บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 126 ยอดเขามังกรอเวจี
บทที่ 126 ยอดเขามังกรอเวจี
บทที่ 126 ยอดเขามังกรอเวจี
“ข้าจะฆ่าเจ้าหากเจ้ากล้าส่งเสียง” เฉินซีมองไปยังศิษย์นิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่ถูกเขาบีบคออยู่ ขณะเขากล่าวอย่างเย็นชา และก็ลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
หลังจากที่เฉินซีสามารถเอาตัวรอดออกจากมหาค่ายกลคุ้มนิกายที่มีอยู่มากมาย ทันใดนั้นเขาก็ได้พบศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่กำลังลาดตระเวนอยู่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงจับกุมคนผู้นี้อย่างช่วยไม่ได้
“เจ้า… เจ้าเป็นใคร? ที่นี่คือนิกายกระบี่เมฆาพเนจร! ถ้าหากเจ้ากล้าฆ่าข้าก็ไม่อาจหลบหนีได้เช่นกัน!”
คนผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาน่าสมเพช ใบหน้าของเขายาวและแคบ ร่างกายผอมเหมือนลิง และชื่อของเขาคือ ‘หลิวจ่าง’ ในขณะนี้เฉินซีได้บีบคอของเขาอยู่ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว โกรธเกรี้ยว และสับสน
เขาไม่ทราบว่าเฉินซีปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร ในฐานะศิษย์ของ นิกายกระบี่เมฆาพเนจร เขาย่อมรับรู้ถึงอานุภาพของมหาค่ายกลคุ้มนิกายได้อย่างชัดเจน การดำรงอยู่ของมันสามารถบดขยี้ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติได้อย่างง่ายดาย และในช่วงพันปีที่ผ่านมาไม่มีใครสักคนที่สามารถทำลายมหาค่ายกลคุ้มนิกายได้
ทว่าในตอนนี้กลับมีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากมหาค่ายกลคุ้มนิกายอย่างเงียบ ๆ ยิ่งกว่านั้น คนผู้นั้นก็ไม่ได้กระตุ้นอำนาจที่มีอยู่ในค่ายกล สิ่งนี้จะไม่ทำให้เขาตกใจได้อย่างไร?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสคนนี้จะเป็นตัวตนที่ทรงพลังยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ?
หลังจากตกตะลึง ความหวาดกลัวก็เกิดขึ้นในใจของหลิวจ่าง เนื่องจากเขาไม่อาจหยั่งถึงระดับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเขาจึงมองเฉินซีเป็น ‘ผู้อาวุโส’ โดยไม่รู้ตัว
จู่ ๆ เฉินซีก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งและกล่าวว่า “ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า และมีข้อตกลงมาเสนอเจ้า?”
“ไม่มีทาง แม้ว่าข้าจะต้องตาย ข้าก็จะไม่มีวันทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อนิกายของข้าเป็นอันขาด” หลิวจ่างตอบอย่างเด็ดขาดและเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกเที่ยงธรรม
“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้อเสนอของข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากอย่างแน่นอน” เฉินซีชื่นชมความซื่อสัตย์และใจเด็ดของคนผู้นี้อยู่บ้าง และน้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนลง “บอกข้าทีว่าคนผู้หนึ่งอยู่ที่ใด แล้วข้าจะให้ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นต่ำแก่เจ้า นับว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นต่ำ? ดวงตาของหลิวจ่างเป็นประกายในขณะที่เขาแอบกลืนน้ำลาย จากนั้นเขาก็กล่าวโดยไม่ลังเลว่า “ตกลง!”
เฉินซีกลับกลายเป็นฝ่ายตกตะลึงแทน เหตุใดถึงเปลี่ยนใจไวนัก? แท้จริงแล้ว คนผู้นี้ไม่มีความซื่อสัตย์และสิ่งที่เขากล่าวออกมาก่อนหน้านี้ก็ไม่ต่างกับการเสแสร้งสักนิด!!
“ผู้อาวุโส ท่านต้องการสอบถามเกี่ยวกับที่อยู่ของใครหรือ?” หลิวจ่างยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นก็ตบหน้าอกของตัวเองขณะกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านได้พบคนที่คู่ควรแล้วในครั้งนี้ ท่านอาจจะไม่รู้ แต่ข้าหลิวจ่างนั้นมีฉายาว่าจ้าวนักสืบ ภายในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรนั้นไม่มีคนที่ข้าไม่รู้จัก!”
“เอาล่ะ ข้าอยากรู้ว่าเฉินฮ่าวอยู่ที่ใด” เฉินซีกล่าว หลังจากนั้นเขาก็หยิบกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นต่ำออกมาจากในแหวนมิติของเขาและแกว่งมันต่อหน้าของหลิวจ่าง “กระบี่เล่มนี้จะเป็นของเจ้าหลังจากที่เจ้าบอกข้าแล้ว”
หลิวจ่างรู้สึกวิงเวียนขณะที่เขาจดจ้องไปยังกระบี่ในมือของเฉินซีด้วยดวงตาวาวโรจน์ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “แน่นอน ข้ารู้! เฉินฮ่าวเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ ‘เสวี่ยน’ และเคล็ดวิชากระบี่ที่ถูกใช้ด้วยมือซ้ายของเขานั้นทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง! ข้าจะไม่รู้จักเขาได้อย่างไร”
“เขาอยู่ที่ใด?” เฉินซีได้รับการยืนยันข้อเท็จจริงจากคำกล่าวของอีกฝ่ายแล้ว เพราะว่าเรื่องที่มือขวาของเสี่ยวฮ่าวพิการและการที่เสี่ยวฮ่าวฝึกฝนกระบี่ด้วยมือซ้ายนั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากพูดถึงจึงทำให้คนอื่นไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงนี้
” มังกร…” ดวงตาของหลิวจ่างกลอกไปรอบ ๆ ในขณะที่เขากล่าวอย่างลำบากเล็กน้อย “ผู้อาวุโส ถ้าข้าบอกท่านแล้ว ท่านจะไม่ฆ่าข้าใช่ไหมขอรับ”
“นำทางไปซะ ข้าจะปล่อยเจ้าไปเมื่อพบกับเฉินฮ่าว ตอนนี้เราอยู่ในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ไยข้าต้องฆ่าเจ้าให้ตัวเองยุ่งยากด้วยจริงไหม” เฉินซีโยนกระบี่ไปที่หลิวจ่างอย่างจงใจขณะเขากล่าวช้า ๆ
“นั่นก็จริงขอรับ” หลิวจ่างพยักหน้า
ทันใดนั้นเฉินซีก็หิ้วร่างของหลิวจ่างจากไป พวกเขาพุ่งทะยานราวสายลม โดยมีเจ้าถิ่นอย่างหลิวจ่างเป็นคนนำทาง และในไม่ช้า ชายหนุ่มก็มาถึงเบื้องหน้าภูเขาแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ภูเขาลูกนั้นสูงมาก มันตั้งตรงตระหง่านเหมือนหอก แต่บนยอดเขานั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก เมื่อมองจากระยะไกล มันเหมือนกับร่มขนาดใหญ่ที่กางอยู่หรือบางคนอาจมองมันคล้ายกับเห็ดที่มียอดสูงเสียดฟ้า รูปร่างของมันดูแปลกประหลาดเป็นพิเศษ
“ภูเขาลูกนี้ถูกเรียกว่ามังกรอเวจี และเป็นสถานที่เนรเทศของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้าเพื่อลงโทษเหล่าศิษย์ที่กระทำความผิด ตอนกลางวันร้อนดั่งอยู่ในเตาอบ และเย็นยะเยือกเหมือนบ่อน้ำแข็งในตอนกลางคืน ควบคู่ไปกับการถูกกัดเซาะจากกระแสลมปั่นป่วน สภาพแวดล้อมของมันนับว่าเลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง”
“ศิษย์เหล่านั้นที่ถูกเนรเทศมาที่นี่ต้องขุดแร่เหล็กกล้าธารสีชาดที่ไหล่เขาออกมาให้ได้สองร้อยห้าสิบจิน จากนั้นจึงรวบรวมทรายดาราเก้าสวรรค์อีกยี่สิบห้าจิน และในทุกวัน พวกเขาเป็นเหมือนทาสที่ต้องทนทุกข์ทรมานจนไม่อาจอธิบายได้ ศิษย์ทุกคนที่ถูกลงโทษและได้ออกมาจากสถานที่นี้ จะถูกทรมานจนความเป็นมนุษย์และสภาพของพวกเขาก็น่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง”
“เมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว ข้าไม่รู้ว่าเฉินฮ่าวได้ละเมิดกฎข้อใดของนิกายจึงถูกเนรเทศ และต้องชดใช้ความผิดเป็นเวลาสามปีเสียก่อน จึงจะกลับไปบ่มเพาะที่นิกายได้” หลิวจ่างกล่าวอย่างฉะฉาน ท่าทางที่ตื่นเต้นของเขามีความกลัวปะปนอยู่ภายใน เขาไม่ทันสังเกตเลยว่าท่าทางของเฉินซีค่อย ๆ มืดมนและเยือกเย็นลงเป็นอย่างมาก
อย่างที่ข้าคาดไว้!
เพราะเฉินฮ่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าจึงได้รับความเดือดร้อนจากการข่มเหงของตระกูลซูและทำให้เขาถูกเนรเทศมายังยอดเขามังกรอเวจี!
‘ว่าแต่…เมื่อหนึ่งปีก่อน มันคือตอนที่ข้าเพิ่งกลับมาจากส่วนลึกของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ไม่ใช่หรือ? ในเวลานั้นข้าได้ทำลายล้างตระกูลหลี่ไปทั้งหมดแล้ว… อืม…ข้าคงดึงดูดความสนใจจากตระกูลซูดังนั้นพวกเขาอาจจะ…’
เฉินซีรู้ได้โดยไม่ต้องคิดว่า ด้วยนิสัยของเสี่ยวฮ่าว เขาจะไม่มีทางละเมิดกฎของนิกายและกระทำความผิดร้ายแรงอย่างแน่นอน เขาไม่มั่นใจเท่าไรว่าใครเป็นต้นเหตุทำให้เฉินฮ่าวถูกเนรเทศมาที่แห่งนี้
แต่นับว่าโชคดีที่ตอนนี้เสี่ยวฮ่าวยังมีชีวิตอยู่ หากเขามาช้าไปกว่านี้ ผลที่ตามมาคงไม่อาจคาดเดาได้!
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และข่มความขุ่นเคืองที่อยู่ในใจ จากนั้นกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
“มีคนไม่น้อยกว่าพันคนที่ถูกเนรเทศมายังยอดเขามังกรอเวจีแห่งนี้ ข้าคิดว่าท่านผู้อาวุโสควรลองสอบถามใครสักคนดูเสียก่อนนะขอรับ” หลิวจ่างกล่าวอย่างเร่งรีบ เขาตระหนักได้ว่าอารมณ์ของ ‘ผู้อาวุโส’ ที่อยู่เคียงข้างเขาดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งนัก ดังนั้นจึงไม่กล้ากล่าววาจาไร้สาระต่อไปอีก เพราะเกรงว่าหายนะจะมาเยือนตนเอง เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘ปลาหมอตามเพราะปาก’
“ไม่มีคนเฝ้าที่นี่หรือ?”
“ที่นี่จะมีผู้คุมเฉพาะตอนกลางวันเท่านั้นขอรับ เนื่องจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งวันส่งผลให้ร่างกายของนักโทษอ่อนแรง ดังนั้นจะมีผู้ใดมีเรี่ยวแรงที่จะหลบหนีอีก? นอกจากนี้ สถานที่นี้ตั้งอยู่ในนิกายกระบี่มฆาพเนจร แม้ว่าจะมีคนหลบหนี แต่ก็ไม่สามารถออกจากมหาค่ายกลคุ้มนิกายไปได้”
เฉินซีไม่ได้กล่าวอะไรอีกขณะที่เขาพาหลิวจ่างบินไปที่ไหล่เขาของยอดเขามังกรอเวจี ในที่แห่งนั้นมีผู้คนนุ่งชุดที่ทำจากเศษผ้าและท่าทางมอมแมมหลับนอนอยู่
ตอนนี้เป็นเวลาไม่กี่ชั่วยามก่อนรุ่งสาง อากาศเย็นบนยอดเขามังกรอเวจีนั้นทารุณยิ่งกว่าปกติ จนคนเหล่านี้ต้องขดตัวอยู่บนเสื่อฟาง แม้ว่าจะดูเหมือนหลับสนิท แต่ก็ยังตัวสั่นสะท้านจากความหนาว ท่าทางน่าสมเพชของพวกเขานั้นเลวร้ายยิ่งกว่าขอทานที่หลับใหลอยู่ตามซอกถนนเสียอีก
เพียะ!
หลิวจ่างเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟังและตบชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าซีดเซียวและดวงตาที่ลึกโบ๋ให้ตื่นขึ้นแล้วถามว่า “เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เฉินฮ่าวอยู่ที่ใด”
“เฉินฮ่าว? เจ้าคนที่แขนขวาขาดน่ะหรือ? ตอนนี้เขาน่าจะอยู่บนยอดเขานะขอรับ” ชายวัยกลางคนสะดุ้งตื่นและตอบด้วยเสียงงัวเงีย
เฉินซีไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป เพราะเขากลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมความโกรธในใจได้ ดังนั้นเขาจึงหิ้วหลิวจ่างขึ้นก่อนที่จะพุ่งไปสู่ยอดเขาทันที
…
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ยอดเขามังกรอเวจีเปิดโล่งอย่างสมบูรณ์ มันเงียบและเย็นยะเยือก อากาศเย็นรุนแรงส่งผลให้อากาศโดยรอบเปลี่ยนเป็นหมอกสีขาวปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง บนพื้นดินมีผลึกน้ำแข็งเกาะตัวอยู่เป็นชั้น ๆ ซึ่งดูคล้ายโลกแห่งน้ำแข็ง
ในขณะนี้เอง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังฝึกฝนกระบี่ของเขาท่ามกลางอากาศที่เย็นจัด
เสื้อผ้าของเขามอมแมมและขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้าของเขาสกปรกและยุ่งเหยิง และรูปร่างที่ผอมแห้งของเขาก็เหมือนกับต้นไผ่ แต่มือที่กำกระบี่อยู่นั้นมั่นคงราวกับต้นสนสีเขียวที่หยั่งรากลึกบนหน้าผา และทุกการเคลื่อนไหวของเขาก็รวดเร็วและแม่นยำ แม่นยำเสียจนดูเหมือนถูกวัดด้วยไม้บรรทัด
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ บนกระบี่ของเด็กหนุ่มไม่มีปราณแท้ปกคลุมเลยสักนิด แต่เมื่ออากาศที่เย็นจัดจากสวรรค์และโลกเข้าใกล้ตัวเขาในระยะสิบฉื่อ มันจะกระจายออกไปโดยรอบ ราวกับไม่กล้าก้าวข้ามเขตแดนนี้
เคร้ง!
ด้วยเสียงแตกหักที่ดังก้องออกมา ร่างของเด็กหนุ่มก็หยุดนิ่งก่อนที่เงากระบี่ที่ปกคลุมท้องฟ้าจะหายไป ในตอนนี้เอง เฉินซีจึงเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่มหาใช่กระบี่เหล็ก แต่กลับเป็นกิ่งไม้ที่หักออกเป็นสองท่อนแล้ว
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
เขานั่งยองลงกับพื้นขณะที่หอบหายใจอย่างรุนแรง และใบหน้าของเขาซีดเซียวและผอมซูบเสียจนน่ากลัว ทว่ามีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังคงเป็นประกายมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวปรากฏเด่นชัด
“ข้าไม่อาจพักผ่อนได้ ข้าต้องการแข็งแกร่งขึ้น ข้าอยากช่วยแบ่งปันความกดดันไปพร้อมกับท่านพี่ ข้าอยากล้างแค้นให้ท่านปู่ ข้าต้องการ…” เสียงบ่นพร่ำแว่วมาขณะที่เขาพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาลุกขึ้นยืนได้แล้ว ร่างของเขาก็เซส่ายไปมา ราวกับจะถูกลมพัดปลิวหายไปหรืออาจล้มลงบนพื้นและไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก
แต่สุดท้าย เขาก็ยังคงทรงตัวได้ แขนซ้ายของเขาสั่นระริกยามเขายกกิ่งไม้ขึ้นและเริ่มออกกระบวนท่ากระบี่อีกครั้ง
ตุ้บ!
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านรูป เด็กหนุ่มก็ล้มลงบนพื้นอีกครั้งและหอบอย่างหนัก ใบหน้าที่ซีดเซียวของเขายิ่งซีดมากขึ้นไปอีก และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยเส้นเลือด
“ข้าจะนอนตอนนี้ไม่ได้! ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไร ข้าต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น ท่านพี่ได้เสียสละเพื่อข้าไปมากแล้ว ถ้าข้ายังไม่แข็งแกร่งขึ้น ข้าจะทำให้ท่านพี่ต้องเสียใจ…” เขาบ่นพึมพำและให้กำลังใจตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับคนโง่เขลาที่ไม่รู้ว่าการยอมแพ้คือสิ่งใด…
อีกทั้งเขายังไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่เขาอย่างสะเทือนใจ ความทุกข์ทรมาน และความไม่ยินยอม… ความรู้สึกทั้งหมดนี้กลั่นตัวเป็นน้ำตาที่ไหลริน
คนผู้นั้นที่มองอยู่คือเฉินซีนั่นเอง ในขณะนี้เฉินซีกำลังหลั่งน้ำตาอย่างเงียบ ๆ หลังจากผ่านไปสิบเจ็ดปี ณ เวลานี้ เขาไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป
‘ลูกผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาง่าย ๆ นอกจากพวกเขาจะรู้สึกโศกเศร้าสุดหยั่ง!’
“เสี่ยวฮ่าว…!”
เด็กหนุ่มที่ผอมแห้งเหมือนท่อนไม้และมีใบหน้าซีดเซียวอย่างน่าสยดสยอง คนที่ล้มลงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ลุกขึ้นมาทุกครั้งนั่นก็คือเฉินฮ่าว
เฉินฮ่าวตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินเสียงนี้ จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะและบ่นพึมพำด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ข้าเห็นภาพหลอนอีกแล้ว ท่านพี่จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“เสี่ยวฮ่าว!” ครั้งนี้ เสียงดังก้องอยู่ข้างหูของเขา มันเป็นเรื่องจริง และทำให้เฉินฮ่าวรู้สึกไม่อยากเชื่อ เขาพยายามยกมือขึ้นด้วยความยากลำบาก และเห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ข้างกายเขา
“ท่านพี่ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?” ดวงตาของเฉินฮ่าวเบิกโพลงและมุมปากของเขาก็สั่นไหว
ความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ พลุ่งพล่านออกมาจากหัวใจของเฉินซี ขณะที่น้ำตาหลั่งไหล เขายื่นมือออกไปเพื่อกอดน้องชายไว้อ้อมแขน เขาโอบกอดเสี่ยวฮ่าวอย่างแน่นเหมือนกับตอนที่เขาโอบอุ้มเสี่ยวฮ่าวที่ยังเป็นทารก
“นี่เป็นเรื่องจริง มันไม่ใช่ความฝันหรอกเสี่ยวฮ่าว พี่ชายจะพาเจ้าออกไปจากที่แห่งนี้เจ้าตกลงไหม” เสียงของเฉินซีแผ่วเบาและแหบแห้งเหมือนหมาป่าที่ได้รับบาดเจ็บ
“อืม…” เฉินฮ่าวดูเหมือนจะเหนื่อยเกินไป จากนั้นเขาก็ผล็อยหมดสติไป
“หลับให้สบายเถิด พี่ชายคนนี้จะทำอาหารรสเลิศที่สุดรอไว้เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น” เฉินซีหายใจเข้าลึกจากนั้นอุ้มเฉินฮ่าวไว้บนหลัง ก่อนจะเดินลงจากภูเขาไป
“การพาเขาออกไปแบบนี้มีแต่จะทำร้ายเขา” ทันใดนั้นเสียงที่ชัดเจนก็ดังขึ้นจากระยะไกล และพร้อมกับเสียงนี้ หมอกเย็นที่ปกคลุมบนยอดเขาก็ถูกแหวกออกจนเกิดช่องว่าง จากนั้นชายวัยกลางคนในชุดคลุมเรียบ ๆ ก็ลอยลงมาช้า ๆ
ชายผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและรูปร่างสูงใหญ่ เขาถือพัดขนห่านไว้ในมือราวกับเป็นบัณฑิตคงแก่เรียน ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายที่น่ายกย่องและสูงส่ง
ในขณะนี้ เฉินซีไม่กล้ากล่าวเรื่องไร้สาระใด ๆ อีก ร่างของเขาสว่างวาบขึ้นก่อนจะบินลงจากยอดเขาอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างกายของเขาเพิ่งขยับ เขากลับรู้สึกถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังและกว้างใหญ่ไพศาลพุ่งมาจากทั่วทุกทิศ แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวนั้นเหมือนกับภูเขาสูงตระหง่านกดทับเขา ทำให้เขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้ และไม่มีโอกาสที่ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
‘ทรงพลังยิ่งนัก! อาศัยเพียงกลิ่นอายของเขาก็สามารถยับยั้งข้าได้อย่างสมบูรณ์ การบ่มเพาะของคนผู้นี้บรรลุไปถึงระดับใดกัน?’ ในใจของเฉินซีรู้สึกตกตะลึง และตอนนี้เขาได้รู้ว่าชายวัยกลางคนที่หล่อเหลาและสง่างามที่อยู่ตรงหน้าเขา เป็นผู้บ่มเพาะที่มีความแข็งแกร่งยากจะหยั่งถึง!
ตุ้บ!
หลิวจ่างซึ่งคอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้ตลอดเวลา จู่ ๆ ดูเหมือนจะกลายเป็นใบ้ ทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าลงบนพื้น จากนั้นจึงร้องออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “ศิษย์หลิวจ่าง คารวะบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยน!”