บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1260 เฆี่ยนตีอย่างไร้ความปรานี
บทที่ 1260 เฆี่ยนตีอย่างไร้ความปรานี
ในเวลาเดียวกัน เลือดในร่างกายเฉินซีเริ่มเดือดพล่าน จิตสังหารอันร้อนแรงถาโถมออกมาดุจสัตว์ร้ายที่หลุดจากโซ่ตรวน ทั้งร่างกายของเขาเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้า
ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ สีหน้าเฉยเมยมากขึ้นทบทวี จากนั้นเงยหน้าอย่างฉับพลัน ดวงตาสีดำที่ลึกดุจก้นบึ้งอันหนาวเหน็บกวาดไปข้างหน้า ก่อนจะกล่าวช้า ๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำและสงบ “เมื่อทำผิดไปแล้ว ก็ไม่สามารถให้อภัยได้!”
โครม!
จิตสังหารที่ถูกระงับอยู่ภายในหัวใจได้พัดโหมออกไป มันเฉือนอากาศออกเป็นชิ้น ๆ เหมือนปุยนุ่น บังเกิดเป็นเสียงดังก้องกันวานขณะพัดโหมไปทุกทิศทุกทาง
ภายใต้พลังสังหารที่น่าสะพรึงกลัวดังกล่าว ยามที่สวมชุดสีดำมีสีหน้าที่ซีดเผือดราวกับเห็นภูตผีปีศาจ เพราะการเผชิญหน้ากับจิตสังหารที่รุนแรงเช่นนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับก็ไม่ต่างจากมดตัวเล็ก ๆ ที่ไร้พลัง
หัวใจของพวกเขาตกไปที่ตาตุ่มทันที เผยสีหน้าหวาดกลัวอย่างสุดขีด ไม่ต้องกล่าวถึงการต่อต้าน เรี่ยวแรงเหือดหายไม่อาจขัดขืน ทั้งยังไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากหันหลังกลับเพื่อหลบหนีโดยไว แต่น่าเสียดายที่พวกเขากลับตัวสั่นเทาและไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือแม้แต่น้อย
พรูด!
ทหารยามไม่สามารถทนต่อจิตสังหารนี้ได้ วิญญาณของเขาพลันแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนจะกระอักเลือดออกมา ร่างโซเซล้มลงกับพื้น โดยไม่มีวี่แววของพลังชีวิตใด ๆ
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับถูกฆ่าโดยจิตสังหารที่เฉินซีปลดปล่อยออกมา!
“อ๊าก!!”
“เจ้า…เจ้า… เจ้าเป็นใครกัน? เจ้าไม่รู้หรือว่าการบุกรุกเข้าไปในเขตเหมืองหลอมวิญญาณจะต้องได้รับการลงโทษและถูกตามล่าจากตำหนักราชันเซียน?!”
“เจ้าอย่าได้บังอาจอวดดี เจ้าต้องเดือดร้อนแน่ หากท่านหวงหลงมาถึง!”
ฉากนี้เป็นเหมือนชนวนที่ทำให้ยามชุดดำโกรธเกรี้ยว พวกเขากรีดร้องออกมาความหวาดกลัว เนื่องจากชายหนุ่มผู้มีกลิ่นอายร้ายกาจ และจิตสังหารที่รุนแรงผู้นี้ ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสามารถรับมือได้
ทหารยามหันหลังด้วยความตั้งใจที่จะหลบหนี แต่กลับถูกควบคุมด้วยพลังไร้รูปร่าง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่ก้าวเดียว สิ่งนี้ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนเกือบหมดสติ วิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
เฉินซีก้าวเท้าไปข้างหน้า พลันคว้าแส้เหล็กจากมือของยามคนหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดข้อมือ บังเกิดเป็นเงาแส้มากมายพุ่งลงมาราวกับพายุมรสุม และครอบคลุมยามทั้งหมดไว้
ในช่วงเวลาถัดมา เสียงหวีดหวิวที่ทำให้ขนอ่อนลุกชันก็ดังขึ้นและกระจายออกไปในบริเวณโดยรอบ ยามทุกคนถูกเฆี่ยนจนเนื้อหนังปริแตก เลือดไหลเป็นสายธาร แต่ไม่อาจหลบหนีหรือหลีกเลี่ยงได้ และตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง
เฉินซีดูเหมือนไม่แยแสกับเรื่องเหล่านี้ แส้เหล็กดูเหมือนกลายเป็นมังกรสีดำที่โบยบินอยู่เต็มท้องฟ้า พวกมันฟาดลงมาอย่างดุร้าย ทว่าเฉินซีควบคุมพลังของตนได้อย่างยอดเยี่ยม จึงสามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปถึงกระดูก แต่ก็ไม่ถึงขั้นคร่าชีวิต
นี่เป็นเพียงการทรมาน!
ยามชุดดำถูกเฆี่ยนจนเสียงตะโกนหายไป และไม่มีจังหวะให้ร้องขอความช่วยเหลือใด ๆ
ในท้ายที่สุด เหล่าทหารยามถูกเฆี่ยนจนจิตใจพังทลาย และตกอยู่ในความบ้าคลั่ง ดูเหมือนเขากำลังทรมานจากอาการชัก มีฟองน้ำลายสีขาวไหลออกมาจากปาก แต่กลับหัวเราะอย่างเสียสติ และร้องไห้เสียงโหยหวนตลอดการเฆี่ยนตีนี้
ฉากที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ ทำให้เซวียนหยวนอวิ่นอ้าปากค้างไม่รู้จบ พลันรีบเอามือปิดตาของชีเซียวอวี่หลีกเลี่ยงฉากที่โหดร้ายและนองเลือด เพื่อไม่ให้ทิ้งเงาอันเลวร้ายไว้ในใจของหญิงสาว
“ได้โปรด ข้าขอร้องท่าน ฆ่าข้าเถอะ ได้โปรดฆ่าข้าเถอะ!”
“ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ขอร้องล่ะ!!!”
ในที่สุดจิตใจของเหล่าทหารยามพังทลายอย่างสมบูรณ์ พวกเขาคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช เสียงอ้อนวอนดังระงม หวังให้เฉินซีหยุดทรมานพวกตน ปรารถนาเพียงความตายเท่านั้น
ชัดเจนแล้วว่า แส้เหล็กในมือของเฉินซีนั่นสร้างความเจ็บปวดถึงเพียงใด
เฉินซียังคงไม่แยแสกับเรื่องเหล่านี้ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉย สะบัดมือไม่รู้จบ ราวกับไร้หัวใจและไร้ความปรานี
ตั้งแต่ที่มาถึงภพเซียน เฉินซีไม่เคยโกรธถึงขั้นนี้มาก่อน แต่ทั้งหมดนี้เกิดจากไอ้สารเลวพวกนี้ที่อยู่ตรงหน้า ดังนั้นโดยปกติแล้ว ชายหนุ่มย่อมไม่ปล่อยให้พวกมันตายง่าย ๆ อย่างแน่นอน
“หยุดมือก่อน!!”
“สหายเต๋า เราสามารถพูดคุยกันได้เสมอ หากเราทำให้เจ้าขุ่นเคืองในทางใดทางหนึ่ง โปรดบอกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเราจะชดใช้ให้เจ้าเป็นสิบเท่าอย่างแน่นอน”
ทันใดนั้น ร่างหลายร่างได้ฉีกทะยานผ่านท้องฟ้ามาจากไกลโพ้น คนที่มาใหม่เป็นทหารยามจากเขตเหมืองหลอมวิญญาณ เมื่อเห็นสหายของตนถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณ พวกเขาล้วนมีสีหน้าซีดเผือด ความหนาวเย็นแล่นเข้าสู่หัวใจ ได้แต่ยืนอยู่ห่าง ๆ และไม่กล้าเข้าใกล้
“ชดใช้หรือ? แม้แต่ชีวิตของเจ้าก็ไม่สามารถบรรเทาความเกลียดชังในใจข้าได้” เฉินซีตอบอย่างไม่แยแสและมองไปที่ร่างทั้งหมดในระยะไกล ชายหนุ่มพลันโบกแขนเสื้อ ใช้ศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการ กักขังทหารยามทั้งหมดที่อยู่ในระยะไกลไว้แน่นหนาจนไม่สามารถดิ้นรนเป็นอิสระได้
ตู้ม! ตู้ม!
เหล่าทหารยามต่างร้องโหยหวนและล้มลงกับพื้น ถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้เหล็กที่ไร้ความปรานีของเฉินซี
เหตุการณ์นี้ทำให้นักโทษที่อยู่ไกลออกไปตกตะลึง เพราะนั้นคือผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนลึกลับหลายสิบคน แต่ตอนนี้กลับถูกคนเพียงคนเดียวสยบจนมีสภาพไม่ต่างจากกองขยะ สิ่งนี้น่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เฉินซีเหวี่ยงแส้อย่างไร้ความปรานี เสียงโหยหวนแห่งความเจ็บปวดอันน่าสมเพชก็ดังก้องอีกครั้ง
เขตเหมืองหลอมวิญญาณนั่นกว้างใหญ่ไพศาล คนเหล่านี้ไม่ใช่ทหารยามกลุ่มเดียวที่ประจำการอยู่ที่นี่ มีทหารยามหลายคนสังเกตเห็นว่าสถานการณ์เลวร้าย และซ่อนตัวให้ห่าง บางคนถึงกับหนีไปไม่เหลียวหลัง
แต่ไม่ว่าจะเป็นพวกที่ซ่อนตัวหรือหลบหนี พวกมันล้วนถูกพันธนาการด้วยพลังไร้รูปร่างในทันทีทันใด และถูกลากไปรอบ ๆ ราวกับกระสอบทราย ก่อนที่จะล้มกองตรงหน้าเฉินซี
เพียงอึดใจเดียว ก็มีทหารยามหลายร้อยคนกองอยู่บนพื้นต่อหน้าเฉินซีด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ มันเป็นภาพที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง
ที่ด้านข้าง วิปลาสหลิ่วก็ตกตะลึงกับฉากนี้เช่นกัน “เด็กน้อยที่อยู่แค่ขอบเขตจุติเมื่อหลายปีก่อน กลับเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
นี่เป็นดั่งปาฏิหาริย์ที่น่าเหลือเชื่อ และทำให้วิปลาสหลิ่วไม่สามารถฟื้นจากอาการตกใจได้เป็นเวลานาน
เด็กหนุ่มที่ตนพาเข้านิกายกระบี่เก้าเรืองรองเมื่อหลายปีก่อน บัดนี้ได้เติบโตถึงเพียงนี้ แข็งแกร่งยิ่งกว่าตนเสียอีก ทว่าวิปลาสหลิ่วไม่รู้สึกเสียใจ กลับกัน หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความสุขและความพึงพอใจ
แน่นอนว่าเมื่อเฉินซีมีความแข็งแกร่งเช่นนี้ ในฐานะอาจารย์ เขาย่อมยินดี
“วิเศษมาก! จัดการพวกมันให้หมด!” ทันใดนั้นก็มีเสียงโห่ร้องดังมาจากระยะไกล ต้นตอของเสียงคือนักโทษในเหมืองที่ได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง และไม่สามารถระงับความสุขในใจได้ ดังนั้นจึงแผดเสียงตะโกนร้องลั่น
“ใช่! ไอ้พวกสารเลวกระหายเลือดจากตำหนักราชันเซียนเหล่านี้ พวกมันทรมานและสังหารผู้ละทิ้งสวรรค์ที่จำคุกอยู่ที่นี่ไปนับไม่ถ้วน ในสายตาของพวกมัน เราไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่สั่งได้ตามต้องการ ทั้งยังถูกทำให้อับอายและเฆี่ยนตีอย่างเหี้ยมโหด พวกมันไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นเซียนแม้แต่น้อย!”
“ใช่แล้ว! การกระทำอันชอบธรรมของผู้อาวุโสในวันนี้ ทำให้เราทุกคนมองเห็นประกายความหวังอีกครั้ง หากท่านมีคำสั่งใด ๆ ในภายหน้า เราพร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อทำมันให้สำเร็จ!”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นมากมายจากบริเวณโดยรอบ และทั้งหมดมาจากผู้ละทิ้งทิ้งสวรรค์ที่ถูกขังอยู่ที่นี่
ใบหน้าเปี่ยมสุขเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความโกรธแค้น ดวงตาของบางคนเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตา สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความเจ็บปวดและความยากลำบากที่ต้องทนทุกข์ในเขตเหมืองหลอมวิญญาณนั้น ยากที่จะจินตนาการถึงได้ มิฉะนั้น เหล่านักโทษคงไม่มีความสุขถึงเพียงนี้
ทว่าท่ามกลางเสียงตะโกนด้วยความยินดี กลับมีเสียงหนึ่งดังก้องออกมา “ผู้อาวุโส ท่านควรรีบหนีไป หากหวงหลงมาถึง ผลที่ตามมาต้องเลวร้ายอย่างแน่นอน”
ทันทีที่สิ้นคำ มันเหมือนกับถังน้ำอันเย็นเฉียบที่ราดรดศีรษะของเหล่านักโทษ ความตื่นเต้นและความสุขสลายไปทันที ความกังวลและหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจแทน
บางคนถึงกับกัดฟัน และะหันหลังหลบหนีไปทันที
แต่ก็ไม่อาจตำหนิพวกเขาได้ เพราะหากไม่คว้าโอกาสนี้เพื่อหนีไป ก็คงไม่มีโอกาสเมื่อหวงหลงมาถึง
“ฮ่า ฮ่า! พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะหลบหนีได้!”
“ไอ้พวกสารเลว หากท่านหวงหลงมาถึงแล้วละก็ ลืมเรื่องหลบหนีไปได้เลย! ข้าจะเฉือนร่างของพวกเจ้าเป็นพัน ๆ ชิ้น!”
เมื่อเห็นเหตุการณ์ทหารยามคนหนึ่งที่ถูกเฉินซีเฆี่ยนตีอยู่ พลันกัดฟันแน่นเพื่อฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดอันแสนสาหัส และคำรามอย่างขุ่นเคือง
สิ่งนี้ทำให้ผู้ละทิ้งสวรรค์ที่อยู่ในระยะไกล ต่างก็รู้สึกกังวลและหวาดกลัวมากขึ้น พวกเขารีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า หวงหลงผู้นี้น่ากลัวเพียงใด
เป็นเพราะพวกเขาไม่มั่นใจว่าเฉินซีจะต่อกรกับหวงหลงได้หรือไม่ หวงหลงเป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธ์ของตำหนักราชันเซียนในทวีปเซียนสายหมอก และอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำ ทำให้หวงหลงเป็นเหมือนขุนเขาที่มั่นคงในความคิดของพวกเขา
ท่าทางของเฉินซียังคงสงบไม่เปลี่ยนแปลง แรงที่โบยแส้ลงไปก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ทำให้ทหารยามที่ตะโกนลั่นเหล่านั้น ต่างกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด และไม่อาจกล่าวอะไรได้อีกสักคำ
แม้ว่าเฉินซีจะไม่สนใจ แต่วิปลาสหลิ่วกลับรู้สึกกังวลแทน ชายชราจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนชายหนุ่ม แต่เซวียนหยวนอวิ่นกลับหยุดเขาไว้ก่อน และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าได้กังวล แม้ราชันเซียนจะมาที่นี่ แต่เขาก็ไม่กล้าสอดมือยุ่งกับเรื่องนี้หรอก”
วิปลาสหลิ่วตกใจมาก “ราชันเซียน? จะไม่กล้าสอดมือกับเรื่องนี้จริงหรือ? ศิษย์ของข้าคนนี้ได้ประสบกับเรื่องใดมาถึงไม่เกรงกลัวกระทั่งราชันเซียน?”
หลังจากถูกกระชากเข้าสู่ภพเซียน ชายชราก็ถูกขังอยู่ในเขตเหมืองหลอมวิญญาณตั้งแต่นั้นมา เขาไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกเพื่อหาข้อมูลได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรู้ว่า เฉินซีไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จักอีกต่อไป
ตู้ม!
ก่อนที่วิปลาสหลิ่วจะฟื้นจากอาการตกใจ ชายชราพลันสัมผัสได้ว่าห่างไกลออกไป เกิดแรงสั่นสะเทือนราวกับสายฟ้าฟาด แสงสีทองที่ลุกโชนก็ปะทุขึ้น และส่องสว่างไปทั้งฟ้าดิน
ท่ามกลางแสงสีทองที่สุกใสนี้ ปรากฏชายหนุ่มร่างกำยำที่สวมชุดเกราะอ่อน ซึ่งปิดทองและสวมมงกุฎสีทองบนศีรษะ กำลังก้าวออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า
ทั่วกายถูกปกคลุมไปด้วยกฎแห่งเซียนทองคำ และทันทีที่ชายผู้นั้นปรากฏตัว กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวของเซียนทองคำก็กวาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ และทำให้ผู้คนอุทานด้วยความตกใจ
“ท่านหวงหลง!”
“ในที่สุดท่านหวงหลงก็มาแล้ว!”
“นายท่าน มีคนบุกรุกเขตเหมืองหลอมวิญญาณของเรา อีกทั้งยังกระทำการตามอำเภอใจและเฆี่ยนตีพวกเราอย่างไร้ปรานี โปรดทวงความยุติธรรมให้กับพวกเราด้วย!”
เมื่อเห็นคนผู้นี้ปรากฏ เหล่ายามที่ถูกเฆี่ยนตีก็ร้องออกมาอย่างโศกเศร้า บางคนถึงกับร้องไห้ด้วยความยินดี ราวกับผู้กอบกู้ได้มาถึงแล้ว
ทว่าพูดได้ไม่กี่ปประโยค เสียงของพวกเขาก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงแส้ดังก้อง และเสียงร้องโหยหวนอันน่าสังเวชก็ดังก้องอีกครั้ง
ใช่แล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินซีไม่ได้สนใจหวงหลงเลยสักนิด ชายหนุ่มยังคงมุ่งความสนใจไปที่การเฆี่ยนตีทหารยามชุดดำเหล่านี้ด้วยวิธีที่โหดเหี้ยม ไม่แยแสราวกับว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น ทั้งยังน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง