บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1265 ระบายของ
บทที่ 1265 ระบายของ
เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนที่เฉินซีเข้าร่วมการทดสอบรอบที่สองของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ครั้งหนึ่งเขาเคยสังหารศิษย์ของตระกูลจั่วชิวไปจำนวนมากภายในแดนโลหิต
หลังจากเข้ามาในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้ว ชายหนุ่มก็ประสบความสำเร็จในการรับมือกับอุปสรรคนานัปการที่จั่วชิวจวินวางเอาไว้ คนผู้นั้นไม่เพียงไม่อาจทำภยันตรายใด ๆ ให้ระคายแก่ตัวเฉินซี หากยังช่วยให้เฉินซีมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสำนักศึกษาในทางอ้อม
ยิ่งไปกว่านั้น ในการทดสอบศิษย์ฝ่ายในที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน ตระกูลจั่วชิวก็ได้ทำการเปิดฉากไล่ล่าครั้งใหญ่อย่างลับ ๆ เรียกได้ว่าทุ่มเทมหาศาลอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยเฉพาะการดึงสรรพกำลังจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นมาใช้ในการนี้ ทว่าน่าเสียดายที่มันยังคงล้มเหลว
บางทีเรื่องนี้อาจจะไม่มีคนนอกที่ไหนจับสังเกตได้ แต่สำหรับศิษย์ตระกูลจั่วชิวทุกคนล้วนแต่กระจ่างแก่ใจ เมื่อตระหนักได้ว่าตนเหยียบหางเฉินซีเข้าให้แล้ว ชายผู้เป็นสิ่งมีชีวิตแสนฉกาจ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดผวาจนถึงจุดที่วิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง
จริงอยู่ที่คนเหล่านี้เป็นศิษย์ของตระกูลจั่วชิว ทว่าพวกเขาก็เป็นเพียงกลุ่มที่ไม่ผ่านการคัดเลือกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้น สถานะในตระกูลจั่วชิวตอนนี้ไม่อาจเทียบได้กับศิษย์สายหลักอย่างจั่วชิวจวินและจั่วชิวอินแม้แต่เศษเสี้ยว แล้วอย่างนี้พวกเขาจะเอาความกล้าที่ไหนไปเผชิญหน้ากับเฉินซีได้เล่า?
“จะ… เจ้า… เจ้าคือเฉินซีอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มภายใต้อาภรณ์สีเขียวกล่าวด้วยเสียงสั่นเทา แท้ที่จริงแล้ว คำถามนี้เกิดขึ้นก็เนื่องด้วยหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเสียจนไม่รู้จะพูดสิ่งใดออกไป สิ่งเดียวที่อยู่ภายในห้วงคำนึงยามนี้มีเพียงความปรารถนาที่จะหนีไปให้ไกลเท่านั้น!
บางทีคนอื่น ๆ อาจจะหวาดกลัวชื่อเสียงของตระกูลจั่วชิว แต่ไม่ใช่สำหรับคนร้ายกาจอย่างเฉินซีที่ชื่นชอบการเข่นฆ่าคนในตระกูลจั่วชิวยิ่งกว่าสิ่งใด!
เมื่อเฉินซีเห็นการปรากฏตัวของกลุ่มคนเหล่านี้ ชายหนุ่มก็เข้าใจได้ในทันทีว่าแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนของตระกูลจั่วชิว แต่ก็ไม่ใช่พวกที่มีความสำคัญอันใด
เพียงเท่านั้น ความสนอกสนใจก็เลือนหายไปจนสิ้น เขาโยนสตรีนางนั้นลงบนพื้นก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าขอโทษแล้วก็จงไปซะ”
เสียงทุ้มต่ำสงบนิ่งหากแฝงด้วยความหนักแน่น
เหล่าคนหนุ่มสาวพวกนั้นไม่มีใครที่ไม่นึกหวาดกลัวเฉินซี แต่การจะให้คุกเข่าลงต่อหน้าอีกฝ่ายและยอมรับในความผิดของตนนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน พวกเขาล้วนตระหนักดีถึงรอยร้าวขนาดใหญ่ระหว่างเฉินซีและตระกูลจั่วชิว เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเขาไม่มีทางจะก้มหัวรับผิดต่อศัตรูของตระกูลอย่างเด็ดขาด
แต่ถ้าไม่ทำ…
เมื่อนึกถึงกิตติศัพท์อันเลื่องชื่อของเฉินซี จิตใจก็พลันสั่นระรัว ให้ตายเถิด ทั้งความโกรธขึ้งและหวาดกลัวล้วนปะปนจนยากจะแยก พวกเขาตกอยู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ช่างเป็นความรู้สึกที่ชวนให้เจ็บปวดเหลือคณา
ดวงตาของเฉินซีฉายประกายเยือกเย็น ก่อนจะได้พูดบางอย่างออกไป สายตาพลันเหลือบไปเห็นวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่จากหางตา นั่นทำเขาเลือกที่เงียบไปครู่หนึ่งและไม่พูดอะไรต่อในท้ายที่สุด ชายหนุ่มละสายตาจากศิษย์ตระกูลจั่วชิวก่อนจะหันกลับไปหาวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเอาคืนตระกูลจั่วชิว อีกทั้งการปรากฏตัวของวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่ก็ทำให้ชายหนุ่มกังวลว่าตนจะลากอีกฝ่ายเข้าในความขัดแย้งโดยไม่รู้ตัว
…
“เจ้ากับคนพวกนั้นเป็นปรปักษ์กันมานานแล้วหรือ?” วิปลาสหลิ่วอดไม่ได้ที่จะถาม
“ที่นี่คนเยอะเกินไป ไว้ข้าจะบอกท่านหลังจากนี้” เฉินซีสัมผัสได้ถึงสายตามากมายที่จับจ้องมาตลอดทาง บ้างก็แสดงความประหลาดใจ บ้างก็แสดงความเคารพนบนอบ บ้างก็ดูสนใจใคร่รู้… แน่นอน ย่อมต้องมีหนึ่งในสายตาเหล่านั้นที่ไม่ได้มองมาอย่างประสงค์ดีนัก
ที่นี่คือถนนที่มีคนพลุกพล่านมากที่สุดของเมืองเซียนสัประยุทธ์ ไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องอะไรมากเกินไปเท่าไร
“ถ้าเช่นนั้นไปไหนกันดีเล่า?” วิปลาสหลิ่วเข้าใจได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร เขาเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “หากเจ้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ขอเพียงช่วยหาที่พักธรรมดาๆ ให้พวกเราสองคนก่อนสักหน่อยก็พอ”
เฉินซีส่ายหน้า “ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอกขอรับ”
หลังจากนั้น เฉินซีก็พินิจมองวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาละ ก่อนอื่นข้าจะพาพวกท่านไปซื้อเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นสำหรับการบ่มเพาะ จริงอยู่ที่ในอนาคตพวกท่านจะเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเซวียนหยวน แต่ก็ไม่ควรจะสร้างภาระให้พวกเขาจนเกินไป”
ชายหนุ่มพูดโดยไม่คิดจะรอคำตอบรับหรือปฏิเสธจากอีกฝ่าย และพาคนทั้งสองไปยังใจกลางเมืองที่แสนพลุกพล่าน
ณ ศาลาเซียนคลื่นทองคำ
ในฐานะที่ศาลาเซียนคลื่นทองคำเป็นกลุ่มการค้าที่มีชื่อเสียงโดดเด่นอย่างมากกลุ่มหนึ่งในภพเซียน พวกเขาได้เปิดอีกสาขาหนึ่งในเมืองเซียนสัประยุทธ์ ไม่เพียงเท่านั้น มันยังมีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าร้านค้าไหน ๆ ในเมืองนี้ ดังนั้นลูกค้าส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นเศรษฐีหรือไม่ก็คนสูงศักดิ์
เมื่อเฉินซีพาวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่เข้าไปด้านใน พนักงานต้อนรับสาวใบหน้าหมดจดสองคนที่อยู่ด้านหน้าก็แสดงรอยยิ้มสุภาพออกมาทันที
พวกนางไม่ได้มีท่าทางเหยียดหยันต่อการแต่งกายของวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่แต่อย่างใด การกระทำเช่นนี้แสดงให้เห็นชัดเลยว่าการที่ศาลาเซียนคลื่นทองคำสามารถดำรงอยู่และรุ่งเรืองได้เช่นนี้ไม่ใช่เพราะวาสนา หากแต่เกิดจากการที่พวกเขาอบรมพนักงานได้อย่างเข้มงวดยิ่ง
เมื่อเฉินซีแสดงตรารับรองลูกค้าพิเศษของศาลาเซียนคลื่นทองคำออกมา สตรีสองนางนั้นก็ยิ่งอ่อนน้อมมากขึ้นเช่นเดียวกับรอยยิ้มที่แย้มกว้าง หนึ่งในนั้นโค้งคำนับพวกเขาก่อนจะนำทางเข้าไปยังด้านใน
“คุณชาย ไม่ทราบว่าที่มาในครั้งนี้ท่านต้องการที่จะซื้อของหรือขายของเจ้าคะ” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงนบนอบ
“ข้าจะขายก่อนแล้วจึงจะซื้อ” เฉินซีตอบอย่างเป็นกันเอง ชายหนุ่มได้รับของล้ำค่ามากมายจากสมรภูมิฝันร้าย รวมไปถึงสมบัติอมตะและแร่หายากที่เยอะจนแทบจะกองเป็นภูเขา ของพวกนั้นบางอย่างก็ไม่ได้มีประโยชน์จำเป็นสำหรับเขานัก จึงเป็นการดีกว่าที่จะกำจัดมันออกไป
“เช่นนั้น ข้าน้อยขอเรียนถามได้หรือไม่ว่าคุณชายต้องการจะขายสิ่งใด” ดวงตาของหญิงสาวสว่างวาบ
เฉินซีตอบ “ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง”
เสี่ยวเอ้อร์สาวสามารถแยกแยะได้ทันทีว่าเฉินซีไม่ต้องการที่จะต่อบทสนทนากับนาง ดังนั้น หญิงสาวจึงหันไปหมายพูดคุยกับวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่แทน
นางสวมอาภรณ์ไหมแก้วสีม่วงอ่อน ใบหน้างดงามสอดรับกับผิวขาวผ่อง รูปร่างของนางเพรียวบางอ้อนแอ้น แม้แต่ระดับการบ่มเพาะก็ยังอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับ กระนั้นนางกลับไม่ได้แสดงสีหน้ารังเกียจวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่ที่มีระดับการบ่มเพาะในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นและขอบเขตเซียนปฐพีแต่อย่างไร หญิงสาวยังคงสุภาพและให้ความเคารพแก่คนทั้งสอง ทำเอาวิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่อดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มเก้อเขินออกมาเป็นครั้งคราว
ไม่นานหลังจากที่เสี่ยวเอ้อร์สาวที่เรียกตัวเองว่าจื่ออวี้ พาเฉินซีและคนอื่น ๆ ไปยังจุดหมาย ชีเซียวอวี่ก็กลายเป็นสหายของจื้ออวี้ พวกนางแทนตัวกันและกันเป็นพี่หญิงกับน้องหญิง
เฉินซียังคงเฉยเมยต่อเรื่องที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มรู้ดี สิ่งนี้เป็นเพียงมนตราแห่งอำนาจและเงินทอง แน่นอนโลกมักจะหมุนด้วยสองสิ่งนี้เสมอ เขาไม่จำเป็นจะต้องไปให้ความสนใจแต่อย่างใด
พวกเขามาถึงห้องส่วนตัวที่ประดับตกแต่งด้วยความวิจิตร ภายในนั้นทั้งสว่างและกว้างขวางโอ่อ่า
เมื่อกลุ่มของเฉินซีนั่งลงแล้ว จื่ออวี้ก็ค่อย ๆ นำน้ำชามาบริการก่อนจะหันหลังจากไป ไม่นานนัก นางก็เข้ามาอีกครั้งพร้อมกับผู้ประเมินราคา
“ข้าน้อยนามว่าเซวียนจง ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการขายสิ่งใด?”
ผู้ประเมินราคาเป็นชายชราที่ดูสงวนท่าที เขาไม่ถ่อมตัวและไม่หยิ่งผยอง หากทรงภูมิประหนึ่งผู้รอบรู้ในโลกมนุษย์ มากด้วยสติปัญญาและความผ่าเผย
มันเป็นลักษณะเฉพาะของผู้ประเมินราคาที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน
“มากมายเชียว เห็นทีวันนี้ข้าอาจจะต้องรบกวนเวลาของผู้อาวุโสแล้ว” เฉินซีเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบ ๆ ห้องก่อนจะพูดขึ้นอย่างทีเล่นทีจริง
มากมายอย่างนั้นหรือ? เซวียนจงเตือนทั้งคิ้วขมวด “คุณชาย ที่นี่คือห้องรับรองพิเศษ หากสมบัติที่ท่านต้องการจะขายไม่ใช่ของล้ำค่าหายาก ก็ได้โปรดยกโทษให้ข้าที่ไม่สามารถรับใช้ท่านได้”
เห็นได้ชัดว่าชายชรารู้สึกว่าเฉินซีกำลังจะทำตนเสียเวลาไปกับกองสมบัติธรรมดา
เฉินซียิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ชายหนุ่มไม่ได้ตอบโต้เป็นคำพูดใด ๆ หากสะบัดแขนเสื้อแทนคำตอบ ทันใดนั้นห้องทั้งห้องก็เต็มไปด้วยแสงเรืองรองของสมบัติล้ำค่า รัศมีอันเป็นมงคลของมันเปล่งประกายงดงามราวภาพฝัน
วิปลาสหลิ่วและชีเซียวอวี่ตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาพร่ามัวไปด้วยสมบัติอมตะเกลื่อนกลาด
เสี่ยวเอ้อร์สาวเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นสิ่งนี้ นางรีบยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากแดงที่อ้าค้างของตน ทรวงอกอิ่มเอิบนั้นกระเพื่อมเบา ๆ ด้วยตื่นเต้นเกินกว่าจะสงบอารมณ์ได้
ด้านหน้าของพวกเขาคือสมบัติจำนวนมากมาย พวกมันล้นไปด้วยรัศมีที่แตกต่างหลากหลาย ด้วยประสบการณ์ของหญิงสาว นางสามารถระบุได้คร่าว ๆ ว่าสมบัติส่วนใหญ่ในห้องนั้นล้วนแล้วไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
ในอีกฝากหนึ่ง ผู้ประเมินราคาเซวียนจงรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก เขาหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมาอย่างทะนุถนอมและพินิจพิเคราะห์มันอย่างระมัดระวังก่อนจะพยักหน้า “นี่คือจะงอยปากของเหยี่ยวสุญญะนอกพิภพ ซึ่งสามารถพบได้เฉพาะที่สมรภูมินอกพิภพเท่านั้น เป็นของที่ล้ำค่ามาก”
ครั้นพูดจบ เขาก็หยิบของอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมา “โอ้ นี่คือหญ้านิทราไหมเยือกแข็งจากพิภพทะเลหมอก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบสิ่งนี้ในภพทั้งสามได้ สรรพคุณของมันมหัศจรรย์ลึกล้ำ นับเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? นี่มันผลปัญญากนก! สมุนไพรเซียนนี้สูญพันธุ์จากภพทั้งสามตั้งนานแล้ว ยากยิ่งที่จะได้มันมา มีเพียงกระบวนท่าลับของเผ่าอเวจีทองคำเท่านั้นที่สามารถรวบรวมมันได้!”
“เฮือก! ศิลาสุคนธ์ข่ายนภา! ล้ำค่ามากจริง ๆ!”
“นี่มัน…”
ยิ่งเซวียนจงพิจารณาสมบัติล้ำค่ามากเท่าไร ชายชราก็ยิ่งไม่อาจรักษาท่าทีสงบนิ่งได้มากขึ้นเท่านั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายท่ามกลางเสียงพึมพำที่ดังไม่หยุดหย่อน บางครั้งก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ บางครั้งก็ขมวดคิ้ว หรือไม่ก็ถอนหายใจระบายอารมณ์ในอก… เห็นได้ชัดว่าความสุขุมและทรงภูมิเลือนหายไปจนหมดสิ้น
เฉินซีไม่ได้นึกเย้ยหยันชายชราผู้นั้น กลับกัน เขารู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายในใจ
สมบัติส่วนใหญ่เหล่านี้คืออะไรบ้างเขาแทบไม่รู้จัก ชายหนุ่มอาศัยเพียงแต่จับสัมผัสความแข็งแกร่งที่เล็ดลอดออกมาจากสมบัติอมตะเหล่านี้เพื่อกำหนดคุณภาพของมันเท่านั้น ในส่วนของข้อมูลจำเพาะ ความรู้ของเขาด้อยกว่าเซวียนจงมาก
“ในเมื่อสมบัติเหล่านี้มีค่ายิ่ง เช่นนั้น… เหตุใดเจ้าจึงตั้งใจที่จะขายมันเล่า?” วิปลาสหลิ่วอดไม่ได้ที่จะส่งกระแสปราณถามเฉินซี จริงอยู่ที่เขาไม่รู้ถึงคุณค่าของสมบัติเหล่านั้นทั้งหมด แต่การแสดงออกที่เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจของเซวียนจง ก็พอจะทำให้วิปลาสหลิ่วมองออก
“ข้ามีสมบัติที่ดียิ่งกว่านี้เสียอีก ของเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีประโยชน์สำหรับข้า” เฉินซีส่งกระแสปราณตอบโต้ด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของวิปลาสหลิ่วพลันเบิกกว้าง มุมปากกระตุกกึก อดไม่ได้ที่ถอนใจ เด็กคนนี้ช่างไปไกลเกินกว่าที่ข้าจะเข้าใจโลกของเขาแล้ว…
หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ เซวียนจงก็เงยหน้าขึ้นจากกองสมบัติ ชายชราสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ก่อนจะมองเฉินซีด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไป
“คุณชาย สมบัติเหล่านี้หาได้ยากยิ่งในภพทั้งสาม พวกมันส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นจากนอกพิภพ จริงอยู่ที่ของเหล่านี้คุณภาพไม่สูงนัก แต่ก็นับว่าเป็นของที่หายากยิ่ง ดังนั้นราคาของพวกมันจึงสูงตามไปด้วย” หลังจากพิจารณาแล้ว เซวียนจงไม่กล้าคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะกล้าขายของเหล่านี้จริง ๆ และถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “คุณชาย ท่านตั้งใจจะขายทั้งหมดนี่เลยหรือ?”
เฉินซีตอบอย่างเรียบง่าย “ใช่”
เซวียนจงชะงัก แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “สมบัติเหล่านี้มีจำนวนมากเกินไป หากแลกเป็นศิลาอมตะธรรมดาคงเป็นจำนวนที่มหาศาลอย่างยิ่ง ทั้งนี้หากท่านต้องการแลกเป็นศิลาแก่นแท้อมตะระดับสูง ข้าน้อยก็สามารถประเมินให้อย่างคร่าว ๆ ได้”
“เท่าไหร่?” เฉินซีถาม
“แปดพันขอรับ” เซวียนจงอธิบาย “จำนวนนี้ข้าน้อยประเมินให้อย่างเป็นธรรมแน่นอน หากคุณชายไม่เชื่อ ท่านก็สามารถลองสอบถามที่อื่นดูก่อนได้”
เฉินซีหัวเราะเบา ๆ “บอกตามตรง ข้านั้นเชื่อมั่นในชื่อเสียงของศาลาเซียนคลื่นทองคำอยู่แล้ว แต่ว่า…”
“มีอะไรหรือขอรับ? โปรดบอกข้าน้อยมาเถิด ทุกเรื่องในที่นี้ล้วนแต่สามารถตกลงกันตามต้องการได้” เซวียนจงรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที
เฉินซีไหวไหล่ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องราคาในตอนนี้ ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าคราวนี้ข้าจะขายแค่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เท่านั้น”
ทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ เซวียนจงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ของเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนั้นหรือ? สมบัติอมตะล้ำค่าที่หายากยิ่งในภพทั้งสามเหล่านี้ แท้จริงแล้วเป็นเพียง… ของเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับคนผู้นี้เท่านั้นหรือ?