บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1221 มาถึงอย่างคุกคาม แต่จากไปอย่างวิตกกังวล
บทที่ 1221 มาถึงอย่างคุกคาม แต่จากไปอย่างวิตกกังวล
บทที่ 1221 มาถึงอย่างคุกคาม แต่จากไปอย่างวิตกกังวล
ท่าทีของเซวียนหยวนซิ่วอาจกล่าวได้ว่าเด็ดเดี่ยว ตรงไปตรงมา และไร้ความลังเล คำพูดของนางไม่ได้คุกคามเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมันเข้าหูของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น มันกลับมีกลิ่นอายของการฆ่าฟันที่พุ่งเข้าใส่ทุกคนโดยตรง
ทุกคนเชื่อมั่นว่าเซวียนหยวนซิ่วจะทำตามที่กล่าวอย่างแน่นอน
เนื่องจากนางเป็นองค์หญิงน้อยของตระกูลเซวียนหยวน นางจึงกระทำตามอำเภอใจ เพราะมีอำนาจเหนือกว่า ซึ่งในโลกนี้ที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและภูมิหลัง ภูมิหลังของเซวียนหยวนซิ่วนั้นยิ่งใหญ่มากอย่างเห็นได้ชัด
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงันและตึงเครียด จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็แวบมาจากที่อันไกลโพ้น และกล่าวบางอย่างที่ข้างหูของจั่วชิวจวิน ทำให้สีหน้าของจั่วชิวจวินจมดิ่งยิ่งกว่าเดิม เขาเลื่อนสายตาไปทางเฉินซี มันเต็มไปด้วยความประหลาดใจและสับสน
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นข่าวใดถูกส่งมายังจั่วชิวจวิน แต่เดาได้ไม่ยาก การเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายน่าจะเกี่ยวข้องกับเฉินซีอย่างแน่นอน
“หึ… ข้าไม่คิดว่าในช่วงเวลาสั้น ๆ เจ้าจะก้าวขึ้นสู่อันดับที่ห้าในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์แล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าไม่เกรงกลัวเช่นนี้” จั่วชิวจวินเงียบไปนาน ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น สีหน้าพลันมืดมน น้ำเสียงซับซ้อน ทำให้คนอื่นไม่อาจคาดเดาได้ว่าคนผู้นี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
แต่ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป มันทำให้เกิดความแตกตื่นอย่างมากในบริเวณโดยรอบ ทุกคนจับจ้องไปทางเฉินซีเป็นตาเดียว ราวกับกำลังมองตัวประหลาด
“อันดับที่ห้าของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์?”
“เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งเมื่อไหร่?”
“ไยเราจึงไม่ทราบเรื่องนี้เลย?”
ในขณะนี้ สีหน้าของหลิวเจ๋อเฟิงและคนอื่น ๆ กลายเป็นเคร่งขรึม ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าการพ่ายแพ้ต่อเฉินซีอย่างน่าสังเวชก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด
เพราะอันดับที่ห้าของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ เป็นดั่งท้องฟ้าที่พวกเขาได้แต่มองขึ้นไปเท่านั้น!
เหลียงเริ่น กู่เยวหมิง และสมาชิกของพันธมิตรดาราต่างเผยสีหน้าประหลาดใจปนยินดี และรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะไม่คาดคิดว่าผู้นำของพันธมิตรดาราจะอยู่ในอันดับที่ห้าของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์
ในช่วงเวลานี้เองที่ทุกคนหายจากอาการตกใจและเข้าใจในทุกสิ่ง พวกเขาเข้าใจว่าทำไมเฉินซีถึงมีอำนาจเหนือกว่า เมื่อเผชิญหน้ากับหลิวเจ๋อเฟิงและคนอื่น ๆ เป็นเพราะคนผู้นี้มีพลังกล้าแกร่งพอที่จะทำได้
พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความสมเพช ขณะมองหลิวเจ๋อเฟิงกับคนอื่น ๆ “ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก พวกเขาไม่ได้สืบข่าวความแข็งแกร่งของเฉินซีก่อนที่จะมาหาเรื่อง แส่หาเรื่องเจ็บตัวแท้ ๆ”
เฉินซียังคงนิ่งเงียบ เพราะทราบดีว่าจั่วชิวจวินจะไม่ทำสิ่งที่เป็นการยกย่องศัตรูของตน และดูถูกตัวเองอย่างแน่นอน
เป็นดั่งที่คาดไว้ จั่วชิวจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ถ้าเป็นในอดีต เจ้าคงมีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่สำนักฝ่ายในด้วยความสามารถในปัจจุบัน น่าเสียดายที่การสอบของสำนักฝ่ายในครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งก่อน ๆ”
คำพูดเหล่านี้สร้างความงุนงงให้กับทุกคนที่อยู่ที่นี่
ทว่าจั่วชิวจวินกลับไม่คิดอธิบาย สายตากวาดไปทางเซวียนหยวนซิ่วอย่างเฉยเมย “การต่อสู้ในวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว ไปกันเถอะ…”
ขณะที่กล่าว เขาก็หันหลังจากไป
หลิวเจ๋อเฟิงและคนอื่น ๆ ตกตะลึง ซึ่งดูเหมือนจะไม่เต็มใจ แต่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน ไม่รอช้า พวกเขาตามหลังจั่วชิวจวินไปทันที เพราะต้องการออกจากสถานที่นี้โดยเร็วที่สุด
วันนี้พวกเขาต้องประสบกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังเสียหน้าจนหมดสิ้น ความหยิ่งยโสถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส แล้วจะมีหน้าอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาต้องการจะจากไป เซวียนหยวนซิ่วกลับไม่อนุญาต หญิงสาวกล่าวอย่างเย็นชา “ใครอนุญาตให้พวกเจ้าไป เจ้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และขอโทษเลย”
ชู่ว!
สิ้นคำ ศิษย์ฝ่ายในจากสมาคมเซวียนหยวนที่อยู่เคียงข้างก็เคลื่อนตัวออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน และล้อมทุกคนรวมถึงจั่วชิวจวินในทันที
สีหน้าของจั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ จมดิ่งลง ดวงตาถลึงจนแทบจะถลนด้วยความเดือดดาล เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่อยากพัวพันกับเรื่องนี้ต่อไป แต่เซวียนหยวนซิ่วก็กดดันอย่างต่อเนื่อง “นี่นางไม่คิดว่าเกินไปหน่อยหรือ!”
“แล้วไปเถิดอาซิ่ว ปล่อยพวกมันไป” ทันใดนั้น จู่ ๆ เฉินซีก็กล่าวขึ้นมา คำกล่าวนี้เกินความคาดหมายของทุกคน
เหล่าคนของตระกูลเซวียนหยวนมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจ
เซวียนหยวนซิ่วดูเหมือนจะอ่านความคิดของเฉินซีออก นางจึงรู้สึกสะเทือนใจและปรายตามองอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะหันไปกล่าวอย่างไม่พอใจกับสมาชิกของสมาคมเซวียนหยวน “พวกเจ้ายังยืนทำอะไรอยู่? ได้ยินแล้วนี่ ปล่อยพวกมันไป!”
สมาชิกของสมาคมเซวียนหยวนเหล่านั้นชำเลืองมองกันและกัน ก่อนที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะขยับตัวเปิดทาง แม้จะถูกต่อว่าในที่สาธารณะ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าขัดต่อความตั้งใจขององค์หญิงน้อย
ผู้ชมที่อยู่โดยรอบต่างตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งนี้ “ไปซะ? คงมีแต่องค์หญิงน้อยจากตระกูลเซวียนหยวนเท่านั้นที่กล้ากล่าวเช่นนี้”
“ฮึ่ม!” จั่วชิวจวินเหลือบมองเฉินซีอย่างเย็นชา ก่อนที่จะเผยสีหน้าเคียดแค้น ก่อนจะจากไปพร้อมกับสมาชิกของสมาคมจั่วชิวที่อยู่ข้างหลัง พวกเขาดูหดหู่และมีสีหน้าเศร้าหมอง ซึ่งแตกต่างกับท่าทีคุกคามเมื่อตอนที่มาถึงอย่างสิ้นเชิง
คนของสมาคมจั่วชิวเดินกอดความล้มเหลวกลับไปยังที่ของตน
…
“ดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งให้พวกเจ้าต้องทำแล้ว เอาล่ะ พวกเจ้ากลับไปเถอะ” ในระยะไกล จ้าวเมิ่งหลีจ้องมองร่างของจั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ หายลับไป ก่อนจะหันกลับมา และกล่าวอย่างสบาย ๆ
พริบตานั้น จู่ ๆ ร่างกว่าสิบร่างก็ปรากฏขึ้นจากอากาศ พวกเขาประสานมือคารวะจ้าวเมิ่งลี่อย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะแยกย้ายกันไป
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ร่างทั้งสิบนี้คือศิษย์ฝ่ายในของพันธมิตรวิหคอมตะ!
…
“นายน้อย ดูเหมือนว่าเราไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ” ในอีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มหล่อเหลา และสงบสำรวมเดินไปที่ด้านข้างของจี้เซวียนปิงอย่างรวดเร็ว
จี้เซวียนปิงพยักหน้า “ขออภัยที่ทำให้ทุกคนต้องลำบากในวันนี้”
“มันเป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลากล่าวอย่างนอบน้อม “ถ้าท่านไม่มีคำสั่งเพิ่มเติม พวกเราทั้งหมดต้องขอตัวลา”
“อืม ไปเถอะ แล้วช่วยข้ามอบของขวัญแก่สมาชิกทุกคนในสมาคมตระกูลจี้ของเราด้วย” จี้เซวียนปิง โบกมือพลางกล่าว
“ขอบคุณ นายน้อย” ชายหนุ่มรับคำสั่งแล้วจากไป
…
“ศิษย์พี่หลิงหลงอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะกับอาจารย์ของนาง แต่เราจะไม่นิ่งเฉยต่อเรื่องที่นางกำชับ น่าเสียดายที่สมาคมเซวียนหยวนเข้ามาแทรกแซงในวันนี้ ทำให้กองกำลังตระกูลมู่ของเราไม่มีโอกาสได้เคลื่อนไหว”
ในเวลาเดียวกัน มู่อวี่ชงยืนอยู่ในระยะไกลกับกลุ่มคน และแย้มยิ้ม เมื่อเห็นม่านของเรื่องนี้รูดปิดลง “ไปกันเถอะ ครั้งนี้ตระกูลจั่วชิวเสียหน้ามากจริง ๆ ”
…
หากจั่วชิวจวินรู้ว่า แม้เซวียนหยวนซิ่วจะไม่ได้ปรากฏตัว แต่ก็ยังมีสมาคมอีกมากมายพร้อมจะแทรกแซงเรื่องนี้ เขาจะรู้สึกอย่างไร? แต่เพราะมันยังไม่เกิด เขาจะรับรู้ได้อย่างไร จริงหรือไม่?
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แม้จะมีคนในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการตายของเฉินซี แต่ก็มีคนจำนวนมากในเงามืดที่ห่วงใยเฉินซีอย่างแท้จริง และทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของเฉินซีในสำนัก
เพราะนับตั้งแต่เข้ามาในสำนักจนถึงตอนนี้ เฉินซีก็เหมือนคนดังที่สร้างความประหลาดใจให้กับสำนักอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งกว่านั้น ความเร็วในการพัฒนาความแข็งแกร่งก็เร็วขึ้นอย่างมาก
บางคนรักและบางคนเกลียดอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ อย่างไรก็ตาม มีคนรักกก็ต้องมีคนเกลียด เป็นเรื่องสามัญอย่างยิ่ง
…
หลังจากจั่วชิวจวินกับคนอื่น ๆ จากไป ผู้ชมทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียง และพันธมิตรดาราก็จากไปตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พวกเขาจากไป แต่ในหัวใจของทุกคนก็ไม่สามารถสงบลงได้ บางคนรู้สึกตื่นเต้นและรีบมุ่งหน้าไปที่ภูเขาแสวงเต๋า เพื่อดูตำแหน่งของเฉินซีบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์
นอกจากนี้ ยังมีบางคนที่ตกใจกับการสำแดงพลังของเฉินซี และบอกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างรวดเร็ว
เพราะพวกเขาตระหนักดีว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะต้องก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในสำนักอย่างแน่นอน
จั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ มาหาเรื่องพันธมิตรดารา แต่กลับถูกทุบตี และเสียหน้าก่อนที่จะจากไปพร้อมกับความล้มเหลว!
องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลเซวียนหยวนอย่างเซวียนหยวนซิ่วกล่าวอย่างชัดเจนว่า นางเป็นสมาชิกของพันธมิตรดารา!
ผู้นำของพันธมิตรดาราปรากฏตัวหลังจากบรรลุขอบเขตเซียนทองคำเมื่อเดือนที่แล้ว และขึ้นสู่อันดับที่ห้าในเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ในรวดเดียว!
ข่าวแต่ละอย่าง เพียงพอที่จะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ โดยเฉพาะมันเกิดขึ้นพร้อมกันในวันเดียว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะมีผู้ใดสงบใจได้บ้าง?
…
ภายในโถงพันธมิตรดารา
สมาชิกทุกคนของพันธมิตรดารามีสีหน้าตื่นเต้น ขณะพูดคุยกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างรู้สึกเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ และความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรดาราก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน
อีกด้านหนึ่งของห้องโถง เซวียนหยวนซิ่วกำลังแนะนำพันธมิตรดาราให้เฉินซีฟัง
“ปัจจุบัน พันธมิตรดารามีสมาชิกทั้งหมด 16 คน โดยปกติแล้ว กู่เยวหมิงและเหลียงเริ่นจะรับผิดชอบเรื่องประจำวัน ส่วนข้าวางแผนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบ และการเสริมความแข็งแกร่งของพันธมิตรดารา เมื่อสมาชิกของพันธมิตรดาราเพิ่มขึ้นในอนาคต ตำแหน่งเฉพาะบางตำแหน่งจะถูกจัดตั้งขึ้น เช่น ผู้พิทักษ์ เจ้าหอ และอื่น ๆ เป็นต้น”
เซวียนหยวนซิ่วบ่นพึมพำเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย และทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของพันธมิตรดาราในอนาคต เห็นได้ชัดว่านางมีความทุ่มเทกับเรื่องของพันธมิตรดาราเพียงใด และมันทำให้เฉินซีรู้สึกละอายใจ เพราะเขารู้สึกว่าตนเป็นผู้นำที่ทิ้งทุกอย่างไว้ให้ผู้อื่น
“จริงสิ ดูเหมือนจั่วชิวจวินจะกล่าวถูกต้อง การสอบภายในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ๆ” ทันใดนั้น เซวียนหยวนซิ่วก็นึกบางอย่างได้ และมองไปที่เฉินซี “ข้าออกจากสำนักเพื่อไปบ่มเพาะกับอาจารย์เมื่อไม่กี่วันก่อน และมันเป็นประโยชน์ในการเตรียมสอบสำหรับสำนักฝ่ายใน ”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเฉินซีกลายเป็นจริงจังทันที เพราะเขาจำได้ว่า จั่วชิวจวินกล่าวบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจก่อนจะจากไป และมันเกี่ยวข้องกับการสอบของสำนักฝ่ายใน
“การสอบของสำนักฝ่ายในครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ในสำนัก แต่อยู่ที่สมรภูมินอกพิภพ สำหรับสถานที่ จะประกาศเมื่อการสอบเริ่มขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เท่าที่ข้าทราบมา ศิษย์ที่อยู่ในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์จะนำโดยอาจารย์ผู้มีขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นสี่คน และหนึ่งในนั้นคืออาจารย์จากตระกูลจั่วชิว”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เซวียนหยวนซิ่วลังเลเล็กน้อยและครุ่นคิดเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวในตอนท้าย “อาจารย์ของตระกูลจั่วชิวคนนี้ชื่อจั่วชิวไท่อู่ เขามีคววามอาวุโสมากในสำนัก และเป็นตัวตนที่มีอายุเท่ากับท่านเจ้าสำนัก…”
ตามที่เซวียนหยวนซิ่วกล่าว จั่วชิวไท่อู่ได้บ่มเพาะในสำนักมาหลายหมื่นปีแล้ว เขามักจะบ่มเพาะอย่างสันโดษ และไม่สนใจเรื่องของโลกภายนอก ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ด้วยวัยวุฒิ มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขามีอิทธิพลต่อกิจการส่วนใหญ่ในตระกูลจั่วชิว และมีอำนาจมหาศาล
“หากตัวตนเช่นนั้นเกิดคิดร้ายต่อเจ้าในระหว่างการทดสอบ มันอาจส่งผลเสียอย่างมาก” คิ้วเรียวงามของเซวียนหยวนซิ่วขมวดเข้าหากัน “ข้าคิดว่าความหมายเบื้องหลังคำที่จั่วชิวจวินกล่าวก่อนหน้านี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้อย่างแน่นอน”
“จั่วชิวไท่อู่?”
เฉินซีถึงกับกล่าวไม่ออก ในที่สุด เขาก็เข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงกล่าวว่า ถ้าในแง่ของความแข็งแกร่งของกองกำลังในสำนักแล้ว ในบรรดาเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตระกูลจั่วชิวแข็งแกร่งที่สุด