บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1276 ห้องกระบี่
บทที่ 1276 ห้องกระบี่
ภายในส่วนลึกของตำหนักปัญญาเต๋า
ในที่แห่งนี้ มีกำแพงหยกสูงสิบจั้งตั้งเรียงรายกันอยู่ที่นี่ พื้นผิวเต็มไปด้วยหมอก เห็นเป็นภูเขาจำลองมากมาย โดยภูเขาจำลองเหล่านี้มีขนาดเท่าหัวแม่โป้ง ดูละเอียดอ่อนงดงามราวกับของจริง
หน้ากำแพงหยกคือชายชราชุดสีเทากำลังทำสมาธิอย่างเงียบเชียบอยู่บนเบาะรอง ดวงตาทั้งสองปิดสนิท
เมื่อชิงเยี่ยพาเฉินซีมาถึงที่นี่ เขาก็โค้งคำนับให้ชายชราชุดเทาคนนั้นเล็กน้อย
จากนั้นก็ชี้ไปกำแพงหยก แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ศิษย์พี่เฉินซี เคหาทั้งหนึ่งพันแปดร้อยหลังของฝ่ายในระบุอยู่บนกำแพงหยก เนื่องจากภายในมีปราณเซียนที่แตกต่างกัน พวกมันจะแยกออกเป็นโกลาหล บรรพกาล รังสรรค์ มงคล กำเนิด และอื่น ๆ ศิษย์สายในทั้งหลายจะเลือกเคหาที่เหมาะกับการบ่มเพาะพลังของตนที่สุดมา”
“ตัวอย่างเช่น ศิษย์พี่หญิงหลิงชิงอู๋ฝึกคัมภีร์กำเนิดมหาเซียงเถา นางจึงเลือกเคหาที่มีปราณกำเนิดเพื่อใช้ฝึกฝน”
“แต่หากเป็นศิษย์พี่เยี่ยถังที่ฝึกวิชารังสรรค์วิบัติ เขาก็เลือกเคหาที่มีปราณรังสรรค์”
ชิงเยี่ยอธิบาย เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาผู้นี้รู้จักวิชาบ่มเพาะของบรรดาศิษย์สายในเป็นอย่างดี ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ
“ศิษย์พี่เฉินซี เคหาที่นี่จะไม่เหมือนกับของฝ่ายนอก คุณภาพไม่ค่อยต่าง ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมเป็นหลัก ดังนั้นศิษย์พี่เฉินซีควรเลือกเคหาที่เหมาะกับท่านที่สุด” ชิงเยี่ยขยับไปด้านข้างหลังจากอธิบายหมดแล้ว เปิดโอกาสให้เฉินซีได้ตัดสินใจ
ชายหนุ่มกลับขมวดคิ้วไม่สามารถเลือกได้
ก่อนหน้านี้สมัยอยู่นรกขุมที่เก้า แดนฮุ่นตุ้นของเขาถูกทำลายไป จึงต้องใช้วิธีนอกรีต ใช้เต๋าแห่งยันต์อักขระเพื่อสร้างเส้นปราณและจุดชีพจรทั่วร่างขึ้นมาใหม่ อีกทั้งแม้แดนฮุ่นตุ้นจะกลั่นจากยันต์เทวะเบญจธาตุ แต่ต่อมาเขาก็ไม่ได้เลือกวิชาฝึกอีกเลย
เหตุผลเป็นเพราะเส้นปราณและจุดชีพจร กระทั่งการไหลเวียนของพลังชีวิตในร่างเต็มไปด้วยความลึกล้ำแห่งยันต์ เช่น ธาตุทั้งห้า หยิน หยาง ดารา และกลืนกิน ดังนั้นมันจึงสามารถสั่งงานปราณเซียนหลายประเภทได้ ทำให้เขาไม่ต้องคิดเรื่องวิชาบ่มเพาะเลย เพราะทำไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
ดังนั้นตอนนี้ เคหาทั้งหนึ่งพันแปดร้อยหลังจึงเหมาะกับตนทั้งหมด เขาไม่รู้จะเลือกหลังไหนดี
“ข้าหรือ?” ชิงเยี่ยชะงักไป จากนั้นส่ายหน้าเอ่ยเสียงเบา “ข้าฝึกวิชาทองวิบัติ จึงเลือกเคหาพักที่มีปราณโกลาหลขอรับ”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางภูเขาลูกหนึ่งบนกำแพงหยก พลันเกิดแสงสว่างขึ้นบนภูเขาจำลองช้า ๆ เผยให้เห็นเคหทั้งสามหลังบนนั้น น่าประหลาดใจที่เคหาสองหลังบนนั้นมีชื่อเยี่ยถังและชิงเยี่ยอยู่ ส่วนหลังสุดท้ายยังว่าง
“เคหาหลังนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร?” เฉินซีชี้เคหาที่ยังว่างอยู่
“หลังนั้นหรือ?” ชิงเยี่ยชะงัก จากนั้นเอ่ยว่า “ไม่มีใครสนใจหลังนั้นมานานแล้ว นั่นก็เพราะเคหาหลังนั้นมีปราณรุนแรงเกินไป ทั้งยังมีอยู่หลากหลายประเภท ศิษย์พี่เฉินซี ท่านควรรู้ว่าการใช้ปราณเซียนที่มีหลากหลายลักษณะผสมกันเกินไปไม่ใช่เรื่องดี เพราะต่อไปจะส่งผลถึงการบำเพ็ญเพียรได้”
เฉินซีกลับพูดว่า “ข้าเอาหลังนั้น”
ชิงเยี่ยชะงัก อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่เฉินซี เลือกเคหาแล้ว จะเปลี่ยนไม่ได้อีก ท่านจะไม่กลับไปคิดอีกทีหรือ?”
ชิงเยี่ยเอ่ยเช่นนี้ก็เพราะหวังดี แต่สำหรับเฉินซี เคหาที่ไม่มีใครสนใจหลังนั้นเหมาะกับตนที่สุด ปัญหาเรื่องปราณเซียนรุนแรงเกินไปและมีหลากหลายประเภทเช่นนั้นส่งผลดีต่อการบ่มเพาะพลังอย่างยิ่ง นั่นก็เป็นเพราะเส้นปราณและจุดชีพจรไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป
“ข้าตัดสินใจแล้ว” เฉินซีว่า
ชิงเยี่ยได้แต่มองเฉินซีด้วยสายตาสงสัยและไม่พูดอะไร
“เคหานี้ชื่อว่าห้องกระบี่ จ่ายห้าล้านแต้มดาราต่อปี” ในขณะเดียวกันนั้น ชายชราชุดเทาที่นั่งทำสมาธิอยู่บนเบาะรองก็ลืมตาขึ้น ส่งสายตาเมินเฉยไปทางเฉินซี “หากตัดสินใจได้แล้วก็ส่งตราดาราม่วงมา”
เฉินซีส่งมันไปให้ชายชราตามสั่ง
วิ้ง~
ได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้น เคหานาม ‘ห้องกระบี่’ บนกำแพงหยกก็ปรากฏชื่อเฉินซีขึ้นมา แสดงให้เห็นว่ามันมีเจ้าของใหม่แล้ว
จากนั้นชายชราชุดเทาจึงคืนตราดาราม่วงให้
“ศิษย์น้องชิงเยี่ย พาข้าไปเคหาหลังใหม่ที อ้อใช่ เคหาของเจ้าอยู่ติดกับข้า ต่อไปหากข้ามีปัญหาอะไร คงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยชี้แนะ” เฉินซีพูดยิ้ม ๆ
ชิงเยี่ยพยักหน้าเขิน ๆ “ข้าโง่เขลาเกินไป คงไม่สามารถชี้แนะศิษย์พี่ได้”
“เดี๋ยวก่อน” จังหวะนั้นเอง ชายชราชุดเทาพลันพูดขึ้น จากนั้นก็ดูเหมือนลังเลไม่รู้ควรพูดต่อดีหรือไม่
เฉินซีชะงัก ก่อนจะหันมาป้องมือให้ “ขอทราบว่าผู้อาวุโสมีคำชี้แนะใดหรือไม่?”
ชายชราชุดเทาจ้องเฉินซีอยู่นานก่อนตอบ “เจ้าไม่รู้ประวัติของเคหาหลังนั้นเลยหรือ?”
เฉินซีเลิกคิ้วขึ้นสูง จากนั้นส่ายศีรษะ
“อ้อ ข้าเพิ่งจำได้ว่าเคหาหลังนั้น ห้องกระบี่น่ะ เคยเป็นสถานที่ฝึกวิชาของผู้อาวุโสอวิ๋นฝูเซิงเมื่อหลายปีก่อน แต่หลังจากเขาหายไป ก็ไม่มีใครเลือกเคหาหลังนั้นอีกเลย” ชิงเยี่ยตบหน้าผากตนเองเหมือนพึ่งนึกออก
อวิ๋นฝูเซิง! ห้องกระบี่!
เฉินซีหรี่ตาลงเมื่อได้ยินชื่อในตำนานที่คุ้นหู ไม่ว่าตัวเขาจะไปที่ไหน ก็เหมือนจะได้ยินสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอวิ๋นฝูเซิงอยู่บ่อยครั้ง
“ที่เจ้าว่ามาก็ถูก” ชายชราเผยแววกังวลเล็กน้อย ก่อนจะเล่าอดีตให้ฟัง
กลายเป็นว่านับตั้งแต่อวิ๋นฝูเซิงออกสำนักศึกษาไป ก็ไม่มีใครเลือกเคหานามห้องกระบี่เป็นสถานที่ฝึกอีกเลย
ประการแรกเป็นเพราะปราณเซียนภายในมีความรุนแรงและมีหลากหลาย ประการที่สองเป็นเพราะเมื่อครั้งอวิ๋นฝูเซิงฝึกวิชาเมื่อหลายปีก่อน ได้ทิ้งเต๋ากระบี่ที่ตอนนี้ก็ยังไม่สลายไปไว้หลายอย่าง หากไปฝึกวิชาในเคหาหลังนั้น ก็ต้องระวังถูกเจตจำนงกระบี่โจมตีอยู่ตลอดเวลา
“แน่นอนว่าก็ยังมีหลายคนไม่เชื่อเลือกห้องกระบี่นี้ไปใช้อยู่ หวังว่าจะได้ทำความเข้าใจความลึกล้ำที่อยู่ภายในร่องรอยเต๋ากระบี่ภายในเคหาหลังนั้นบ้าง น่าเสียดายที่สุดท้ายพวกเขาก็ทนไม่ได้ต้องกลับมามือเปล่า บางคนจิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกระทบถึงหนทางบ่มเพาะพลังเลยทีเดียว” ชายชราถอนหายใจ
เฉินซีประหลาดใจและกังวลอยู่บ้างเมื่อได้ยินดังนั้น เพราะไม่คิดว่าเคหาหลังนั้นจะมีอดีตเช่นนั้นมาก่อน
“อาจารย์ลุงหลู เหตุใด… ไม่บอกให้เร็วกว่านี้ หากข้ารู้ล่วงหน้าก็คงไม่ปล่อยให้ศิษย์พี่เฉินซีเลือกเคหาหลังนี้หรอก” ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของชิงเยี่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและกังวล เหมือนปล่อยให้เฉินซีกระโจนเข้ากับดักไปเสียอย่างนั้น
ชายชราได้แต่โบกมือ “ข้าก็เพิ่งนึกได้”
ชิงเยี่ยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เฉินซียั้งเขาไว้ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มให้ชายชราแล้วป้องมือกล่าว “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
พูดจบเขาก็ออกจากตำหนักปัญญาเต๋าไปพร้อมกับชิงเยี่ย
สาบานเลยว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะหลอกสหายน้อยผู้นี้… แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือเป็นเจตจำนงสวรรค์กันแน่? ชายชรามองเฉินซีและชิงเยี่ยจากไปแล้วก็ถอนหายใจออกมา
…
ภูเขาวิถีนภา
ชิ้ง~
ห้วงอากาศเกิดความผันผวน ก่อนเฉินซีและชิงเยี่ยจะปรากฏกายจากอากาศธาตุ
“ศิษย์พี่เฉินซี ท่านดู ที่นี่คือเคหาของข้า” ชิงเยี่ยชี้ไปยังภูเขาวิถีนภาที่อยู่ไกล ๆ แล้วคลี่ยิ้ม
มันเป็นภูเขาสูงเสียดฟ้าที่มีหมอกโรยตัวโดยรอบ เต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ โอบล้อมไปด้วยต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า ภูเขานี้มีความเขียวชอุ่ม อสูรบินมากมายกระพือปีกเหนือท้องฟ้า เป็นภาพที่งดงามเป็นพิเศษทีเดียว
ที่ริมเขาคือหน้าผาเขียวขจี มีเคหาหลังหนึ่งตั้งอยู่ด้านหลัง โอบล้อมด้วยป่าไผ่สีเขียวที่โบกไหวไปตามลม เถาวัลย์แก่เลื้อยไปตามต้นไม้ทำให้ดูมีบรรยากาศเงียบสงบสันโดษแผ่ออกมา
น่าประหลาดที่หินรอบเคหาถูกสลักไว้ด้วยตัวอักษรโบราณอ่านออกว่า ‘ห้องกระบี่’
เฉินซีกวาดตามองมันเล็กน้อยแล้วรู้สึกพึงพอใจ เคหาหลังนี้เหนือกว่าเคหาระดับจักรพรรดิที่เขาอาศัยอยู่ในฝ่ายนอกเล็กน้อย ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยปรานโกลาหลและปราณบรรพกาล แต่ยังมีปราณรังสรรค์ ปราณกำเนิด ปราณมงคล และปราณเซียนประเภทอื่นอยู่อีกหลายอย่าง
“ศิษย์พี่เฉินซี หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน” ชิงเยี่ยป้องมือให้
เฉินซีป้องมือกลับ “ขอบใจมาก ศิษย์น้องชิงเยี่ย”
เขารู้ดีว่าพลังบ่มเพาะของศิษย์สายในย่อมต้องพึ่งความตั้งใจของตนเอง มีห้องเรียนแจ้งไว้ในตราดาราม่วงอยู่ทุกวัน ศิษย์สายในสามารถเข้าเรียนได้ หรือหากอยากปลีกวิเวกบ่มเพาะพลังอยู่ภายในเคหาของตนก็ได้ ไม่ได้มีข้อจำกัดแต่ประการใด
“ศิษย์พี่เยี่ยถังอาจจะกลับจากการออกไปฝึกฝนในโลกภายนอกในอีกสักสองสามวัน ถึงตอนนั้นข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จักกัน อย่างไรบนภูเขาวิถีนภาก็มีเพียงพวกเราสามคนเท่านั้น เราสามารถมาประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้กันในอนาคตได้” ชิงเยี่ยยิ้มก่อนหมุนตัวจากไป
เยี่ยถัง?
เฉินซีอึ้งไป ก่อนจะตกอยู่ในภวังค์ความคิด เยี่ยถังเป็นหนึ่งในหกตะวันอันเจิดจ้าของภพเซียน การได้ทำความรู้จักกับเยี่ยถังอาจเรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ยิ่ง
เมื่อลองครุ่นคิดดูแล้ว เฉินซีจึงเหินร่างไปยังหน้าผานั้น มาถึงด้านหน้าห้องกระบี่
ในที่สุดก็ได้เป็นศิษย์สายในเสียที… เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหยิบตราดาราม่วงออกมาโบกตรงทางเข้าเคหา
ชิ้ง!
ข้อจำกัดไร้รูปร่างพุ่งออกมา จากนั้นประตูที่ปิดแน่นมานานหลายปีก็ส่งเสียงครืน ก่อนจะค่อย ๆ เปิดออกในที่สุด
เฉินซีไม่รอช้ารีบเข้าไปทันที
โดยรอบเคหานี้มีรัศมีเพียงร้อยจั้ง มีเบาะทำสมาธิ แท่นบวงสรวงเต๋า เตียงนอน ชั้นหวังหนังสือ โต๊ะ และของจำเป็นในการบ่มเพาะพลังอีกหลายอย่างล้วนมีอยู่ภายในเคหาอันเรียบง่ายและสะอาดสะอ้านหลังนี้
ฟุบ! ฟุบ!
เมื่อเฉินซีเข้ามาภายในเคหา ก็ได้ยินเสียงคล้ายคลื่นดังมาตามลม มันเป็นหมอกที่เกิดขึ้นจากปราณเซียนหลายประเภท มีทั้งปราณโกลาหลอันลึกลับ ปราณบรรพกาลสีเทา ปราณรังสรรค์กระจ่าง ปราณกำเนิดสีหยก และอื่น ๆ อีกมากมาย พวกมันกลั่นแน่นเข้าด้วยกันเหมือนคลื่นลมหวีดผ่านอากาศ รุนแรงเป็นอย่างมาก
เป็นดั่งที่ศิษย์น้องชิงเยี่ยว่าไว้ ปราณเซียนในเคหาหลังนี้รุนแรงและผสมผสานกันเยอะแยะมากมาย หากเป็นคนธรรมดามาอยู่ที่นี่ก็คงทนแรงกดดันจากปราณเซียนเช่นนี้ไม่ได้ และไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้เลย… แต่ที่นี่กลับเป็นสวรรค์แห่งการบ่มเพาะพลังของข้า เฉินซีกวาดตามองรอบข้าง ยิ่งรู้สึกพึงพอใจกับเคหาที่ตนเลือกมา
ฟึบ!
จังหวะนั้นเอง ปราณกระบี่กระแสหนึ่งก็พุ่งออกมาอย่างรุนแรงจากกลุ่มก้อนปราณเซียน เป็นเหมือนแสงอันเยือกเย็นที่กรีดผ่านห้วงอากาศแล้วดีดตรงมาทางเฉินซี!