บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1246 บดขยี้ศัตรู
บทที่ 1246 บดขยี้ศัตรู
“ฆ่า! ฆ่าพวกมันให้หมด!”
“พวกศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าน่ารังเกียจเสียจริง ก่อนหน้านี้เฉินซีโอหังและอวดดี ทั้งยังสังหารสหายเรา ตอนนี้ยังคิดจะแย่งชิงสมบัติที่เราหมายตาไว้อีก ไร้คุณธรรมนัก!”
“ไม่จำเป็นต้องสนใจคุณธรรมหรอก ในสมรภูมิฝันร้ายจะไร้คนตายได้อย่างไร? ถึงเรากลับเมืองเมฆาสุบินก็ไม่มีใครเอาเรื่องนี้มาเอาผิดเราได้แล้ว”
“หยุดพูดมากแล้วสังหารมัน ชิงสมบัติมา!”
…
ในห้องโถงขนาดใหญ่จึงเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น
ฝั่งหนึ่งคือศิษย์สำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาล อีกฝั่งหนึ่งคือจี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่
สถานการณ์ในตอนนี้คือกลุ่มสามคนของจี้เซวียนปิงเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด อยู่ในจังหวะสุ่มเสี่ยง ถูกกดดันถึงขนาดใกล้พ่ายแพ้เต็มที อีกฝั่งค่อย ๆ กดดันเข้ามาทีละก้าว ขึ้นเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่า
อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่การต่อสู้ที่ยุติธรรมอยู่แล้ว
ว่ากันในเรื่องจำนวนคน กลุ่มจี้เซวียนปิงมากันแค่สามคน ส่วนศัตรูมากันมากกว่ายี่สิบคน
ว่ากันในเรื่องพลังต่อสู้ ศิษย์จากสำนักอื่นล้วนเป็นศิษย์อาวุโส จึงได้เปรียบกว่า ส่วนจี้เซวียนปิงเพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนทองคำเมื่อไม่กี่ปีก่อนเท่านั้น
แน่นอนว่าสิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างสองฝ่ายคือขุมทรัพย์อมตะ!
ศิษย์จากอีกสามสำนักมีขุมทรัพย์อมตะโบราณถึงสามชิ้น ทำให้พวกจี้เซวียนปิงถูกกดดันจากทุกด้าน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องโต้กลับ แค่หลบให้ทันก็ยากแล้ว
หรือก็คือไม่ว่ามองมุมไหน กลุ่มจี้เซวียนปิงก็คงต้องแพ้แน่
“เราไม่ส่งสมบัติไปให้พวกเขาเสียเลยเล่า ก็แค่ชิ้นส่วนขุมทรัพย์อมตะโบราณเท่านั้น เอาชีวิตเข้าแลกไม่คุ้มหรอก” คิ้วงามของจ้าวเมิ่งหลีขมวดเข้าหากันแน่น แม้จะอยู่ในสถานการณ์จวนตัว แต่ก็ยังไว้ท่าทีสูงส่ง
ตู้ม!
ระหว่างพูด นางก็กัดฟันแน่น ซัดเพลิงวิหคอมตะรับมือการโจมตีที่บีบคั้นเข้ามา ทว่าสีหน้าดูซีดขาวอยู่เล็กน้อย
“ถึงส่งให้พวกมันตอนนี้ พวกมันก็ไม่ปล่อยเราไปหรอก เพราะอย่างไรที่นี่ก็คือสุสานราชันเซียน แม้จะทำลายยันต์ข้อความไป พวกผู้อาวุโสในสำนักก็คงมาช่วยไม่ทัน มีหรือพวกมันจะปล่อยโอกาสทำลายพวกเราให้หลุดมือไปได้?” จี้เซวียนปิงยกมุมปากยิ้มเยาะ เขาก็เหมือนกับจ้าวเมิ่งหลี ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ทำให้อาภรณ์เต็มไปด้วยเลือด
“น่าเสียดายที่ตอนนั้นผู้อาวุโสอวิ๋นฝูเซิงไม่กำจัดพวกมันไปให้สิ้นซาก!” จ้าวเมิ่งหลีกัดฟันเอ่ย
ไม่ว่าจะเป็นสำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย หรือสำนักศึกษานภาไพศาล คู่ต่อสู้ทุกคนในตอนนี้ล้วนพ่ายแพ้มาด้วยน้ำมือของอวิ๋นฝูเซิงมาเมื่อหลายปีก่อนทั้งสิ้น ทำให้คนสามสำนักมองศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเป็นศัตรูตลอดกาล
หากเป็นโลกภายนอก พวกเขาก็คงไม่กล้ากระทำเช่นนี้เพราะเกรงกลัวตัวตนอีกฝ่าย แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน เพราะที่นี่คือสุสานราชันเซียน สถานที่ที่เต็มไปด้วยสมบัติมากมาย
เมื่อรวมกับที่เกิดเรื่องขัดแย้งกันก่อนหน้า จึงไม่มีใครคิดหยุดการต่อสู้นี้เลย
“ข้ามีสมบัติลับที่ช่วยให้เราหนีไปได้อยู่ แต่รอบสุสานแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังกาลอวกาศ เมื่อเราเคลื่อนมิติอาจพบอันตรายได้” เจิ่นลู่ที่ทำการต่อสู้อย่างเงียบ ๆ มาตลอดพลันเอ่ยขึ้นผ่านกระแสปราณ
จี้เซวียนปิงกับจ้าวเมิ่งหลีมองหน้ากัน ใจกระจ่างดั่งแก้วใส ในฐานะทายาทสายตรงตระกูลจี้และทายาทแห่งวิหคอมตะแท้จริง ทั้งคู่ย่อมมีไพ่ตายเก็บไว้ใช้ แต่เมื่อคิดว่าต้องงัดขึ้นมาเสียกับคนพวกนี้ ก็รู้สึกทั้งโกรธทั้งเสียดายและไม่ยอมอยู่ในใจ
มันเป็นไพ่ตายของพวกเขา อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีวันหยิบมาใช้จนกว่าจะจวนตัวถึงชีวิต
“บัดซบเอ๊ย! ข้าหนีไปได้เมื่อไหร่ ต้องตามล้างแค้นพวกเจ้าทุกคนแน่!” จี้เซวียนปิงกัดฟันตัดสินใจหยิบไพ่ตายออกมาใช้เป็นคนแรก
ตู้ม!
แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ ก็เกิดพลังผันผวนรุนแรงราวกับฟ้าลั่นดังสะท้านมาจากที่ไกลเสียก่อน ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งขยี้ห้วงอากาศแล้วร่วงลงมาเสียงหวีดหวิว
เห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นคงใช้วิชาเคลื่อนย้ายมิติจนถึงขีดจำกัด ทำให้ห้วงอากาศเกิดระเบิดขึ้น!
เหตุการณ์น่าตกใจนี้ดึงความสนใจจากทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันได้ทันที
ทว่ายังไม่ทันตอบสนองก็ได้ยินเสียงดังตู้ม ร่างนั้นราวกับปะทะเข้ากับขุนเขาขนาดใหญ่ ดีดมาทางพวกตนอย่างแรง ยังไม่ทันได้ตกถึงพื้นก็กระอักเลือดออกมาไม่หยุด พร้อมกับได้ยินเสียงกระดูกหักดังไปพร้อมกัน
หากมองลงมาจากท้องฟ้าเหนือห้องโถง ก็จะเห็นชัดเจนว่าเงาร่างที่มาถึงอย่างฉับพลันนั้นเป็นดั่งทวนเลือดกรีดเปิดทางเข้ากลางกลุ่มศิษย์ทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเคลื่อนไปที่ใด ร่างที่ถูกดีดกระเด็นก็ล้วนกระอักเลือดกระเซ็นไปทั่ว เป็นภาพที่โชกเลือดเหลือทน แทบเอาภาพใดมาเปรียบไม่ได้
“อ๊าก!!!”
“ใครกัน!? ไอ้บ้าที่ไหนกล้าลอบโจมตีเราเช่นนี้?”
“บัดซบ! บัดซบเอ๊ย!”
เสียงกรีดร้องเสียงตะโกนดังผสมกับเสียงคำรามโกรธไปทั่วห้องโถง
เป็นตอนนี้ที่ได้เห็นรูปร่างของคนผู้นั้นได้ชัดเจน ท่าทางหล่อเหลา ร่างสูงโปร่ง นัยน์ตาดำลึกล้ำดั่งหุบเหวมืด…
น่าตกใจนักว่านั่นคือเฉินซี!
“เฉินซี?” จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่อึ้งไป จากนั้นก็ดีใจสุดขีด ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ เฉินซีจะปรากฏตัวในจังหวะเป็นตาย ช่วยพวกตนจากภัยพิบัติที่กำลังเผชิญไว้ได้
“เฉินซี! เป็นเจ้านี่เอง!”
“เวรเอ๊ย! เจ้ามาได้เวลาพอดี! ความแค้นจากเมื่อก่อนถือว่าหายกัน!”
“บ้าเอ๊ย! กลับถูกเจ้าหมอนี้ทำให้ตกใจเสียได้!”
แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ปรากฏตัวคือเฉินซี ศิษย์จากอีกสามสำนักก็ตอบสนองเช่นเดียวกัน นั่นคือไม่ปกปิดความเกลียดชังแม้แต่น้อย
“ตายเสีย!” เสวี่ยเหลียนฉยงแห่งสำนักศึกษาระทมสันต์แวบร่างหายไป ปรากฏตัวอีกทีอยู่บนฟ้า พลางคุมขุมทรัพย์อมตะโบราณผนึกเทวศสวรรค์เอาไว้ ส่องแสงเรืองศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงไปด้วยแววเกลียดชัง ก่อนจะซัดมันลงมาทางเฉินซี
ครืน!
ความเกลียดชังเป็นเหมือนคลื่นที่ซัดผ่านยุคสมัย ปกคลุมไปด้วยจิตสังหารคล้ายกับจะขยี้ห้วงอากาศให้แหลกและย้อมมันให้เป็นสีแดง
“ระวัง!” จี้เซวียนปิงร้องเตือน ก่อนหน้านี้เขาก็บาดเจ็บหนักเพราะผนึกเทวศสวรรค์มาแล้ว
เฉินซียังคงสีหน้าเดิม แต่เงาร่างแวบหายไปในพลัน พริบตาต่อมาเขาก็ถือกระบี่ตะขอดาราฟาดลงมาอย่างดุดัน มันเป็นการโจมตีเรียบง่ายที่ตรงไปตรงมาและธรรมดามาก แต่กลับแผ่กลิ่นอายดุดัน เหนือกว่าฟ้าดินหน้าไหนในใต้หล้า
ตู้ม!
ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของทุกคน ขุมทรัพย์อมตะโบราณผนึกเทวศสวรรค์กลับถูกดีดกระเด็น ส่วนเสวี่ยเหลียนฉยงก็ส่งเสียงร้องเจ็บปวดแล้วกระอักเลือด กายเนื้อกระแทกลงกับพื้น ได้ยินเสียงกระดูกหักดังสะเทือน แค่ได้ยินเสียงเท่านี้ก็ทำเอาคนอื่นขวัญผวากันได้แล้ว
ชนะในกระบวนท่าเดียว!
พริบตานั้น กระทั่งจี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่ยังเบิ่งตากว้าง ไม่อยากเชื่อเลยว่าเฉินซีในตอนนี้จะมีพลังสูงส่งปานนั้นได้
“เป็นความผิดข้าเองที่ตอนนั้นไม่อาจสังหารพวกเจ้าได้ ครั้งนี้ข้าไม่พลาดแน่!” เฉินซีเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย พลางเผยแววจองหองนัก
ฟ่าว!
พูดจบก็เคลื่อนมิติกลางอากาศ ก่อนจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเสวี่ยเหลียนฉยงที่บาดเจ็บหนัก
“เจ้า… คิดจะทำอะไร?” เสวี่ยเหลียนฉยงกลัวจนต้องดิ้นรนคลานหนีห่าง ท่ากระบี่ของเฉินซีเมื่อครู่ทำลายความมั่นใจเขาไปสิ้น ถึงขั้นที่เกิดความสิ้นหวังขึ้นในใจอย่างไม่อาจดับลงได้
ชิ้ง~
ตะเกียงสัมฤทธิ์พลันปรากฏขึ้น มันเต็มไปด้วยกระแสเพลิงสีแดงเลือดลอยคว้าง
ฟ่าว!
น้ำเต้าฟ้าดินพลันบินสูง ปลดปล่อยปราณฟ้าดินออกมาหนาแน่น
จังหวะนี้ ขุมทรัพย์อมตะโบราณทั้งสองก็เคลื่อนไปพร้อมกัน เข้าโจมตีเฉินซีฉับพลันพร้อมแรงกดดันและกลิ่นอายน่าเกรงขาม
“หึ!” เฉินซีเพียงส่งเสียงเย็นชา ไม่หันไปมองด้วยซ้ำ ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อส่งคัมภีร์ม้วนหนึ่งออกมา พร้อมกับพลังหยินหยางโกลาหลที่ผสานอยู่ภายใน คล้ายกับอยากทำลายล้างทั้งใต้หล้า
จังหวะนั้นเฉินซีก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเสวี่ยเหลียนฉยง ก่อนจะปาดคออีกฝ่ายต่อหน้าสายตาหวาดกลัวของเจ้าตัว ทั้งไร้ความลังเลและไร้ความปรานี!
ตุบ!
ศีรษะคนกระเด็นขึ้นฟ้าพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็น
ตู้ม!
แผนภาพหยินหยางโกลาหลปะทะเข้ากับสองขุมทรัพย์อมตะโบราณ ส่งเสียงดังลั่นออกมาพร้อมกับแสงสว่างจ้า
ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นแทบจะในจังหวะเดียวกัน ทำให้หลายคนไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าไม่ยินยอม สิ้นหวัง และหวาดกลัวของเสวี่ยเหลียนฉยงก่อนตายด้วยซ้ำ…
แต่ก็ยังมีคนที่เห็นอยู่ดีอย่างจี้เซวียนปิงและจ้าวเมิ่งหลี ทั้งสองใจสะท้านเมื่อเห็นเฉินซีสังหารเสวี่ยเหลียนฉยงอย่างไร้ความลังเล ริมฝีปากกระตุกเล็กน้อย คนผู้นี้… แน่วแน่มั่นคงกว่าที่คิด!
“หยุดยั้ง!” เมื่อลงมือเสร็จแล้ว เฉินซีก็ไม่เสียเวลา ทั้งร่างปลดปล่อยแสงสว่างจ้าไร้ขอบเขตออกมา ก่อนจะทำท่าเอื้อมคว้า ฝ่ามือเป็นดั่งคุนเผิงกลืนวารี ไม่เพียงแต่หยิบเอาผนึกเทวศสวรรค์ไปได้ กระทั่งน้ำเต้าฟ้าดินและตะเกียงวังไหมเขียวยังถูกแผนภาพหยินหยางโกลาหลดูดเข้าไป ก่อนจะบินกลับเข้ามายังฝ่ามือ
“โอหังนัก!”
“รนหาที่ตาย!”
พริบตานั้น เสวี่ยเหลียนฉยงถูกปลิดชีพ สามขุมทรัพย์อมตะโบราณก็ถูกชิงไป ศิษย์จากอีกสามสำนักราวกับถูกโจมตีสาหัส ทำให้พวกเขาร้องขึ้นมาด้วยความตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว พากันซัดพลังโจมตีออกมาอย่างไร้ความเกรงกลัว
พวกเขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นสมบัติอันล้ำค่าของสำนักตนเองถูกแย่งชิงไป อย่างไรพวกเขาก็ยอมไม่ได้!
น่าเสียดายที่เฉินซีถึงขอบเขตเซียนทองคำขั้นกลางแล้ว คล้ายกับเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ทั้งยังมีแผนภาพหยินหยางโกลาหลอยู่ในมือ พวกเขาหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ได้?
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ดังนั้นในพริบตาต่อมา ภายใต้สายตาหวาดผวาและตื่นตะลึงของจี้เซวียนปิงและพวกเฉินซี จึงเป็นดั่งพยัคฆ์เข้าขย้ำฝูงแกะ ฆ่าทำลายอย่างบ้าระห่ำ ไม่ว่าเคลื่อนกายไปที่ใดก็ให้เกิดโลหิตแดงสาดกระเซ็น ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นไม่หยุด
เหมือนกับขยี้ใบไม้แห้ง จัดการจนสะอาดหมดจด!
ท่าทีดุดันเหนือใครส่งผลให้พวกจี้เซวียนปิงตกตะลึงยิ่ง จนผ่านไปนานก็ยังไม่หายตกใจ
ไม่มีใครคิดว่าพลังต่อสู้ของเฉินซีจะพัฒนาถึงขั้นนี้ กระทั่งผู้อยู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงยังสู้ไม่ได้ เหมือนบรรลุระดับพลังที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน เหนือกว่าใครอื่นที่มีพลังบ่มเพาะขอบเขตเดียวกันไปไกล
เป็นการบดขยี้ศัตรูโดยแท้!
ถึงขั้นที่จี้เซวียนปิงรู้สึกสงสารศิษย์จากอีกสามสำนักอยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ พวกเจ้าดันไปล่วงเกินเฉินซีเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นการ… รนหาที่ตายหรอกหรือ?
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องไปทำ เช่นนั้นขอตัวก่อน รบกวนพวกเจ้าจัดการเรื่องที่นี่ด้วย หลังจากนี้ก็คงไม่เจออันตรายอันใดแล้ว” ผ่านไปไม่นาน เฉินซีก็หยุดมือ เพราะไม่เหลือศัตรูที่สามารถลุกขึ้นสู้ได้อีก จากนั้นก็ว่าเช่นนั้นแล้วเคลื่อนมิติจากไป
ช่วยไม่ได้นี่นา เวลาเขามีจำกัด จำเป็นต้องรีบกลับไปหาหม้อใบจิ๋วโดยเร็ว