บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1225 แดนโบราณจักรพรรดิเต๋า
บทที่ 1225 แดนโบราณจักรพรรดิเต๋า
เมื่อถึงวันสอบของสำนักฝ่ายใน ทั่วทั้งสำนักฝ่ายนอกก็เปี่ยมล้นไปด้วยความตื่นเต้น
แม้จะเป็นศิษย์ที่ไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการสอบของสำนักฝ่ายใน แต่ทุกคนต่างรีบรุดไปดูความสง่างามของผู้เยี่ยมยุทธ์ห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์
สำหรับศิษย์ฝ่ายนอกทุกคน การเข้าสู่ฝ่ายในเป็นเหมือนเป้าหมายที่ต้องต่อสู้และมุ่งมั่นเพื่อจะบรรลุ แต่ถึงอย่างไรก็มีเพียงผู้โดดเด่นในการสอบของสำนักฝ่ายในเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าสู่พื้นที่มรดกที่แท้จริงของสำนักฝ่ายในได้!
เห็นได้ชัดว่า การแข่งขันในการสอบดังกล่าวไม่เคยง่ายเลย อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นการแข่งขันที่แท้จริงครั้งแรกระหว่างศิษย์ ตั้งแต่เข้าร่วมสำนัก!
ท้องฟ้าสดใสเป็นสีฟ้าคราม และไม่มีเมฆมาบดบังแม้แต่น้อย
ณ ลานการสอนของฝ่ายนอก เวลานี้ มันเดือดพล่านไปด้วยความตื่นเต้นตั้งแต่เช้าตรู่ ศิษย์อาวุโส และศิษย์ใหม่จำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่อย่างต่อเนื่อง จนก่อตัวเป็นมวลหนาแน่น ศิษย์บางคนที่มักจะปิดด่านบ่มเพาะอยู่ตลอดเวลา ก็ปรากฏตัวเช่นกัน ทำให้บรรยากาศคึกคักอย่างมาก
เฉินซียืนอยู่ที่ด้านหนึ่งของจัตุรัส ดวงตาสีเข้มเผยให้เห็นถึงความคาดหวังที่ลุกโชน ขณะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายดุดันที่ปกคลุมทั่วจัตุรัส
“เฉินซี ข้ารอวันนี้มานานแล้ว ระวังตัวไว้ได้เลย!” ร่างของจี้เซวียนปิงเดินผ่านมา เขาหยุดอยู่หน้าเฉินซี และหัวเราะเสียงดัง ขณะที่กล่าว บริเวณหว่างคิ้วก็พลุ่งพล่านด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “เป็นเกียรติที่ได้เป็นคู่แข่งกับพี่จี้”
“เหอะ เจ้าคงอยากจะบอกว่าถ้าทำได้ก็ลองดูใช่หรือไม่?” จี้เซวียนปิงแค่นหัวเราะ แม้จะเป็นการสนทนาสั้น ๆ แต่มันก็เผยให้เห็นถึงบรรยากาศสนิทสนมระหว่างเขากับเฉินซีได้อย่างสมบูรณ์
เฉินซีก็ระเบิดเสียงหัวเราะเช่นกัน
“เฉินซี” เสียงเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งดังมาจากด้านข้าง เป็นจ้าวเมิ่งหลีที่สวมชุดสีแดงเพลิงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว นางเหลือบมองเฉินซี ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน “จำข้อตกลงระหว่างเราได้หรือไม่”
จี้เซวียนปิงคล้ายนึกบางอย่างได้ จึงแย้มยิ้ม กล่าวคำอำลาแล้วจากไป
เฉินซีอึ้งงัน จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า ที่ภูเขาภารกิจในวันนั้น เหลียงเริ่นกับกู่เยวหมิงได้กล่าวหยอกล้อกัน และบอกว่าบางทีตนอาจตามเกี้ยวจ้าวเมิ่งหลีได้ ทว่าจ้าวเมิ่งหลีได้ยินทุกอย่าง นางโกรธจากความอับอาย และกล่าวว่าหากเฉินซีสามารถเอาชนะนางในการสอบของฝ่ายในได้ นางจะให้โอกาสเฉินซีตามเกี้ยวตน…
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ “แม่นางจ้าว นั่นเป็นเรื่องตลกที่สหายของข้าพลั้งปากในวันนั้น โปรดอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
จ้าวเมิ่งหลีเหลือบมองอีกฝ่าย และเชิดคางขาวราวกับหิมะของตน ก่อนจะกล่าวอย่างภาคภูมิ “คำกล่าวของข้าไม่เคยล้อเล่น หากเจ้ากลัว ก็จงยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้”
เฉินซีลูบจมูกและถอนหายใจ “การสอบในครั้งนี้ จัดขึ้นที่สมรภูมินอกพิภพ และเป็นการต่อสู้กับคนต่างพิภพเหล่านั้น ข้าไม่สามารถหักใจขยี้บุพผาอย่างโหดเหี้ยมได้ แม้ว่าข้าจะต้องการก็ตาม”
“ขยี้บุพผาดอย่างเหี้ยมโหด…”
เมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้างดงามของจ้าวเมิ่งหลีก็เผยความลำบากใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็จ้องมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน “ฮึ่ม! ในตอนท้ายของการทดสอบจะมีการจัดอันดับ หวังว่าเจ้าจะไม่ถูกข้าแซงหน้าไปเสียก่อนนะ!”
หลังจากที่นางกล่าวจบ หญิงสาวก็จากไปอย่างรวดเร็ว
“อันดับสำคัญถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ จากนั้นความรู้สึกอันสูงส่งก็พลุ่งพล่านอยู่ในอก พลางกล่าวกับตัวเองว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าตามข้าทันหรอก และแน่นอนว่า ข้าไม่ได้ทำเพื่อไล่ตามเจ้า…”
เมื่อเวลาผ่านไป เงาร่างที่มารวมตัวกันในจัตุรัสก็เพิ่มจำนวนขึ้น เซวียนหยวนซิ่ว เหลียงเริ่น กู่เยวหมิง และสมาชิกของพันธมิตรดาราก็มาถึง ทั้งหมดมาเพื่อให้กำลังใจเฉินซี ทำให้บริเวณโดยรอบคึกคักอย่างยิ่ง
“พี่ใหญ่เฉินซี เจ้าต้องได้อันดับหนึ่งในครั้งนี้ และแสดงพลังของพันธมิตรดาราของเรา!” สมาชิกของพันธมิตรดารากล่าวอย่างตื่นเต้น
“ถูกต้อง แสดงพลังของพันธมิตรดาราของเรา!” คนอื่น ๆ กล่าวย้ำคำเสียงดังกึกก้อง
เฉินซียิ้มออกมาด้วยความตื้นตัน
“ฮึ่ม! อันดับหนึ่งหรือ? เอาไว้ค่อยคิดอีกที หากเจ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาจากสมรภูมินอกพิภพได้!” ทันใดนั้น เสียงที่เย็นชาก็ขัดจังหวะขึ้น
พวกเขาหันกลับมาและเห็นจั่วชิวจวินหัวเราะอย่างเย้ยหยัน แล้วเงาร่างนั้นก็หายไปในฝูงชน
“เฉินซี เจ้าต้องระวังจั่วชิวจวินให้ดี ในบรรดาศิษย์ห้าสิบคนที่เข้าร่วมการสอบฝ่ายในครั้งนี้ หลายคนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจั่วชิวจวิน แม้ว่าทุกคนจะถูกห้ามไม่ให้ต่อสู้กันเองขณะอยู่ในสมรภูมินอกพิภพ แต่เจ้าต้องระวังไม่ให้พวกมันใช้กลอุบายน่ารังเกียจ” คิ้วเรียวงามของอาซิ่วขมวดเข้าหากันทันที แล้วเอ่ยย้ำเตือนสหายตน
“ข้ารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร” เฉินซีพยักหน้า
“เอาล่ะ เจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า ข้าจะฆ่าไอ้สารเลวพวกนั้นให้หมด!” เซวียนหยวนซิ่ว เหวี่ยงกำปั้นของนางอย่างดุร้าย
สมาชิกของพันธมิตรดาราคุ้นเคยกับสิ่งนี้ และไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงอำนาจเหนือใครของเซวียนหยวนซิ่ว
โอม~
ทันใดนั้น แสงเรืองรองปรากฏขึ้นที่ท้องฟ้าอันไกลโพ้น แม้จะดูเชื่องช้า แต่มันกลับปรากฏต่อหน้าจัตุรัสในฉับพลัน ราวกับเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติเข้ามา
แสงสว่างเลือนหาย เผยให้เห็นเงาร่างอันทรงพลังสี่ร่าง สองในสี่คือคนที่เหล่าศิษย์ใหม่รู้จัก อาจารย์ใหญ่ฝ่ายนอกโจวจื่อหลี และหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายในหวังต้าวหลู
สำหรับอีกสองคน คนหนึ่งเป็นชายชราผอมแห้งในชุดคลุมสีเทา และมีใบหน้าเหี่ยวย่น ดวงตาหรี่ลงราวกับกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น
และคนสุดท้ายคืออาจารย์ซึ่งไม่อาจคาดเดาอายุจากรูปลักษณ์ได้ เขาสวมเสื้อผ้าสีขาว มีผมสีดอกเลา แต่รูปร่างหน้าตายังหล่อเหลาประหนึ่งชายหนุ่ม ผิวใสและเปล่งประกาย ไม่มีร่องรอยของกาลเวลาบนใบหน้าเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกำลังอาบไล้อยู่ในสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ
ทันทีที่ทั้งสี่ปรากฏตัวขึ้น เสียงอึกทึกครึกโครมรอบข้างก็หยุดลงทันที ทุกคนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อทั้งสี่ปรากฏตัว คล้ายฟ้าดินทั้งหมดยอมจำนนต่อพวกเขา รวมถึงกลิ่นอายน่าเกรงขาม จนเหมือนสามารถเคลื่อนโลก และเปลี่ยนมหาสมุทรให้กลายเป็นทุ่งได้ด้วยการพลิกฝ่ามือ
“ชายชราชุดเทาคนนั้นคือจั่วชิวไท่อู่ มีพลังที่ยากจะหยั่งถึงมากที่สุดในบรรดาสี่คนนี้ แม้แต่ท่านลุงบรรพบุรุษเซวียนหยวนพัวจวินก็ยังยอมรับว่าตนด้อยกว่าจั่วชิวไท่อู่” เซวียนหยวนซิ่วจ้องมองชายชราที่สวมชุดสีเทาในระยะไกล สีหน้าของนางจริงจังยิ่งขึ้น
เฉินซีรู้สึกตกตะลึง และหรี่ดวงตาลง พลางพินิจพิเคราะห์จั่วชิวไท่อู่ เขาสังเกตเห็นว่า ร่างของจั่วชิวไท่อู่ผอมแห้ง และมีอาการเซื่องซึม หากคนผู้นี้ไม่ได้ยืนอยู่ท่ามกลางโจวจื่อหลีและคนอื่น ๆ คงไม่มีใครกล้าเชื่อว่านี่คือผู้อาวุโสในยุคบรรพกาลที่มีอายุไล่เลี่ยกับเจ้าสำนักคนปัจจุบัน
“นั่นใครน่ะ?” เฉินซีเคลื่อนสายตาไปยังอาจารย์ผมสีดอกเลา ที่มีรอยยิ้มบนใบหน้า และมีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์
“หัวหน้าอาจารย์ฝ่ายใน ทาปาเทียนซี ตระกูลทาปาถือได้ว่าเป็นตระกูลที่เติบโตอย่างรวดเร็วในหมู่มหาอำนาจของสี่มหาทวีป แม้ว่าทรัพยากรและกองกำลังของพวกเขาจะเทียบไม่ได้กับเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับเฟื่องฟูและรุ่งเรืองขึ้นทุก ๆ วัน” เซวียนหยวนซิ่วกล่าวด้วยความมั่นใจ
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวเหยียด ภพเซียนนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีผู้เยี่ยมยุทธ์นับไม่ถ้วน และกองกำลังมากมายกระจายอยู่ทั่ว ตัวอย่างเช่นมหาอำนาจอย่างตระกูลทาปา เป็นชื่อที่เฉินซีไม่เคยได้ยินมาก่อน
“เหล่าศิษย์เอ๋ย” บนท้องฟ้า อาจารย์ใหญ่ฝ่ายนอกโจวจื่อหลี กล่าวด้วยเสียงที่ดังก้องดั่งระฆัง มันพุ่งทะลุฟ้าดิน เรียกสายตาของศิษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ให้จับจ้องมาที่ตนเป็นตาเดียว
“การสอบของสำนักฝ่ายในในครั้งนี้ จะมีข้าและหัวหน้าอาจารย์ของสำนักฝ่ายในหวังต้าวหลู ทาปาเทียนซี และจั่วชิวไท่อู่เป็นประธาน สำหรับสถานที่สอบจะเป็นสมรภูมิฝันร้ายที่นอกพิภพ”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ สีหน้าของโจวจื่อหลีก็เคร่งขรึมขึ้น “ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าการสอบของสำนักฝ่ายในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน มันไม่ใช่การต่อสู้ในสนามรบ แต่เป็นการต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพ ดังนั้นการสอบครั้งนี้จึงอันตรายอย่างยิ่ง! ต่อไปข้าจะประกาศกฎและรางวัล”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จิตวิญญาณของศิษย์ทุกคนสดชื่นทันที และแม้แต่ศิษย์บางคนที่ไม่สามารถเข้าร่วมการสอบ ก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“กฎนั้นเรียบง่ายมาก ประการแรก เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้กันเอง ประการที่สอง ห้ามหนีระหว่างการสอบ! หากใครละเมิดกฎข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อนี้ ไม่เพียงแต่คุณสมบัติในการเข้าร่วมการสอบจะถูกยกเลิกเท่านั้น แต่ตราดาราม่วงจะถูกยึดคืน และถูกขับไล่ออกจากสำนัก!”
พร้อมกับเสียงของโจวจื่อหลีที่ดังก้องออกมา สีหน้าของทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างกลายเป็นเคร่งเครียด
“ในส่วนของรางวัล ศิษย์ที่สอบได้อันดับหนึ่งในครั้งนี้ จะได้รับแต้มดาราแปดล้านแต้ม ที่สองจะได้รับเจ็ดล้านแต้ม และจะลดลงเรื่อย ๆ จนถึงอันดับสิบ”
“ที่สำคัญ สำนักจะอนุญาตให้ผู้ที่ได้ห้าอันดับแรกเข้าสู่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋า หากเจ้ามีวาสนาเพียงพอ เจ้าอาจได้รับมรดกสูงสุดก็ได้”
“แดนโบราณจักรพรรดิเต๋า!”
“มรดกสูงสุด?”
ศิษย์ทุกคนในจัตุรัสต่างอ้าปากค้าง ในชั่วพริบตา แววตาของพวกเขาก็เผยให้เห็นความหวังอันลุกโชน แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าเป็นพื้นที่หวงห้ามในสถานศึกษา ที่นั่นมีมรดกสูงสุดมากมายตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนถึงปัจจุบันถูกซ่อนไว้ ตามตำนานว่ากันว่า แม้แต่มรดกของจักรพรรดิเต๋าเองก็ซ่อนอยู่ที่นั่น!
สิ่งเหล่านี้ ได้ล่อลวงศิษย์ทุกคนอย่างร้ายกาจ
“แดนโบราณจักรพรรดิเต๋า!” เฉินซีก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาทราบดีว่า หากต้องการชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากจากสำนัก มันมีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมข้อหนึ่ง นั่นคือการได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋า!
หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัว นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง แต้มดาราสามารถรับได้ทุกเมื่อ แต่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าไม่ใช่สถานที่ที่สามารถเข้าไปเมื่อใดก็ได้
“ครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกให้ได้!” เฉินซีตัดสินใจอย่างแน่วแน่
“อย่าลืมว่า แม้เจ้าจะไม่สามารถเป็นสิบอันดับแรกได้ แต่ศิษย์คนใดที่สามารถตามล่า และสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพของขอบเขตเซียนทองคำครบหนึ่งร้อยคน ก็จะเข้าสู่สำนักฝ่ายในได้เช่นเดียวกัน ” เสียงของโจวจื่อหลีดังก้องอีกครั้ง เขาสะบัดแขนเสื้อ เรียกดวงแสงจำนวนมากพุ่งผ่านท้องฟ้า จากนั้นพวกมันก็ลงมายังมือของศิษย์ห้าสิบอันดับแรกตามลำดับ
“นี่คือยันต์ข้อความ เมื่อเจ้าพบกับอันตรายในสนามรบ จงบดขยี้มัน แล้วพวกเราสี่คนจะมาช่วยเจ้าในทันทีที่เป็นไปได้ จำไว้ว่าถ้าเจ้าไม่ได้สังหารผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพของขอบเขตเซียนทองคำหนึ่งร้อยคน ก่อนที่จะทำลายแผ่นยันต์ นั่นหมายความว่าเจ้าจะถูกตัดสิทธิ์จากการสอบ” ขณะที่กล่าวโจวจื่อหลีสบตาอาจารย์อีกสามคน ก่อนจะเคลื่อนไหวพร้อมกัน
ครืน!
ทางเดินที่ลึกอย่างไร้ขอบเขตซึ่งนำไปสู่สถานที่ปริศนา ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้วยการโบกมือของพวกเขา!
เมื่อเห็นฉากนี้ ศิษย์ทุกคนตกใจมาก “เมื่อใดเราจะมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้บ้าง?”
“ศิษย์ที่อยู่ในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ จงตามมา!” โจวจื่อหลี สะบัดแขนเสื้อ โลกภายในแขนเสื้อเข้าปกคลุมศิษย์ทั้งห้าสิบคนทันที หลังจากนั้นเขาก็ก้าวเข้าสู่ทางเดิน
หวังต้าวหลู ทาปาเทียนซี และจั่วชิวไท่อู่ ตามหลังมาติด ๆ
โอม~
ไม่นานหลังจากนั้น ทางเดินก็หายไป และทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบ
“เฉินซีเจ้าต้องรอดกลับมาให้ได้นะ!” เซวียนหยวนซิ่วเหม่อมองท้องฟ้าพลางภาวนาอยู่ในใจ