บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1245 ปัญหามาเยือนถึงที่
บทที่ 1245 ปัญหามาเยือนถึงที่
ข้อจำกัดลึกลับทั้งเก้าถูกเปิดใช้งาน และพวกมันเป็นเหมือนม่านแสงที่เผยให้เห็นฉากภายในพระราชวังทั้งเก้า
“นี่คือฉากภายในวังนพเก้าหม้อกลั่น ทุก ๆ แห่งจะมีหม้อกลั่นสัมฤทธิ์โบราณตั้งอยู่ภายใน และด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้วังทั้งเก้าแห่งนี้สามารถยืนหยัดจวบจนปัจจุบันภายในทะเลสาบกาลอวกาศแห่งนี้”
หม้อใบจิ๋วอธิบายอย่างรวดเร็ว “ข้าจะใช้พลังของข้อจำกัดในทะเลสาบกาลอวกาศแห่งนี้ เพื่อเอาหม้อกลั่นทั้งเก้าใบออกมา เจ้าต้องคอยคุ้มกันข้าและห้ามไม่ให้ผู้ใดรบกวนข้าเป็นอันขาด เพราะด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ ข้าสามารถเปิดใช้งานข้อจำกัดดังกล่าวได้เพียงครั้งเดียว และนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเรา!”
เฉินซีรู้สึกตกตะลึง และกำลังจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่สายตาเหลือบไปเห็นภาพที่ควบแน่นอยู่ภายในม่านแสงแห่งหนึ่ง นั่นคือจี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่กำลังถูกปิดล้อม และอยู่ในตำแหน่งอันตราย!
“ผู้อาวุโส โปรดรอก่อน!” เฉินซีโพล่งออกไปทันที แววตาเต็มไปด้วยแสงเยียบเย็น
“เจ้าตั้งใจจะช่วยพวกเขาหรือ? แต่เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว!” หม้อใบจิ๋วดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย
“จี้เซวียนปิงและจ้าวเมิ่งหลีต่างก็เคยช่วยข้า ข้าทนดูพวกเขาตายไม่ได้” เฉินซีกล่าวอย่างเสียใจ แต่ท่าทางหนักแน่นดั่งขุนเขา
“ไปเถิด เจ้ามีเวลาแค่หนึ่งถ้วยชา มิฉะนั้น… มรดกของหม้อกลั่นทั้งเก้าจะสูญหายไปตลอดกาล” หม้อใบจิ๋วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะตกลงตามการตัดสินใจอันแน่วแน่ของเฉินซี
“ผู้อาวุโส โปรดอย่าได้กังวล เวลาแค่นั้นก็เพียงพอที่จะจัดการกับไอ้สารเลวพวกนั้นแล้ว!” เฉินซีถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เมื่อได้ยินการยินยอมของหม้อใบจิ๋ว ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งทระนง
การบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นต้นก่อนที่จะเข้าสู่ห้องโถงนี้ แต่ตอนนี้เขาได้ทะลวงขอบเขตอีกครั้ง และพลังต่อสู้จึงเปลี่ยนไปอย่างมาก ยิ่งกว่านั้น ยังมีสมบัติล้ำค่าอย่างแผนภาพหยินหยางโกลาหล ดังนั้นยังจะต้องกลัวสิ่งใดอีก
เพราะอย่างไร เขาก็เคยเผชิญหน้ากับศิษย์ของทั้งสามสำนักด้วยตัวคนเดียว ก่อนจะผ่านสะพานสู่ห้วงลึก!
…
“เกรงว่าเจ้าอาจต้องจัดการกับปัญหาอีกเล็กน้อยเสียก่อน” ในขณะที่เฉินซีกำลังจะจากไป หม้อใบจิ๋วก็กล่าวขึ้นมาทันที
สิ้นเสียงของหม้อใบจิ๋ว เสียงคลื่นอากาศที่ถูกฉีกกระชากก็ดังก้องมาจากที่ไกลโพ้น
“เร็วเข้า! เราต้องใช้เวลาของเราให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อค้นหอห้องโถงนี้และคว้าสมบัติของที่นี่ก่อนที่คนอื่นจะมาถึง!”
“โอ้ ดูเหมือนว่าแสงศักดิ์สิทธิ์จะพวยพุ่งออกมาจากที่นั่น!”
“มีคนอยู่ตรงนั้น! เฉินซีหรือ?”
“คนผู้นี้ยังไม่ตายจริง ๆ!”
เสียงอึกทึกครึกโครมนี้ คือกลุ่มคนที่ฉีกทะยานผ่านท้องฟ้าเข้ามา น่าแปลกที่พวกเขาคือจั่วชิวจวิน อ๋าวจ้านเป่ย และศิษย์อีกสองสามคนจาก สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
พวกเขาทั้งหมดตกตะลึงเมื่อเห็นเฉินซี แต่สายตากลับถูกดึงดูดอย่างรวดเร็วโดยแท่นบวงสรวง และข้อจำกัดลึกลับทั้งเก้าที่เปล่งรัศมีแห่งสวรรค์
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า นี่คือมรดกที่แท้จริงของผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น” หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือและสายตาที่ลุกโชน พวกเขาเคยค้นหาวังมาก่อนหน้านี้ แต่กลับพบสมบัติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงอดไม่ได้ที่จะกังวลว่า มรดกที่แท้จริงภายในสุสานจะถูกผู้อื่นแย่งชิงไปจนสิ้น
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขายังมีโอกาส!
“เฉินซี ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีจริง ๆ ส่งแผนภาพหยินหยางโกลาหลกลับมาให้เราเดี๋ยวนี้ แล้วจะยกโทษให้กับการกระทำผิดในอดีตของเจ้า”
“ใช่ สมบัติอันสูงสุดเช่นนี้ เป็นของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ข้าจะขอให้ผู้อาวุโสของสำนักให้รางวัลแก่เจ้าเมื่อเรากลับไป”
คนอื่น ๆ ก็ทยอยกล่าวเช่นกัน และแววตาที่จ้องมองเฉินซีก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก ทว่าทุกสิ่งที่พวกเขากล่าวนั้น ดูเหมือนต้องการยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นของตนทั้งหมด
“ข้าไม่มีเวลาที่จะเสียกับพวกเจ้าหรอก ออกไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าออกไป ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าทั้งหมดสามลมหายใจ” เมื่อเห็นจั่วชิวจวินและคนอื่น ๆ ปรากฏตัว ความเป็นปฏิปักษ์ในใจพลันลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เพราะในช่วงแรก ๆ ที่อยู่บนสะพานสู่ห้วงลึก พวกเขาเพียงยืนเฉย ๆ และมองดูราวกับเป็นคนนอก ยิ่งกว่านั้นยังฉวยโอกาสพยายามยึดราชาปลาหยินหยางจากหม้อใบจิ๋ว
แม้ในท้ายที่สุดพวกเขาจะล้มเหลว แต่ก็เกือบจะประสบความสำเร็จ และยังไล่ตามตนไม่ลดละ มาถึงตอนนี้กลับกล่าวเรื่องให้อภัย เฉินซีรู้สึกว่าคนเหล่านี้กำลังคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปจริง ๆ!
“เจ้าหมายถึงอะไร?” หนึ่งในนั้นขมวดคิ้วและตำหนิทันที “ในฐานะศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เราอดทนกับเจ้ามาพอแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร หรือเจ้าตั้งใจจะต่อต้านเราจริง ๆ?”
โครม!
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของคนผู้นี้ เฉินซีก็เปิดฉากโจมตีด้วยใบหน้าบึ้งตึง เพราะเขาตระหนักดีว่าคนเหล่านี้ไม่มีทางจากไปอย่างเชื่อฟัง ประกอบกับต้องเร่งไปช่วยเหลือจี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่ ก่อนจะกลับมาคุ้มกันหม้อใบจิ๋ว เขาจึงไม่อาจเสียเวลาได้แม้แต่เสี้ยวลมหายใจ
ชายหนุ่มไร้ความลังเลใด ๆ ฟาดฝ่ามือลงไปอย่างแรงที่ศิษย์อาวุโสคนนั้น พลังฝ่ามือดูเหมือนกับมหาสมุทรที่ซัดเข้าหาฝั่ง
“เจ้ากล้าที่จะต่อต้านเราจริง ๆ! ช่างโอหังเสียจริง!” ศิษย์อาวุโสคนนั้นตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนจะพุ่งตัวไปข้างหน้าและชกหมัดออกไปเพื่อต้านทานการโจมตีของอีกฝ่าย
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังก้องกังวาน ศิษย์อาวุโสคนนั้นเซไปข้างหลัง แขนเสื้อของเขาขาดเป็นริ้ว ๆ ขณะกระอักเลือดออกมาคำโต และได้รับบาดเจ็บสาหัส
คนอื่น ๆ ต่างตกใจ เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ทำให้ศิษย์อาวุโสบาดเจ็บสาหัสด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
“ไอ้สารเลว! ลืมไปแล้วหรือว่าเราห้ามวิวาทกันระหว่างสอบ!?” สายตาของอ๋าวจ้านเป่ยทอประกายเย็นชา และตะโกนด้วยเสียงทุ้มดัง
“ฮึ่ม!” เฉินซีแค่นหัวเราะ และไม่สนใจแม้แต่น้อย
ฟึ่บ!
ลำแสงสีทองพุ่งผ่านท้องฟ้าไปยังเฉินซี ครั้งนี้จั่วชิวจวินเป็นผู้โจมตี เขาถือกระบี่อมตะสีทองไว้ในมือ การโจมตีนี้เหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงระยิบระยับอย่างน่าสะพรึงกลัวลงมาจากฟากฟ้า แสงสีทองของมันส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน
ร่างของเฉินซีสว่างวาบ ชายหนุ่มเคลื่อนตัวผ่านห้วงมิติมาถึงหน้าจั่วชิวจวิน ก่อนจะฟาดฝ่ามือออกไปอย่างดุเดือด
“อืม?” สีหน้าของจั่วชิวจวินเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว ไม่เคยคาดคิดว่าปฏิกิริยาของเฉินซีจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ ดังนั้นเขาจึงพลิกฝ่ามือ พร้อมกับฟันกระบี่อมตะออกไปในแนวนอน ทำให้เกิดประกายสีทองพุ่งออกมาราวกับกระแสน้ำ
การโจมตีเช่นนี้ เพียงพอแล้วที่จะฟันภูเขาให้แยกออกจากกัน
ทว่าเฉินซีกลับไม่คิดหลบ และเสียงโครมครามก็ดังขึ้น ชายหนุ่มฟาดปราณกระบี่สีทองออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยฝ่ามือ รัศมีของธาตุทั้งห้าเปล่งแสงเรืองรองออกจากฝ่ามือ ขณะคว้ากระบี่ของจั่วชิวจวินเอาไว้!
“ขะ… เขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?” หนึ่งในนั้นอุทานด้วยความตกใจ
คนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน เพราะในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่ชั่วยาม พลังฝีมือของเฉินซีกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า เมื่อเทียบกับตอนที่อยู่บนสะพานสู่ห้วงลึก!
จั่วชิวจวินกระตุ้นปราณเซียนพิสุทธิ์อย่างรุนแรง ทำให้กระบี่เรืองแสง เขาตั้งใจจะตัดฝ่ามือของเฉินซี
น่าเสียดาย เฉินซีจะให้โอกาสอีกฝ่ายโต้กลับได้อย่างไร?
ทันใดนั้นเฉินซีก็ก้าวไปข้างหน้า ฝ่ามือยังคงจับคมกระบี่เอาไว้มั่น แล้วใช้ฝ่ามืออีกข้างฟาดลงบนหน้าอกของจั่วชิวจวินอย่างแรง
โครม!
หน้าอกของจั่วชิวจวินยุบลง ร่างกายโค้งงอดุจกุ้ง ก่อนจะถูกซัดจนกระเด็น
ทว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งอันดับต้น ๆ ของสำนัก หลังจากได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก เจ้าตัวก็ทะยานถอยไปครึ่งทาง พลางตั้งหลักให้ตัวเองมั่นคง
แต่เฉินซีไม่คิดปล่อยให้อีกฝ่ายได้พัก ร่างสว่างวาบ ทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนด้วยการฟาดฝ่ามือเพียงครั้งเดียว จั่วชิวจวินล้มลงกับพื้นในทันใด
“ข้าจะแลกชีวิตกับเจ้า!” จั่วชิวจวินกระอักเลือด คล้ายคลุ้มคลั่งไปแล้ว เขารู้สึกได้ว่า เฉินซีไม่สนใจกฎของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเลยสักนิด และเขาตั้งใจจะสังหารตน
ชู่ว!
ร่างของเขาหายวับไปในอากาศอีกครั้ง และฟาดฟันด้วยกระบี่สีทองที่ส่องประกายแวววาว ซึ่งแฝงกลิ่นอายที่เฉียบคมไร้ผู้ใดเทียบอย่างไม่หยุดหย่อน เหมือนมันสามารถฟาดฟันทุกสิ่งให้ขาดสะบั้นได้
เฉินซีหยุดไล่ตามและยืนนิ่ง ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือฟาดออกไปอย่างสบาย ๆ เพื่อจัดการกับปราณกระบี่สีทองเหล่านั้น ทำให้พวกมันหายไปในความว่างเปล่า
คนอื่น ๆ ตกตะลึงอีกครั้ง เพราะเฉินซีแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยืนนิ่งไม่ไหวติง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดฝ่าฝืนคนผู้นี้ได้!
โครม!
เฉินซีฟาดฝ่ามือออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้จั่วชิวจวินไม่สามารถต้านทานได้ เขาถูกฟาดลงกับพื้นอย่างแรง ทำให้กะโหลกแตกและมีเลือดไหลริน กระดูกทั่วร่างแตกหักผิดรูป
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด ในพริบตาต่อมา เฉินซีเหยียดแขนออกไป และคว้าคอของจั่วชิวจวินไว้
คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ มองฉากนี้ด้วยความตกใจและรู้สึกสยดสยอง เพราะพลังฝีมือของจั่วชิวจวินนั้นนับว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เขาอยู่ในอันดับที่สองบนเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ แต่ตอนนี้กลับถูกยกเหมือนลูกไก่ตัวน้อย ไม่สามารถดิ้นรนได้เลย
เฉินซีจะแข็งแกร่งได้อย่างไรในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้?
“เจ้าคิดจะฆ่าข้าหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่ทำเช่นนั้น จะทำให้เจ้าถูกขับไล่ออกจากสำนัก! เมื่อถึงเวลานั้น ไว้มาดูกันว่าเจ้าจะรอดอยู่ได้นานแค่ไหน โดยปราศจากการปกป้องจากจากสำนัก!” จั่วชิวจวินคำรามด้วยท่าทางอำมหิต แต่แท้จริงแล้ว เขาแสร้งเป็นดุร้าย แต่ในใจกับหวาดกลัวจนตัวสั่น
เขาทราบอย่างชัดเจนว่า ก่อนที่เฉินซีจะถูกไล่ออกจากสำนัก ตนจะต้องตายอยู่ในสมรภูมิฝันร้ายแห่งนี้ ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมไปถึงจิตวิญญาณ
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ยอมให้เจ้าตายง่าย ๆ หรอก” ดวงตาของเฉินซีเย็นยะเยือก พลางจ้องมองจั่วชิวจวินเป็นเวลานาน จากนั้นก็กล่าวคำเบา ๆ ตอนนี้เขาเกือบจะไม่สามารถยับยั้งจิตสังหารในใจได้ และตั้งใจที่จะฆ่าจั่วชิวจวินจริง ๆ
แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจตัวเองได้ เพราะเช่นเดียวกับที่จั่วชิวจวินกล่าวไว้ เขาไม่มีทางเลือก นอกจากต้องพึ่งพาพลังของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเพื่อปกป้องตนเอง
โครม!
เฉินซีโยนจั่วชิวจวินออกไปราวกับซากสัตว์ แล้วจ้องอ๋าวจ้านเป่ยและคนอื่น ๆ ด้วยสายตาเย็นชา
“อะไร… เจ้าคิดจะทำอะไร” หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยความหวาดระแวง
“ข้าตั้งใจจะทำอะไรน่ะหรือ?” เสี้ยวรอยยิ้มที่เย็นเฉียบปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซี
ดังนั้นในช่วงเวลาต่อมา คลื่นเสียงของการต่อสู้อันรุนแรงก็ดังก้องอยู่ในห้องโถง มันมาพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด…
มันไม่ได้ดำเนินต่อไปนานนัก ก่อนที่ห้องโถงจะกลับคืนสู่ความเงียบงัน ตอนนี้มีร่างจำนวนหนึ่งนอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น และไม่ว่าพวกเขาจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถยืนขึ้นได้อีก
“อย่ากังวลไป ข้าเพียงสกัดจุดพวกเจ้าไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป เมื่อข้าช่วยเหลือคนอื่น ๆ เสร็จแล้ว เพราะถึงอย่างไร…เราก็เป็นศิษย์ร่วมสำนัก จริงหรือไม่?” เฉินซีปรบมือและหัวเราะเบา ๆ ชายหนุ่มเดินออกจากห้องโถงในขณะที่เขากล่าว
“เฉินซี เรื่องนี้ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!”
“ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้กับผู้อาวุโสของสำนักทราบอย่างแน่นอน!”
“บัดซบ! ไอ้สารเลวเอ๊ย!”
พวกเขาทั้งหมดไม่พอใจและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว แต่มันก็ไม่เป็นผล ตรงกันข้าม พวกเขาดูไม่ต่างจากฝูงหนอนที่น่าสงสารกำลังร้องโหวกเหวกคร่ำครวญอย่างเปล่าประโยชน์ และบางทีอาจไม่เคยคิดมาก่อนว่าพวกตนจะตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายเช่นนี้
แต่อันที่จริง เฉินซีถือว่าเมตตามากแล้ว หากเป็นในอดีต เขาจะไม่ปล่อยให้พวกมันเหลือรอดแม้แต่คนเดียวอย่างแน่นอน!
…
“ในเมื่อข้าไม่สามารถฆ่าพวกเจ้าได้ทั้งหมด แต่ข้าคงสามารถฆ่าไอ้สารเลวจากสำนักอื่นได้กระมัง?” เฉินซีหายใจเข้าลึก หลังจากเดินออกจากห้องโถง จิตสังหารอันเยือกเย็นส่องประกายอยู่ภายในส่วนลึกของดวงตา เพราะเขาจำทุกสิ่งที่ประสบในทางเดินอนิจจัง และบนสะพานสู่ห้วงลึกได้ขึ้นใจ
ชู่ว!
เฉินซีแยกแยะทิศทาง และทะยานวาบหายไปในอากาศในพริบตา