บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1274 นักพรตเต๋าชิงเยี่ย
บทที่ 1274 นักพรตเต๋าชิงเยี่ย
เฉินซีรับตราดาราม่วงกลับมา ก่อนที่จะหันหลังกลับและจากไปทันที
เขาไม่ต้องการอยู่กับชายชราฉือฉางเซิงคนนี้อีกต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหาให้แก่ตนเอง
“มองอะไรกันนักกันหนา? มีอะไรให้รู้สึกอิจฉาหรือ? พวกเจ้ามีเวลาคิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะอยากพิสูจน์ความสามารถของตนเองมากนักใช่หรือไม่?
“คนตรงนั้นน่ะ ใช่แล้ว เจ้านั่นแหละ คนที่มีกล้ามหน้าอกไม่เลว! ก้าวออกมาข้างหน้าซะ แล้วใช้หน้าอกของเจ้าทุบศิลาเหล็กกล้าปรภพให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ หนึ่งร้อยก้อน ถ้าไม่ครบไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น!
“โอ้ เจ้ากล้าที่จะหัวเราะหรือ? เจ้าบ่มเพาะในเคล็ดขัดเกลากายาอสูรใช่หรือไม่? ตอนนี้ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก ดังนั้นจงเลือกระหว่างคลานสี่ขาเหมือนหมูแล้ววิ่งรอบเวทีนี้สามสิบรอบ หรือไต่ขึ้นสู่อันดับที่สามสิบในเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง!”
“แน่นอน ว่าปฏิเสธได้! แต่เจ้าควรคำนึงถึงผลที่ตามมาด้วย ดูสหายของพวกเจ้าที่กำลังวาดวงกลมบนพื้นสิ ถ้าเจ้าทำไม่สำเร็จ สิ่งที่ต้องเผชิญจะต้องเลวร้ายยิ่งกว่าเขา!”
หลังจากที่เฉินซีจากไปแล้ว เสียงคำรามที่ไร้ความปรานีของฉือฉางเซิงยังคงดังก้องมาจากระยะไกล ไม่ต่างจากเสียงฟ้าร้องที่ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ทำให้หัวใจของเฉินซีกระตุกอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ฟัง จากนั้นเฉินซีก็ก่นด่าในใจว่า ‘ไอ้เฒ่าตัวแสบ!’ ก่อนที่จะรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ในเวลาเดียวกัน ก็มองผ่านตราดาราม่วงในมือของตน และสังเกตเห็นว่า มีหลักสูตรอื่น ๆ ที่เพิ่มเข้ามาในตราดาราม่วงมากมาย
โดยไล่ตามลำดับ ได้แก่ หลักสูตรการกลั่นโอสถ หลักสูตรการขัดเกลาอุปกรณ์ หลักสูตรหุ่นเชิด หลักสูตรพฤกษศาสตร์ หลักสูตรการฝึกสัตว์อสูร และอื่น ๆ อีกมากมาย หลักสูตรเหล่านี้ทั้งหมด ล้วนสอนโดยหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายใน ศิษย์ฝ่ายในทุกคนสามารถเข้าร่วมได้
แต่หลักสูตรที่สำคัญที่สุดในหมู่พวกมัน คือ หลักสูตร ‘การอธิบายเต๋า’ มันเป็นชั้นเรียนที่หัวหน้าอาจารย์จะสร้างแท่นบวงสรวงเต๋า และบรรยายเกี่ยวกับเต๋า พลางชี้แนะการบ่มเพาะให้กับเหล่าศิษย์ในสำนัก
แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรใด ๆ มันจะต้องจ่ายแต้มดาราจำนวนมากเพื่อเข้าเรียน
นอกจากหลักสูตรแล้ว ยังมีภารกิจใหม่เพิ่มเข้ามากมายในตราดาราม่วง และภารกิจเหล่านี้ประกาศจากภูเขาภารกิจ ทั้งยังมีเพื่อให้ศิษย์สายในสามารถเลือกทำภารกิจได้
เฉินซีมองผ่านพวกมันอย่างคร่าว ๆ ภารกิจเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากในอดีตมากนัก ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือรางวัล เพราะจำนวนแต้มดาราที่จะได้รับนั้นเยอะกว่ามาก แต่แน่นอนว่าความยากของภารกิจก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน
“เมื่อข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้าต้องใช้เวลาฝึกฝนพร้อมกับรวบรวมแต้มดาราให้ได้มากที่สุด”
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะเก็บตราดาราม่วง จากนั้นจึงระบุทิศทางแล้วพุ่งทะยานไกลออกไป
…
ณ เขตฝ่ายใน ตำหนักปัญญาเต๋า
เมื่อเฉินซีมาถึง มีนักพรตเต๋าฝึกหัดที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ม้วนผมขดเป็นมวยรออยู่ที่นั่น
“คารวะศิษย์พี่เฉินซี ข้าคือชิงเยี่ย ท่านอาจารย์ให้ข้ารอท่านอยู่ที่นี่” นักพรตเต๋าฝึกหัดกล่าวด้วยท่าทีสำรวม เขามีดวงตาสีดำสนิทและสุกใส รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา และมีกลิ่นอายที่มีชีวิตชีวาอยู่บนหน้าผากของเขา แต่ดูเหมือนคนผู้นี้จะเขินอายเล็กน้อย จึงรีบก้มศีรษะลง และโค้งคำนับเมื่อเห็นเฉินซี
“อาจารย์ของเจ้าคือ?” เฉินซีจ้องมองชิงเยี่ยอยู่ชั่วครู่ และรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก เพราะชิงเยี่ยก็มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนทองคำเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายยังบริสุทธิ์ มีชีวิตชีวา และอุดมสมบูรณ์ ทำให้ดูไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่เพิ่งพบกับท่านอาจารย์ไม่ใช่หรือ” ชิงเยี่ยตกตะลึง ก่อนจะตอบ
“ฉือฉางเซิง?” เฉินซีเข้าใจในทันที เพราะไม่คาดคิดว่าชิงเยี่ยจะเป็นศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ฝ่ายใน สิทธิพิเศษนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะครอบครองได้
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าอาจารย์หรือผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในสำนัก พวกเขามักจะมีเงื่อนไขในการรับศิษย์ที่รุนแรงมาก ทว่าชิงเยี่ยกลับได้รับความโปรดปรานจากฉือฉางเซิง สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พรสวรรค์ตามธรรมชาติและร่างกายของคนผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่เฉินซี หากท่านไม่มีคำถามใด ๆ แล้ว โปรดตามข้ามาเพื่อเลือกสถานที่บ่มเพาะ” ชิงเยี่ยยิ้มอย่างเขินอาย ก่อนจะนำเฉินซีมุ่งหน้าไปยังตำหนักปัญญาเต๋า
“ชิงเยี่ย เจ้าควรเรียกข้าว่าศิษย์น้องไม่ใช่หรือ” เฉินซีเดินตามและอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ
“ท่านอาจารย์บอกว่า ไม่ว่าข้าจะพบศิษย์คนใด ข้าต้องเรียกพวกเขาว่าศิษย์พี่” ชิงเยี่ยส่ายหัว ซึ่งดูจะมีเหตุผลและเชื่อฟังอย่างยิ่ง
เฉินซีตกตะลึงและกล่าวว่า “มันมีความหมายอะไรหรือไม่?”
ชิงเยี่ยส่ายหัวและกล่าวด้วยความลำบากใจ “เหตุผลก็คือข้านั่นโง่เขลาเกินไป ท่านอาจารย์บอกว่า แค่ยอมรับว่าตนเองโง่เขลา ศิษย์พี่คนอื่นจะไม่รังแกข้า แม้ว่าข้าจะออกจากสำนัก ข้าก็ต้องยอมรับว่าข้าด้อยกว่าคนอื่น ๆ แล้วข้าจะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหามากมายได้”
เฉินซีรู้สึกงุนงงและกล่าวพลางครุ่นคิด “นั่นก็มีเหตุผล แต่เจ้าไม่กังวลหรือว่า คนอื่นจะประณามว่าเจ้าขี้ขลาดหรือแม้แต่จะเย้ยหยันเจ้า”
ดวงตาของชิงเยี่ยเบิกกว้าง พลางกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ในเมื่อข้ายอมรับแล้วว่าข้าโง่ แล้วพวกนั้นจะเย้ยหยันข้าเพื่ออะไร? พวกเขาจะเย้ยหยันว่าข้าโง่? แล้วข้าจะต้องกังวลอะไรอีก?”
ใช่แล้ว เขายอมรับว่าตัวเองโง่เขลา แล้วจะไปหัวเราะเยาะเขาทำไมเล่า?… เฉินซีรู้สึกอึ้งจงกล่าวไม่ออก
ขณะที่พูดคุย ทั้งสองก็มาถึงตำหนักปัญญาเต๋า
โดยปกติแล้ว จะมีอาจารย์คอยอยู่ภายในห้องโถงใหญ่นี้ และดูแลเรื่องต่าง ๆ ของเขตฝ่ายใน เช่น การจัดสรรสถานที่บ่มเพาะ การกระจายกฎของสำนัก และอื่น ๆ เป็นต้น…
เมื่อเฉินซีก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักปัญญาเต๋า ก็เห็นศิษย์สองสามคนเคลื่อนไหวอยู่ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ และทั้งหมดมีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนทองคำ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นศิษย์สายใน
ชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า การบ่มเพาะของศิษย์สายในเหล่านี้ ล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง และแม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุด ก็ยังเทียบได้กับอ๋าวจ้านเป่ย ผู้ซึ่งเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง!
นี่นับเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เพราะศิษย์สายในเป็นกองกำลังหลักของสำนัก พวกเขาล้วนเป็นเหมือนอัจฉริยะจากสวรรค์ ซึ่งมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับเจ้าเหนือหัวในบางทวีป ดังนั้นพวกเขาจึงพิเศษกว่ามาก
เพราะสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งในภพเซียน ซึ่งตั้งตระหง่านมาจนถึงทุกวันนี้ มันจึงคู่ควรกับชื่อเสียงที่มีเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ศิษย์ของเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ก็ยังปรารถนาที่จะเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเพื่อศึกษาเล่าเรียน สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ทรัพยากรและกองกำลังของมันนั้นมีความลึกล้ำเพียงใด
ดังนั้นผู้ที่สามารถเป็นศิษย์สายในของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ย่อมมีฝีมือไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“โอ้? มีคนใหม่มารายงานตัวเร็วขนาดนี้เลยหรือ?”
“ช่างวิเศษจริง ๆ เขาเป็นคนแรกที่ผ่าน ‘การขัดเกลา’ ของอาจารย์ใหญ่ฉือฉางเซิง”
“ฮ่า ฮ่า! พวกเจ้านี่มีตาแต่หามีแววไม่ พวกเจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่า เขาคือศิษย์ใหม่ผู้ได้อันดับหนึ่ง?”
“ที่แท้เขาคือเฉินซีนี่เอง เขาคงเป็นผู้ที่ไต่ขึ้นสู่เทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงก่อนหน้านี้ และเข้าแทนที่อันดับของศิษย์พี่เมิ่งฉีกระมัง?”
ศิษย์หลายคนสังเกตเห็นว่าเฉินซีและชิงเยี่ยเดินเข้ามาด้วยกัน ทุกสายตาจ้องมองมา พลางสนทนากันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด บ้างก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ บ้างก็แลบลิ้นด้วยความชื่นชม บ้างก็เย้ยหยัน บ้างก็สงสัยอย่างยิ่ง
ศิษย์สายในเหล่านี้ ล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีเพียงหนึ่งในล้าน พวกเขาล้วนเย่อหยิ่งและภาคภูมิใจในตนเอง แม้จะไม่สามารถดูแคลนได้ทุกคน แต่ความหยิ่งยโสก็เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขา
เฉินซีขมวดคิ้ว ขณะสังเกตเห็นสายตาหลายคู่ที่จ้องมองอย่างยั่วยุราง ๆ และดูเคลือบแคลงในความแข็งแกร่งของเฉินซีมาก
“ศิษย์พี่เฉินซี มาทางนี้” ชิงเยี่ยดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ และยิ้มให้เฉินซีอย่างเขินอาย ก่อนจะเดินนำตรงไปยังส่วนลึกของห้องโถง
เฉินซีพยักหน้าและหยุดหยั่งพลังฝีมือของศิษย์ที่อยู่รอบ ๆ เขาเคยเจอบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่มันก็ไม่แปลก เพราะเป็นหน้าใหม่ของที่นี่ แม้จะเป็นศิษย์สายในอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่อาจหลีกเลี่ยง ‘ความสงสัยในตัวเขา’ ได้
ทว่าเฉินซีก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าการที่เขานิ่งเงียบ จะยิ่งได้รับคำเยาะเย้ย ดูถูกถากถางและสายตาที่สงสัยมากขึ้น
ถึงขนาดมีคนกล่าววาจาเหยียดหยาม “คนผู้นี้ไม่มีกระดูกสันหลังเลยจริง ๆ เขาเป็นแค่คนขี้ขลาด ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก”
“บางทีเขาอาจไม่ได้เห็นเราอยู่ในสายตาเลยก็ได้”
“ห๊ะ! เขาไม่เห็นเราในสายตาหรือ? นี่เขาคิดว่าที่นี่คือเขตฝ่ายนอกหรืออย่างไร?”
“กล่าวไปก็ไร้ประโยชน์ ไยเจ้าไม่ลองทดสอบฝีมือของเจ้าเด็กนั่นล่ะ? เขาเป็นหน้าใหม่ของที่นี่ ถ้าอยากได้การให้เกียรติ อย่างน้อยก็ต้องแสดงฝีมือบ้าง”
“ตกลง ข้าจะไปทดสอบฝีมือของเขาเอง”
ท่ามกลางการสนทนา จู่ ๆ ชายหนุ่มร่างกำยำก็ก้าวเท้าออกมา และทะยานผ่านอากาศ ก่อนจะยืนขวางเส้นทางของเฉินซี ราวกับภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่อาจเคลื่อนได้
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีคาดไม่ถึง คือชายหนุ่มคนนี้เปิดฉากโจมตีอย่างไม่ลังเล และฟาดฝ่ามือโดยไม่คิดให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว!
โครม!
อากาศที่ว่างเปล่ารอบ ๆ พลุ่งพล่านทันที เมื่อชายหนุ่มร่างกำยำฟาดฝ่ามือออกไป จากนั้นมันก็กลายเป็นหมอกสีขาวที่พวยพุ่งและสว่างไสว กฎของเซียนทองคำแห่งอัคคีและหยางที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นอายร้ายกาจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“ช่างเป็นฝ่ามือหยางทำลายนภาที่น่าเกรงขาม!” มีคนชมเชย เพราะจำได้ว่ากระบวนท่านี้เป็นหนึ่งในท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของชายหนุ่มร่างกำยำผู้นี้
การโจมตีครั้งนี้น่าเกรงขามถึงขีดสุด เมื่อมันถูกใช้ออกไป ก็เหมือนดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มันครอบงำอย่างไร้ที่เปรียบ และการฟาดฝ่ามือที่เรียบง่ายนี้ ก็มีรูปแบบต่าง ๆ มากมายหลอมรวมกันเป็นกฎของเซียนทองคำแห่งอัคคีและหยาง
“ไอ้สารเลวนี่ช่างตรงไปตรงมาจริง ๆ!”
เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างกำยำไม่เพียงกีดขวางเส้นทางของตน แต่ยังโจมตีโดยไม่กล่าววาจาใด ๆ แม้แต่คำเดียว แม้ธรรมชาติของเฉินซีจะเป็นคนรักสงบ แต่ในขณะนี้ความโกรธแล่นเข้าสู่หัวใจอย่างอดไม่ได้
“เจ้าคิดทดสอบฝีมือของข้าหรือ? เจ้ามันไม่คู่ควร!” จู่ ๆ เฉินซีก็ตวาดดังลั่นดุจเสียงฟ้าร้อง และเมื่อเผชิญกับฝ่ามือนี้ ชายหนุ่มก็รวบนิ้วเข้าหากัน ก่อนจะวาดออกไปอย่างดุร้ายปานสายฟ้าฟาด
พลังของกรงเล็บนี้มีพลังงานของตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุ และยังมีร่องรอยของตราศักดิ์สิทธิ์ห้วงมิติแฝงอยู่ภายใน แม้ว่าจะมันดูธรรมดามาก แต่แท้จริงแล้วแฝงด้วยความลึกล้ำอันไร้ขอบเขต และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
โครม!
กรงเล็บของเฉินซีคว้าที่ข้อมือของชายหนุ่มร่างกำยำ และแม่นยำอย่างยิ่ง ทั้งยังเกือบบดขยี้กระดูกข้อมือจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“ฮึ่ม!”
สีหน้าของชายหนุ่มร่างกำยำเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งร่างจะปะทุด้วยแสงสีทองอันไร้ขอบเขต เขาบิดแขนพลันชักกลับ มือซ้ายรวบเข้าหากันเป็นรูปกระบี่ ก่อนจะฟันฉับไปที่คอของเฉินซี เขาตั้งใจจะโจมตีถึงตาย เพื่อพลิกสถานการณ์และหลบหนีจากการจับกุมของอีกฝ่าย
“เจ้ายังดิ้นรนที่จะต่อสู้อีกหรือ?” เมื่อเห็นสิ่งนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซี และมือที่คว้าจับข้อมือของร่างกำยำสั่นเล็กน้อย จากนั้นพลังมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัวได้แล่นเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย ทำให้ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็แผ่ซ่านไปทั่วกาย ทั้งร่างพลันสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
โครม!
ในช่วงเวลาถัดมา เฉินซียกร่างที่กำยำขึ้นลอยเหนือพื้น ก่อนที่จะฟาดลงอย่างรุนแรง จนพื้นแข็ง ๆ ที่ถูกปกคลุมด้วยข้อจำกัดอย่างหนาแน่นส่งเสียงโครมครามออกมา
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ทุกคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างอ้าปากค้าง เพราะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป พวกเขาไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ก่อนที่ชายหนุ่มร่างกำยำจะถูกฟาดลงกับพื้น
อ๊าก!!!
ชายหนุ่มร่างกำยำส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช เขาถูกฟาดกับพื้นจนรู้สึกวิงเวียน ทั้งยังนอนกระตุกอย่างรุนแรงจากความเจ็บปวดที่แสนสาหัส