันน่าเกรงขามสั่นสะเทือนมวลเมฆและสายลม
เคร้ง!
กระบี่ตะขอดาราออกจากฝัก จากนั้นร่างของเฉินซีก็สว่างวาบ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นพร่ามัวไม่ชัดเจน ชายหนุ่มกลายเป็นภาพติดตามากมายเคลื่อนผ่านพื้นที่โดยรอบ
เมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนว่าเฉินซีสองสามร้อยคนกำลังทะยานอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของอากาศ เป็นฉากที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
ไม่เพียงแค่นั้น ในยามที่เฉินซีลงมือ ก็มีปราณกระบี่มากกว่าหนึ่งพันเล่มปรากฏขึ้น กระบี่ทุกเล่มมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางเล่มเหมือนมหาสมุทรสีครามขนาดมหึมา บางเล่มเหมือนหินหลอมเหลวที่เผาผลาญทุกสิ่ง บางเล่มเหมือนภูเขาสูงตระหง่านทะลุท้องฟ้า บางเล่มเหมือนป่าไม้…
พวกมันเป็นมรดกที่แตกต่างกันของเคล็ดกระบี่ และได้แสดงความลึกล้ำสูงสุดของกฎแห่งมหาเต๋าต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น กฎแห่งมหาเต๋าเหล่านี้ได้สำแดงอานุภาพเพียงพอที่จะทำให้ฟ้าดินตกอยู่ในเงามืด
ปราณกระบี่จำนวนมากที่ไม่มีใครเทียบได้พุ่งออกมาราวกับมวลคลื่น ทันใดนั้นพวกมันก็ระเบิดไปทั่วทิศ ทำให้สวรรค์ ปฐพี และท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ ผืนนภาเกิดรอยแยกอันน่าสะพรึงกลัวมากมาย
ในระยะไกล ทุกคนที่เห็นภาพที่น่าตกใจนี้ ต่างรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ความตกใจอันไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านอยู่ภายในใจ เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ว่า พลังต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาจากเฉินซีที่เพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนทองคำได้เพียงเดือนเดียว!
“กฎแห่งมหาเต๋าที่สมบูรณ์ซ้อนทับกัน และเปลี่ยนเป็นกระแสปราณกระบี่ที่มีธาตุต่าง ๆ มากมาย นึกไม่ถึงเลยว่าความรู้ของเขาเกี่ยวกับมหาเต๋าจะบรรลุถึงระดับดังกล่าวแล้ว ถ้าเขาควบรวมพวกมันทั้งหมดเป็นตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ อานุภาพของพวกมันก็จะยิ่งน่าเกรงขามมากขึ้น…” ณ ที่ใดที่หนึ่งในระยะไกล ดวงตาของจ้าวเมิ่งหลีส่องประกายงดงาม
หลังจากนั้น ดูเหมือนนางจะคิดอะไรบางอย่างได้ คิ้วสีดำสนิทก็ขมวดแน่น “ช้าก่อน… เขาได้รับตราศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ยังไม่เคยใช้มันสักครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขายังคงลังเลอยู่”
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ความตกใจที่อธิบายไม่ได้ก็พลุ่งพล่านอยู่ภายในหัวใจของจ้าวเมิ่งหลีอีกครั้ง และครุ่นคิดอย่างจริงจังยิ่งขึ้น “นอกจากเจิ่นลู่และจี้เซวียนปิงที่ยากจะหยั่งถึงแล้ว ข้าเกรงว่ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ควรค่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า ในระหว่างการสอบของสำนักฝ่ายในในอีกหกเดือนนับจากนี้…”
นางไม่ได้เปรียบเทียบตัวเองกับศิษย์อาวุโสของสำนักฝ่ายนอก เห็นได้ชัดว่ามีเพียงเฉินซี เจิ่นลู่ และจี้เซวียนปิงเท่านั้นที่มีพลังฝีมือระดับเดียวกับนาง
“เดิมทีตัวข้าคิดว่าให้ความสำคัญกับเขามากพอแล้ว แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเหนือกว่านั้น!” ในอีกด้านหนึ่ง จี้เซวียนปิงยืนเอามือไพล่หลัง ความชื่นชมแผ่ขยายเต็มหว่างคิ้ว ความรู้สึกกดดันพลุ่งพล่านในหัวใจเช่นกัน
“แต่ไม่เป็นไร ยิ่งได้รับแรงกดดันข้าก็จะยิ่งพัฒนา การมีคู่ต่อสู้เช่นนี้ในหมู่คนรุ่นเดียวกันคือโชคชะตาของข้า” หลังจากนั้น จี้เซวียนปิงก็หัวเราะเบา ๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างแท้จริง
“ผลการต่อสู้ได้ถูกตัดสินแล้ว” จนถึงตอนนี้ เจิ่นลู่ไม่ได้กล่าวอันใดสักคำ แต่เมื่อได้เห็นฉากนี้ สีหน้าที่สงบนิ่งพลันฉายแววตกใจเล็กน้อย
ที่นอกห้องโถงใหญ่ของพันธมิตรดารา ปราณกระบี่พุ่งออกไปทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง ราวกับกระแสน้ำจำนวนมหาศาลที่เปล่งรัศมีแห่งสวรรค์ร่ายรำอย่างดุดันบนท้องฟ้า พวกมันแยกออกจากกัน บดขยี้ และทำลายมวลอากาศ ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในสภาวะแห่งความปั่นป่วนโกลาหล
หลิวเจ๋อเฟิงและคนอื่น ๆ รู้สึกราวกับกำลังอยู่ท่ามกลางคลื่นพายุโหมกระหน่ำ ไม่ว่าจะดิ้นรนเพียงใด ก็ไม่สามารถหลบหนีจากการถูกไล่ตามและบดขยี้ด้วยปราณกระบี่นี้ได้
ในระหว่างขั้นตอนทั้งหมดนี้ บางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและกระอักเลือดคำโต บางคนได้รับบาดเจ็บจากปราณกระบี่ ร่างกายปกคลุมไปด้วยรอยแผลโชกเลือด… พวกเขาไม่อาจต่อสู้ต่อไปได้ และอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูอย่างยิ่ง
ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ตื่นตระหนกจนลืมหายใจไปชั่วขณะ และมองด้วยความเหลือเชื่อต่อฉากนี้ เพราะเฉินซีดูเหมือนกำลังบดใบไม้แห้ง ความเย็นยะเยือกสายหนึ่งแล่นพล่านไปทั่วร่าง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเฉินซีเป็นตัวตนที่อันตรายอย่างแท้จริง
ใช่! มีเพียงผู้ที่เห็นด้วยสองตาของตนเท่านั้น ที่สามารถเข้าใจได้ว่า ตั้งแต่เฉินซีบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจ จนสามารถทำให้โลกตกตะลึง
ในอดีต ไม่มีใครกล้าเชื่อว่าจะมีคนที่สามารถดึงพลังต่อสู้ของตนออกมาได้ในระดับดังกล่าว หลังจากเพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำได้ไม่นาน
ในช่วงเวลาสั้น ๆ นอกจากหลิวเจ๋อเฟิงแล้ว ทุกคนที่อยู่ในวงต่อสู้ล้วนได้รับบาดเจ็บ เสียงร้องโหยหวนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า พวกเขาพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ ทั้งที่นี่คือกลุ่มของเซียนทองคำ! ซึ่งในโลกภายนอก พวกเขาเป็นตัวตนระดับจ้าวผู้ปกครองที่สามารถยืนอยู่เหนือทวีปได้อย่างภาคภูมิ แต่ตอนนี้กลับดูน่าสมเพชเป็นอย่างยิ่ง
ที่สำคัญที่สุด คือตั้งแต่ต้นจนจบ การโจมตีหรือความสามารถทั้งหมดของพวกเขา ไม่สามารถเป็นทำอะไรเฉินซีได้เลย แม้แต่ไล่ตามร่างของเฉินซีที่เคลื่อนตัวผ่านท้องฟ้าได้เหมือนภูติผีก็ไม่อาจทำได้!
หลิวเจ๋อเฟิงรู้สึกประหลาดใจและงุนงง เขาเองก็ไม่กล้าเชื่อเหมือนกันว่าฉากนี้จะเกิดขึ้นกับตน ไม่รู้เลยสักนิดว่าพลังต่อสู้ของเฉินซีได้เพิ่มขึ้นถึงระดับนั้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า พวกเขาชักนำภัยมาสู่ตนเองแล้ว
ในแง่ของการบ่มเพาะ ตนได้บรรลุขอบเขตเซียนทองคำก่อนเฉินซีหลายปี แต่พลังต่อสู้ไม่ได้ถูกกำหนดโดยระยะเวลาที่บ่มเพาะ มันถูกกำหนดโดยรากฐาน เคล็ดวิชาการต่อสู้ ประสบการณ์การต่อสู้ และความเข้าใจในกฎแห่งมหาเต๋า!
ไม่ว่าจะเป็นด้านใด เฉินซีก็บดขยี้พวกเขาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น พวกเขาจะเป็นคู่มือกับเฉินซีได้อย่างไร?
สรุปแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาอ่อนแอเกินไป แต่เป็นเฉินซีที่แข็งแกร่งเกินไปต่างหาก!
ปัง!
กระแสปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งมาหาตน รวดเร็วจนหลิวเจ๋อเฟิงไม่สามารถหลบได้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต้านมัน แต่กลับถูกพลังมหาศาลนั้นผลักกระเด็นออกไปในทันที ทำให้หยาดโลหิตไหลออกมาจากมุมปาก
เหล่าสมาชิกของสมาคมจั่วชิวที่มาสร้างปัญหา ล้วนมองเฉินซีด้วยความเหลือเชื่อ ดวงตาฉายแววหวาดกลัวสะท้านไปถึงจิตวิญญาณ
ในสายตาของพวกเขา ชายหนุ่มรูปหล่อที่มีสีหน้าเฉยเมยซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า เป็นเหมือนปีศาจที่มาจากความมืดมิด ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวต่อคนผู้นี้โดยสัญชาตญาณ
“คนผู้นี้น่ากลัวเหลือเกิน! เขาไม่เหมือนศิษย์ใหม่เลยสักนิด!”
เมื่อนึกถึงวิธีที่พวกตนกดดันพันธมิตรดาราอย่างเย่อหยิ่ง และต้องการเหยียบย่ำ เฉินซี ทว่ากลับเป็นพวกตนที่ตกต่ำถึงเพียงนี้ และต้องเสียหน้าภายใต้การจ้องมองของเหล่าศิษย์อาวุโสที่อยู่ที่นี่
แต่ศักดิ์ศรีในฐานะเซียนทองคำ ทำให้พวกเขายึดมั่นอย่างขมขื่นมาจนถึงตอนนี้ และไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
ทว่าเฉินซีไม่ได้หยุด สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ชายหนุ่มเดินผ่านอากาศอย่างมั่นคง ร่างกายเผยให้เห็นจิตสังหารหนาแน่น ทำให้พวกเขารู้สึกหายใจไม่ออก
กลิ่นอายอันน่าเกรงขามนี้ ได้ถูกขัดเกลาผ่านการต่อสู้นองเลือดนับครั้งไม่ถ้วน มันเป็นกลิ่นอายของการเข่นฆ่าอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้หวาดกลัวไปถึงดวงวิญญาณ
“พวกเจ้าทุกคนมีความกล้าที่จะท้าทายพันธมิตรดารา ด้วยความสามารถเล็กน้อยเพียงนี้หรือ?” เฉินซีถือกระบี่ และกำลังจะฟาดฟันไอ้สารเลวเหล่านี้ให้สิ้นซาก ทำลายความภาคภูมิใจของพวกเขาจนหมดสิ้น ทว่าทันใดนั้น ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากอากาศ และขวางเฉินซีไว้
“หยุดมือซะ! เจ้ากำลังต่อสู้อะไรในสำนัก?” ผู้ที่มาถึงมีสีหน้าเย็นชา ที่หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความมืดมนและไร้ความปรานี เขาคือหัวหน้าศิษย์ของโถงผู้คุมกฎ จั่วชิวจวิน!