บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1281 บ้านเกิดของวิหคอมตะ
บทที่ 1281 บ้านเกิดของวิหคอมตะ
“ฆ่าอย่างไร้ปรานี!”
หัวใจของเฉินซีกระตุกวูบ แต่สีหน้ายังคงสงบเหมือนเดิม เขาเม้มริมฝีปากเงียบ และครุ่นคิดในใจ ‘จ้าวไท่ฉือคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ถึงบอกกับข้าเช่นนี้?’
แต่น่าเสียดาย หลังจากจ้าวไท่ฉือกล่าวคำเหล่านี้ นางก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพียงเดินนำต่อไป จนกระทั่งมาถึงที่เบื้องหน้าต้นเงาทมิฬที่เก่าแก่และหนาถึงหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง
ต้นไม้โบราณนี้สูงตระหง่านเทียมฟ้า ยอดของมันเหมือนร่มที่ปกคลุมทั้งนภา ทำให้เกิดเงาปกคลุมด้านล่าง กิ่งก้านและใบเขียวขจีราวกับหยก และพวกมันเปล่งประกายอย่างน่าพิศวง ทั้งยังเปล่งประกายระยิบระยับ เกิดเป็นฉากที่งดงาม
หากผู้ใดยืนอยู่ตรงหน้ามัน คนผู้นั้นก็คงรู้สึกว่าตัวเล็กเหมือนมด
นี่คือสถานที่ที่จ้าวไท่ฉือปลีกวิเวกอยู่อย่างสันโดษ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬที่ยืนต้นอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน!
เฉินซีรู้สึกประหลาดใจและงุนงง ทั้งยังสัมผัสได้ว่าต้นอ่อนเงาทมิฬในร่างกายนั่นถูกกระตุ้นจนเกิดความโหยหา และดูเหมือนมันจะไม่ต้องการอะไรมากกว่าไปการครอบครองต้นไม้โบราณนี้
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ในทางกลับกัน ‘ต้นไม้’ ที่ยืนต้นอย่างเงียบ ๆ ต่อหน้าพวกเขาก็แกว่งไกวไปมา ราวกับว่าตื่นจากการหลับใหล มันเปล่งแสงสีเขียวมากมายและประกายอันเป็นมงคลซึ่งปกคลุมร่างกายของเฉินซี
ทันใดนั้น เฉินซีก็สัมผัสได้ว่า ต้นอ่อนเงาทมิฬกำลังดูดซับพลังแก่นแท้ของ ‘ต้นไม้’ ที่อยู่ตรงหน้า!
เฉินซีรู้สึกตกตะลึงทันทีและรีบโคจรลมปราณภายในร่างเพื่อยับยั้งต้นอ่อนเงาทมิฬ จากนั้นทุกอย่างก็หยุดลง ทว่าเมื่อมองจ้าวไท่ฉือและจ้าวเมิ่งหลี ทั้งสองกลับไม่มีท่าทางแปลกใจมากนัก
“เห็นหรือไม่?” จ้าวไท่ฉือกล่าวเสียงเรียบ
“เช่นนั้นก็เป็นเรื่องจริง” จ้าวเมิ่งหลีพยักหน้า และแววตาที่จ้องมองเฉินซีก็ส่องประกายมากขึ้น
เฉินซีตกตะลึง “หรือพวกนางรู้ว่าข้ามีต้นอ่อนเงาทมิฬตั้งแต่แรกแล้ว?”
“เจ้าน่าจะรู้ดี ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬได้ถือกำเนิดในช่วงเริ่มต้นของโลกก่อนยุคบรรพกาล และมันเชื่อมต่อภพเซียนกับภพมนุษย์เข้าด้วยกัน ทำให้มันได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดของฟ้าดิน จากนั้นมันก็ล้มตายภายในเหวเงาทมิฬ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้บ่มเพาะของภพมนุษย์จึงต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ ถึงจะสามารถขึ้นมายังภพเซียนได้”
จ้าวไท่ฉือเงยหน้ามองต้นไม้สูงตระหง่านตรงหน้า นางกล่าวช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะและชัดเจน “แต่เจ้าอาจไม่ทราบว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬนั่น… เป็นสถานที่ที่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเผ่าวิหคอมตะของข้าบรรลุเต๋า”
เฉินซีตกตะลึง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬจะมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าวิหคอมตะ
สำหรับบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเผ่าวิหคอมตะนั้น ย่อมคือวิหคอมตะโกลาหลที่แท้จริงตามตำนาน และมันเป็นการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางความโกลาหลในช่วงเริ่มต้นของโลกก่อนยุคบรรพกาล
“ดังนั้นในเผ่าวิหคอมตะของข้า เราจึงถือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬเป็นสุสานบรรพบุรุษมาโดยตลอด โชคร้ายหายนะครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อน ทำให้ผู้คนของเผ่าวิหคอมตะของข้าไม่มีโอกาสได้เห็นสุสานบรรพบุรุษของเราอีกต่อไป” จ้าวไท่ฉือถอนหายใจเบา ๆ ผมสีขาวดุจหิมะของนางปลิวไสวไปตามสายลม ใบหน้าที่อ่อนเยาว์และสวยงามเผยแววเศร้าโศกอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะหายไปในพริบตา
เฉินซีไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจกับเรื่องนี้นัก เพราะแม้ว่าจะเข้าใจบางสิ่งได้ราง ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของตนเอง เช่นเดียวกับขณะนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสุสานบรรพบุรุษที่จ้าวไท่ฉือกล่าวถึง มีความเกี่ยวข้องกับต้นอ่อนเงาทมิฬของเขา สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้มากนัก ทั้งยังเกิดความกังวลในใจ
“ที่ข้าพาเจ้ามาครั้งนี้ ประการแรกเพื่อขอบคุณที่ช่วยชีวิตเมิ่งหลี และประการที่สองเพื่อหยิบยืมต้นอ่อนเงาทมิฬที่เจ้าครอบครองอยู่” จ้าวไท่ฉือหันกลับมาและกล่าวอย่างเฉยเมย ดวงตาที่ลุ่มลึกของนางเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีทอง กำลังจับจ้องไปที่คนหนุ่มตรงหน้า
เฉินซีลอบถอนหายใจ “เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ!”
“แน่นอนว่าเพื่อเป็นการตอบแทน ข้าไม่เพียงแต่จะมอบปีกวิหคอมตะแก่เจ้าเท่านั้น แต่ข้ายังให้โอกาสอันดีแก่เจ้าด้วย!”
ดวงตาที่ลุ่มลึกของจ้าวไท่ฉือส่องประกายแวววาว และดูเหมือนจะอ่านความคิดของเฉินซีออก มุมปากจึงโค้งเป็นรอยยิ้มหยิ่งยโส พลางเอามือไพล่หลัง ขณะกล่าวอย่างใจเย็น “ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬที่อยู่ตรงหน้าเจ้า ข้าเป็นคนปลูกเองกับมือ มันยืนต้นอยู่ที่นี่มาไม่ต่ำกว่าแสนปีแล้ว และปราณเซียนที่มันดูดซับก็เพียงพอสำหรับหล่อเลี้ยงโลกใบใหญ่ไปกว่าหมื่นปี เมื่อข้าคืนต้นอ่อนเงาทมิฬให้กับเจ้า ข้าก็จะมอบต้นไม้นี้เป็นของขวัญแก่เจ้าเช่นกัน”
เฉินซีรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก ทั้งยังคาดไม่ถึงมาก่อนว่าจ้าวไท่ฉือจะยอมจ่ายในราคาที่สูงปานนี้ เพื่อขอหยิบยืมต้นอ่อนเงาทมิฬ
ชายหนุ่มทราบอย่างชัดเจนว่า ด้วยตัวตนและสถานะของจ้าวไท่ฉือ นางไม่จำเป็นอธิบายอะไรให้มากความ และเหตุผลที่นางทำเช่นนี้ ก็เพื่อแสดงความจริงใจว่านางไม่คิดที่จะยึดครองต้นอ่อนเงาทมิฬ
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่านผู้อาวุโส ข้าจะปฏิบัติตามความปรารถนาของท่าน” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงอ้าปาก จากนั้นก็คายแสงสีเขียวขุ่นออกมา ต้นอ่อนเขียวขจีปรากฏอยู่ในแสงสีเขียวที่ส่องประกายระยิบระยับ มันคือต้นอ่อนเงาทมิฬ
หลังจากนั้น เขาก็ถือต้นอ่อนเงาทมิฬด้วยมือทั้งสองข้าง และมอบให้จ้าวไท่ฉือ
จ้าวไท่ฉือรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
แต่หลังจากนั้น สายตาของนางก็จับจ้องไปที่ต้นอ่อนเงาทมิฬ ใบหน้าที่สงบ สง่างาม และสูงส่งก็แฝงด้วยร่องรอยของอารมณ์ที่ซับซ้อน
ไม่ใช่แค่นาง แม้แต่แววตาจ้าวเมิ่งหลีที่อยู่ใกล้เคียงก็ยังดูเลือนรางยามเหม่อมองต้นอ่อนเงาทมิฬ ทั้งยังแฝงเจือไว้ด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก
เป็นเพราะวิหคอมตะเกิดมาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ!
ตามตำนานเล่าขาน การที่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งของเผ่าวิหคอมตะสามารถบรรลุเต๋าได้นั้น เป็นเพราะความช่วยเหลือของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สิ่งมีชีวิตทั้งหมดของเผ่าวิหคอมตะก็ถือว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬเป็นสุสานบรรพบุรุษของพวกตน มันบ่งบอกเป็นนัยว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะมากมายของเผ่าวิหคอมตะมาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ
หลังจากกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุด พวกนางก็ได้เห็นต้นอ่อนที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬได้ทิ้งไว้เมื่อหลายปีก่อนอีกครั้ง ดังนั้นจ้าวไท่ฉือและจ้าวเมิ่งหลีจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงห้วงอารมณ์ที่ก่อตัวในใจได้
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เฉินซีประสานมืออย่างสงบ
“อีกสามเดือนนับจากนี้ กลับมาที่นี่ ข้าจะเตรียมสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับไว้” จ้าวไท่ฉือพยักหน้า
ชายหนุ่มหันหลังกลับและจากไปทันที แต่ยังพึมพำในใจ …เวลาเพียงสามเดือน กลับได้รับปีกวิหคอมตะหนึ่งคู่ และชิ้นส่วนของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬที่เติบโตมาเป็นเวลาหนึ่งแสนปี บรรพบุรุษของเผ่าวิหคอมตะผู้นี้ช่างฟุ่มเฟือยจริง ๆ…
“เด็กน้อยคนนี้ช่างมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ไม่แปลกใจเลยที่ตาเฒ่าฉือฉางเซิงจะทำอะไรไม่ถูก” ขณะที่เฝ้าดูแผ่นหลังของเฉินซีหายลับใน จู่ ๆ จ้าวไท่ฉือก็เริ่มหัวเราะเบา ๆ และถอนหายใจ
“ท่านบรรพบุรุษ เขา… ได้ช่วยข้าไว้ในวันนั้นและยังให้ยืมต้นอ่อนเงาทมิฬอีก ข้ารู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณเขามากมายเหลือเกิน” คิ้วสีดำหมึกของจ้าวเมิ่งหลีขมวดเข้าหากัน ดวงตาสุกใสของนางก็ฉายแววไม่พอใจเล็กน้อย
“เจ้าน่ะหรือเป็นหนี้เขา? ยัยหนู นี่เจ้าคิดว่าปีกวิหคอมตะคู่หนึ่งและต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬที่ข้าปลูกกับมือนั้นไร้ค่า? ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยเจ้าบ่มเพาะ ข้าคงไม่จ่ายราคาที่สูงลิ่วปานนี้” จ้าวไท่ฉือตำหนิพลางยิ้มเบา ๆ
หลังจากนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ค่อย ๆ หายไป และแววตาของนางก็สลัวลง “เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว เด็กคนนั้นคงได้รับประโยชน์มากมาย สิ่งนี้เป็นต้นอ่อนของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ และมีความหมายสำหรับเผ่าวิหคอมตะอย่างมาก… บอกข้าที ถ้าเด็กคนนั้นทำสงครามกับตระกูลจั่วชิวในอนาคต เจ้าจะยุ่งเกี่ยวหรือไม่”
จ้าวเมิ่งหลีตะลึงงัน จากนั้นก็เม้มริมฝีปากสีแดงที่ชุ่มชื้นเบา ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วและจมอยู่ในห้วงความคิดอยู่นาน แล้วจึงกล่าวว่า “คงไม่”
จ้าวไท่ฉือชำเลืองมองจ้าวเมิ่งหลี ดูเหมือนว่านางจะคิดอะไรบางอย่างได้ ดังนั้นจึงเงียบไป “เช่นนั้นก็จงบ่มเพาะอย่างเต็มที่ เจ้าต้องจำไว้ว่าเด็กคนนั้นสามารถครอบครองต้นอ่อนเงาทมิฬ แต่คนอื่น…ไม่สามารถ!”