บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1272 หมอบบนพื้นแล้ววาดวงกลม
บทที่ 1272 หมอบบนพื้นแล้ววาดวงกลม
การที่จั่วชิวจวินกล่าวขึ้นมาเช่นนี้ ย่อมดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเนื้อหาในคำพูดของเขา ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป บางคนยินดีกับความโชคร้ายของเฉินซี ในขณะที่บางคนขมวดคิ้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้ากล่าวเลยสักคน เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการนำภัยมาสู้ตน และต้องรับ ‘การขัดเกลา’ ที่เกรี้ยวกราดจากฉือฉางเซิง
ฉือฉางเซิงเหลือบมองจั่วชิวจวิน ผู้ที่เผยท่าทางเคารพ ก่อนจะเหลือบมองเฉินซี ริมฝีปากที่เหี่ยวแห้งของเขาพลันโค้งเป็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาดอย่างมาก
หัวใจของทุกคนกระตุกวูบทันทีที่เห็นสิ่งนี้ “ตาเฒ่าคนนี้กำลังจะเริ่ม ‘คาบแรก’ ของเขาหรือ?”
จั่วชิวจวินแสดงท่าทีเคารพพร้อมกับก้มหน้าลง ซ่อนสีหน้าเย็นชาและเหี้ยมเกรียม แม้วันนี้จะไม่สามารถฆ่าเฉินซีได้ แต่การได้เห็นเฉินซีทุกข์ทรมานสักครั้งก็นับว่าเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง
ในขณะนี้ เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และย้ำเตือนตัวเองซ้ำ ๆ ไม่ว่าชายชราคนนี้จะทำอะไร เขาจะทำตามที่บอกทุกอย่าง และไม่ต่อต้านแม้แต่น้อย
“ศิษย์สายในทุกคนคงตระหนักดีว่า ข้านั่นเกลียดการถูกขัดจังหวะยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด”
โดยไม่คาดคิด ดวงตาของฉือฉางเซิงจ้องเขม็งไปที่จั่วชิวจวิน ใบหน้าที่ผอมแห้งก็ปกคลุมไปด้วยท่าทางดุร้าย “แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่รู้จักข้าดี จึงทำผิดพลาด”
กระแสเสียงน่าเกรงขาม ทำให้เกิดความกลัวขึ้นในใจของทุกคน ยิ่งกว่านั้น พวกเขาล้วนประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่าจั่วชิวจวินจะขุดหลุมศพและจุดไฟเผาตนเองเช่นนี้
เฉินซีลอบหัวเราะในใจทันที แม้อาจารย์ใหญ่ฝ่ายในคนนี้จะอารมณ์ร้อนและดุร้าย แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นคนดีทีเดียว
สำหรับจั่วชิวจวิน ใบหน้าเย็นชาและเหี้ยมเกรียมพลันแข็งทื่อทันที แล้วเงยหน้าอย่างรวดเร็ว เผยสีหน้าเหลือเชื่อ แล้วจึงโค้งคำนับอีกครั้งพร้อมกับกล่าวอย่างเร่งรีบ “ศิษย์ผู้นี้โง่เขลา ท่านอาจารย์ใหญ่ฉือ โปรดอภัยให้ด้วย !”
คำพูดถ่อมตัวและให้ความเคารพ แต่เจตนาตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าจั่วชิวจวินไม่ใช่คนโง่เขลา แล้วเขาจะกล้าตอบโต้กับผู้อาวุโสที่มีนิสัยแปลกประหลาดคนนี้ได้อย่างไร?
“โอ้ ดีที่เจ้าสามารถตระหนักถึงความผิดของตน มันยังไม่สายเกินไปที่แก้ไข” ฉือฉางเซิงพยักหน้า จากนั้นก็หัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวช้า ๆ “อย่างไรก็ตาม เมื่อทำผิดก็ต้องรับโทษ เอาละ เจ้าไปตรงนั้นก่อน จากนั้นก็หมอบลงบนพื้นแล้ววาดวงกลม ส่วนต้องทำนานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้า”
“วาดวงกลมหรือ?”
ทุกคนต่างหายใจติดขัด ‘น่าชิงชังยิ่งนัก! จะมีใครบ้างที่ทำให้เซียนทองคำผู้ยิ่งใหญ่ต้องมาหมอบลงกับพื้นและวาดวงกลม? หากข่าวนี้แพร่ออกไป เขาจะกลายเป็นตัวตลกของทุกคนในโลกอย่างแน่นอน!’
ร่างกายของจั่วชิวจวินสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง จากหมองคล้ำกลายเป็นซีดเผือด ปากอ้าค้าง และดูตื่นตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านอาจารย์ใหญ่ฉือ นี่…นี่…นี่ ทำไม่ได้… ศิษย์…” จั่วชิวจวินกล่าวตะกุกตะกัก และดูเหมือนเศร้าโศกราวกับโลกกำลังถล่ม
คนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันกับเหตุการณ์นี้ เพราะนี่เป็นตัวอย่างของการคิดร้ายผู้อื่น แต่ดันติดกับดักของตัวเอง
“ไปทำตามที่ข้าสั่งซะ เจ้าคิดว่าฐานะอาจารย์ของข้าเป็นเพียงเครื่องประดับหรือ?” ฉือฉางเซิงจ้องเขม็งไปที่จั่วชิวจวิน และไม่ลังเลที่จะเตะเขา
แม้ดูเหมือนจะเป็นลูกเตะธรรมดา ๆ แต่แท้จริงแล้ว จั่วชิวจวินไม่อาจหลบเลี่ยงมันได้ แรงเตะรุนแรงกว่าที่ตาเห็น ทำให้เขาร้องโหยหวนและกระเด็นไปดั่งสุนัขที่ใกล้ตาย
“เริ่มวาดวงกลมซะ หากเจ้าวาดมันไม่กลมแล้วละก็ ข้าจะตบเจ้า!” ฉือฉางเซิงถ่มน้ำลายด้วยแรงอารมณ์ และเมื่อน้ำลายของเขากระทบพื้น มันก็กลายเป็นหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง
ทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ พลันอ้าปากค้าง “เขาลงมือโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตาเฒ่าคนนี้สมกับชื่อเสียงของเขาจริง ๆ”
สำหรับจั่วชิวจวิน เขาแสดงสีหน้าไม่พอใจ ร่างกายสั่นเทาขณะคลานขึ้นมาอย่างยากลำบาก จากนั้นก็หมอบลงกับพื้นอย่างเชื่อฟังโดยมีสีหน้าหดหู่ ก่อนที่จะขยับปลายนิ้วเคลื่อนไปตามพื้น ทุกครั้งที่วาดวงกลมเสร็จ ใบหน้าเจ้าตัวจะร้อนผ่าว รู้สึกอับอายมากขึ้น
เฉินซีรู้สึกขบขันกับฉากนี้เช่นกัน “การกระทำของฉือฉางเซิงผู้นี้ช่างเหลือเชื่อจริง ๆ และเขาก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉินซีจะเสพสุขไปมากกว่านี้ ดวงตาที่น่ากลัวของฉือฉางเซิงก็จ้องเขม็งมาที่ตน เห็นได้ชัดว่าเป็นลางร้าย
หัวใจของเฉินซีกระตุกวูบ และตื่นตัวทันที
“ก่อนหน้านี้ ข้าถามว่าใครทำได้ดีที่สุดในการสอบเข้าสู่เขตฝ่ายใน แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ก้าวออกมา?” ฉือฉางเซิงเอามือไพล่หลัง พลางเดินช้า ๆ มาตรงหน้าเฉินซี รูปร่างที่ผอมและเตี้ยของชายชรา แทบจะไม่ถึงไหล่ของเฉินซีด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างมาก
เมื่อเห็นสิ่งนี้ สายตาของทุกคนต่างจ้องมองเฉินซีเป็นตาเดียว และลอบถอนหายใจ “ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติใน ‘คาบแรก’ ของตาเฒ่าคนนี้ได้เลย”
“ศิษย์เพียงไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดเด่น ดังนั้นศิษย์จึงไม่ได้ก้าวออกไปขอรับ” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และทำท่าทางเฉยเมย พร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงสงบ
“โอ้?” เปลือกตาของฉือฉางเซิงเลิกขึ้น ในขณะที่รัศมีเย็น ๆ สาดส่องออกมาจากดวงตาของเขา ชายชรามองเฉินซีตั้งแต่หัวจรดเท้า และจ้องเขม็งจนเส้นผมของชายหนุ่มตั้งชัน จากนั้นจึงกล่าวช้า ๆ ว่า “ถ้าอันดับหนึ่งในการสอบเข้าสู่เขตฝ่ายในไม่โดดเด่น แล้วใครโดดเด่น? ถ้าเจ้าไม่โดดเด่น แล้วคนที่อยู่รอบตัวเจ้าเป็นตัวอะไร? ขยะหรือ?”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี่ ฉือฉางเซิงก็ขึ้นเสียง พลางชี้ไปที่ปลายจมูกของเฉินซี แล้วตวาดลั่น “ตามที่เจ้ากล่าว การสอบเข้าสู่เขตฝ่ายในก็คงจะไร้สาระใช่หรือไม่?”
เฉินซีขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนแก้วหูตนเองแทบแตก แต่ท้ายที่สุด เขาก็อดทนกับมันอย่างแข็งขัน และย่นริมฝีปากขณะที่ยังคงเงียบ เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้กำลังบิดเบือนตรรกะและจงใจก่อปัญหา
“ในเมื่อเจ้ารู้ความผิดของตนเองแล้ว ก็ไปวาดวงกลมซะ” เมื่อเห็นว่าเฉินซีไม่ตอบโต้ ดวงตาของฉือฉางเซิงก็หรี่ลง แล้วจึงโบกมือตัดบทในตอนท้าย
“วาดวงกลมอีกแล้วหรือ…”
ทุกคนตกตะลึงกันถ้วนหน้า… เฉินซีซึ่งเป็นศิษย์ใหม่ผู้ได้อันดับหนึ่ง และเป็นอันดับหนึ่งในการสอบของเขตฝ่ายใน กลับถูกสั่งให้วาดวงกลมเช่นนี้ หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปในโลกภายนอก มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าหรอกหรือ?
เมื่อจั่วชิวจวินซึ่งหมอบอยู่กับพื้นได้ยินสิ่งนี้ ความอับอายบนใบหน้าก็บรรเทาลงอย่างมาก ดูเหมือนจะคิดว่าถ้าเขาวาดวงกลมพร้อมกับเฉินซี ถึงแม้ข่าวนี้จะแพร่กระจายออกไป ผู้คนส่วนใหญ่คงมุ่งความสนใจไปที่เฉินซี ไม่ใช่ตน
“ศิษย์ขอปฏิเสธ” ทว่าทุกคนกลับรู้สึกสยดสยองไปถึงส่วนลึกของหัวใจ เพราะเฉินซีตอบปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
“เจ้าปฏิเสธหรือ? ดีมาก! ข้าชอบศิษย์ที่ไม่ยอมแพ้เช่นเจ้าจริง ๆ” ทันใดนั้น ฉือฉางเซิงก็เริ่มหัวเราะแล้วกล่าวว่า “แต่เจ้ารู้ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อปฏิเสธข้าหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ เหล่าศิษย์ต่างตกตะลึงเล็กน้อย เรื่องราวในอดีตก็ปรากฏขึ้นในใจ ในประวัติศาสตร์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า มีศิษย์หลายคนที่ปฏิเสธคำสั่งที่ไม่สมเหตุสมผลของฉือฉางเซิงเช่นเดียวกับเฉินซี
โดยชายชราจะยกเงื่อนไขที่รุนแรงและผิดปกติอย่างยิ่งขึ้นมาสามข้อ ตราบใดที่สามารถทำเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งสำเร็จ การปฏิเสธของศิษย์ผู้นั้นก็จะได้รับการยอมรับ ยิ่งกว่านั้น ยังสามารถผ่าน ‘คาบแรก’ ได้อย่างราบรื่น
“ท่านผู้อาวุโส โปรดชี้แนะด้วย” เฉินซีมีสีหน้าสงบ และไม่สั่นคลอน ราวกับโขดหินที่อยู่ท่ามกลางกระแสน้ำซัดสาด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉือฉางเซิงก็หรี่ตาลงอีกครั้ง พลางจ้องมองเฉินซีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาหลังจากผ่านไปนาน “ดีมาก เจ้าหนู ข้าชักรู้สึกชอบเจ้าขึ้นมาแล้ว เงื่อนไขเบื้องต้น คือเจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม หากเจ้าไม่สามารถทำให้ข้าพอใจได้ ผลที่ตามมาจะเลวร้ายยิ่งกว่าการวาดวงกลม”
เฉินซียังคงเงียบเมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ ชายหนุ่มยังคงสงบและพร้อมที่จะเสี่ยงทุกอย่าง
สหายคนนี้ใจร้อนเกินไปจริง ๆ การถูกตาเฒ่าคนนี้สร้างปัญหาคงไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่… จี้เซวียนปิงพึมพำอยู่ในใจ เขารู้สึกกังวลและชื่นชมเฉินซีอย่างมาก
ตาเฒ่าคนนี้คงไม่ทำเกินไป ข้าเคยได้ยินท่านบรรพบุรุษกล่าวว่า การกระทำของฉือฉางเซิงต่อศิษย์นั่นมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ บางทีทั้งหมดนี้อาจอยู่ในแผนของเขา?… ดวงตาที่สุกใสของจ้าวเมิ่งหลีเปล่งประกายปัญญา และจมอยู่ในห้วงความคิด
สำหรับศิษย์คนอื่น ๆ บางคนรู้สึกสงสารเฉินซี บางคนยินดีกับความโชคร้ายของเขา บางคนเปรียบเทียบตนเองกับสิ่งที่เฉินซีเผชิญอยู่ในขณะนี้ และกังวลเกี่ยวกับ ‘การขัดเกลา’ ที่อาจต้องเผชิญในภายหลัง…
ฉือฉางเซิงไม่รอช้า ชายชราหันกลับไปและชี้ไปยังแท่นศิลาจารึกที่สูงหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ห่างไกลออกไป แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเห็นศิลาที่บันทึกเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงหรือไม่? จงไปที่นั่น และทดสอบพลังของเจ้าซะ หากเจ้าสามารถขึ้นสู่สามสิบอันดับแรกได้ เจ้าก็จะผ่านการทดสอบ”
“ว่าอะไรนะ!”
“ขึ้นสู่สามสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงหรือ?”
ทุกคนต่างตกตะลึง …มันไม่ยากไปหน่อยหรือ? มีศิษย์สายในแปดร้อยคนที่ขอบเขตเซียนทองคำ ซึ่งทุกคนล้วนผ่านการทดสอบต่าง ๆ จนได้รับเลือก และศิษย์ขอบเขตเซียนทองคำจากฝ่ายนอกก็ยังห่างชั้นเกินกว่าจะเทียบกับพวกเขาได้
นอกจากนี้ เหล่าศิษย์ที่สามารถขึ้นสู่เทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงได้นั้น ยังเป็นอันดับต้น ๆ ในหมู่ศิษย์สายใน ณ ปัจจุบัน แต่ฉือฉางเซิงกลับสั่งให้ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสู่เขตฝ่ายในติดสามสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง ซึ่งเงื่อนไขนี้ไม่เพียงแต่ยากเท่านั้น แต่มันยังผิดปกติอีกด้วย!
ทันใดนั้น ทุกคนก็ตระหนักว่าฉือฉางเซิงไม่คิดจะปล่อยโอกาส ‘ขัดเกลา’ เฉินซีไปง่าย ๆ
มีเพียงจั่วชิวจวินที่หมอบอยู่กับพื้นเท่านั้นที่รู้สึกเบิกบาน และคาดการณ์ถึงผลที่เฉินซีกำลังจะต้องเผชิญ …ที่เลวร้ายยิ่งกว่าการวาดวงกลม …มันจะเป็น ‘การขัดเกลา’ แบบใดกัน?
“ถ้ายังกล้าใจลอยอีก ก็จงวาดวงกลมไปอีกสามวันสามคืน” ฉือฉางเซิงขมวดคิ้วพลางตวัดสายตามองจั่วชิวจวิน ทำให้จั่วชิวจวินหวาดกลัวจนปากสั่น ดังนั้นจึงก้มหน้าลงและตั้งใจวาดด้วยความอับอาย และไม่กล้าเสียสมาธิอีกต่อไป
เขาวาดวงกลมด้วยความเกลียดชัง ในใจสาปแช่งเฉินซีอย่างอาฆาตแค้น
เมื่อเผชิญกับเรื่องเหล่านี้ เฉินซีกลับขมวดคิ้ว จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า ชายหนุ่มหยุดอยู่เบื้องหน้าแท่นศิลาจารึกที่สูงหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง และพินิจมันซึ่งอาบไล้ไปด้วยแสงสีทองคลุมเครือ จากนั้นก็หายใจเข้าลึก ๆ และค่อย ๆ กำหมัดเข้าหากัน
ตู้ม!
กระแสปราณเซียนพิสุทธิ์หนาทึบที่ไร้ผู้ใดเปรียบ ถาโถมออกมาจากร่างกายของเฉินซีราวกับคลื่นพายุ มันทำให้อากาศโดยรอบผันผวนและปั่นป่วนอย่างรุนแรง
เฉินซีโคจรการบ่มเพาะจนถึงขีดจำกัด ร่างกายเปล่งแสงสีทองเรืองรอง ประหนึ่งอาบด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์อันลุกโชน ทั้งยังมีกลิ่นอายสง่าผ่าเผยและห้าวหาญ
“นี่เขา…ตั้งใจที่จะพุ่งเข้าสู่เทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงจริง ๆ หรือ!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ทุกคนก็หรี่ตาลง และนอกจากจะรู้สึกตกใจแล้ว พวกเขายังเพ่งสายตาไปยังจุดเดียวกัน
ฉือฉางเซิงก็หรี่ตาลงเช่นกัน รอยยิ้มพลันปรากฏที่มุมปาก “ข้ามักได้ยินคนอื่นกล่าวว่า เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา ข้าจะลองดูว่าเขาจะไม่ธรรมดาอย่างที่ข่าวลือกล่าวกันหรือไม่ และถ้าเขาไม่สามารถตอบสนองความต้องการของข้าได้ละก็… ฮึ่ม! เจ้าเด็กนั้นคงได้แต่โทษตัวเองที่ไม่คู่ควรกับชื่อเสียง!”
โครม!
ในขณะนี้ หมัดของเฉินซีเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่ลุกโชนจนดูจับต้องได้ จากนั้นมันก็ระเบิดพลังอันไร้เทียมทานออกมา กระแทกเข้ากับแท่นศิลาจารึกอย่างรุนแรง ทำให้เกิดเสียงดังกึกก้อง!