บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1285 เดินไปตามท้องถนน
บทที่ 1285 เดินไปตามท้องถนน
ทุกคนจำได้อย่างชัดเจนว่า เฉินซีใช้เวลาราวสามเค่อในการขึ้นสู่ด่านที่เจ็ดสิบสองของแดนเซียนสวรรค์มายา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนส่วนใหญ่จึงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทำลายสถิติและประทับชื่อของตนไว้บนศิลาวิถี
เพราะขนาดมู่ต้าวฟู่ซึ่งอยู่ในอันดับสิบ ก็ยังใช้เวลาเพียงสามเค่อและห้าสิบลมหายใจ ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าเฉินซีจะบดขยี้ร่างชุดดำทั้งสามสิบหกร่างในด่านที่เจ็ดสิบสองได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงห้าสิบลมหายใจ
แต่ตอนนี้ ชื่อของเฉินซีได้ปรากฏบนศิลาวิถี และใช้เวลาเพียงสามเค่อกับยี่สิบสี่ลมหายใจ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เฉินซีใช้เวลาเพียงยี่สิบสี่ลมหายใจในการผ่านด่านเจ็ดสิบสองที่ยากที่สุด!
นี่จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจจนไม่อาจรับไหว!
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน แม้แต่หลิงชิงอู๋ก็ยังพิชิตด่านที่เจ็ดสิบสองไม่เร็วเท่านี้!
เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ทุกคนตกใจมาก และแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
“สามเค่อกับยี่สิบสี่ลมหายใจ ช้ากว่าอ้าวหลิงอันดับที่เก้าเพียงสิบสองลมหายใจ… เขาช่างเป็นตัวประหลาดอย่างแท้จริง! ถ้าข้าจำไม่ผิด ตอนนี้เฉินซีอยู่แค่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นกลางใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว มันคือสถิติใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าสังเกตหรือไม่? อันดับของเฉินซีในเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงอยู่ที่อันดับที่สามสิบเท่านั้น นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าพลังฝีมือของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด ทั้งยังรับมือไม่ง่าย!”
“น่าทึ่งจริง ๆ!”
“ในตอนนี้เฉินซีได้สร้างสถิติใหม่ และอยู่ในอันดับที่สิบ ดังนั้นเขาสามารถรับรางวัลพิเศษเป็นแต้มดาราสามล้านแต้มในทุก ๆ เดือน ข้าล่ะรู้สึกอิจฉาเขาจริง ๆ”
ทุกคนพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา และอุทานด้วยความประหลาดใจไม่รู้จบ
มีเพียงเมิ่งฉีเท่านั้นที่ตัวแข็งทื่อ ใบหน้าหม่นหมองอย่างยิ่ง ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ถูกแทนด้วยความไม่เต็มใจ และยังคงเงียบอยู่เป็นเวลานาน
หลัวเซวียนที่อยู่ใกล้เคียง อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอย่างเป็นกังวล เขาจึงอ้าปากเพื่อกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจด้วยไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมเมิ่งฉีอย่างไร
เมื่อดวงจิตแห่งเต๋าถูกครอบงำ ก็เพียงพอที่จะทำให้คนเฉลียวฉลาดกลับกลายเป็นคนหมกมุ่นและโง่เขลาอย่างไร้เหตุผลในบัดดล เช่นเดียวกับเมิ่งฉีในตอนนี้
โอม~
ทันใดนั้น ก็เกิดความผันผวนที่ทางเข้าด่านที่สามสิบเจ็ดจากนั้นร่างอันหล่อเหลาของเฉินซีก็ปรากฏขึ้น
ชายหนุ่มยังคงยืนตัวตรง แต่ดวงตากลับสงบนิ่ง ลุ่มลึกเหมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และใสกระจ่างอย่างแท้จริง
มีเพียงใบหน้าหล่อเหลาเท่านั้นที่ซีดเซียวจนแทบจะโปร่งแสง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้ได้ใช้พลังไปมากกับการท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายา จนตกอยู่ในสภาพอ่อนล้า
เมื่อทุกคนเห็นเฉินซีปรากฏตัว คลื่นเสียงจอแจก็ดังขึ้นจากแท่นบวงสรวง สายตาของคนส่วนใหญ่อดไม่ได้ที่จะแสดงความนับถือและความเคารพอย่างสุดซึ้ง
เห็นได้ชัดว่าการแสดงฝีมือของเฉินซีในดินแดนเซียนสวรรค์มายาทำให้หลายคนชื่นชม
มีเพียงเปลือกตาของหลัวเซวียนเท่านั้นที่กระตุกอย่างอดไม่ได้ เมื่อเห็นอาการของเฉินซี และร่ำร้องอยู่ในใจ “แย่แล้ว! หากเมิ่งฉีเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและลงมือต่อเฉินซีในตอนนี้ แม้มีโอกาสสูงที่เขาจะชนะ แต่ผลที่ตามมาจะเป็นหายนะอย่างแน่นอน!”
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ตนก็รีบยืนขวางเมิ่งฉีทันที เขาเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ เมื่อใดที่เมิ่งฉีลงมือ เขาจะหยุดสหายโดยไม่ลังเล!
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เมิ่งฉีขมวดคิ้วและกล่าวอย่างไม่พอใจ
หัวใจของหลัวเซวียนกระตุกวูบ เขารีบกระซิบเบา ๆ “พอได้แล้ว! ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าอาละวาดเป็นอันขาด!”
เมิ่งฉีขมวดคิ้วและจ้องมองหลัวเซวียนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างหมดความอดทน “ถอยไปซะ เข้าข้างคนอื่นเช่นนี้ ยังกลายเรียกตัวเองว่าเป็นสหายที่ดีอีกหรือ?!”
การโต้เถียงระหว่างทั้งสองได้ดึงดูดความสนใจของคนรอบข้าง หลายคนเริ่มจับจ้องมาที่พวกเขา
ในขณะนี้ เฉินซีสังเกตเห็นหลัวเซวียนกับเมิ่งฉีเช่นกัน และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แต่หัวใจกลับค่อนข้างสงบ เขาแค่รู้สึกว่าคนผู้นี้ชอบสร้างปัญหา และการที่เมิ่งฉีคอยกวนใจตลอดเวลา ช่างเป็นเรื่องน่าปวดหัวอย่างแท้จริง
การบ่มเพาะของเขาในแดนเซียนสวรรค์มายาก่อนหน้านี้ ได้ระบายความคับแค้นในใจจนหมดสิ้น ทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าบริสุทธิ์และมั่นคงมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่รู้สึกหดหู่ใจอีกต่อไป
แต่เขาไม่อยากพัวพันกับเมิ่งฉี จึงหันหลังกลับด้วยความตั้งใจจากไป
“เฉินซี!” ทันใดนั้น เสียงของเมิ่งฉีก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มขมวดคิ้วและหยุดเคลื่อนไหว พลางสำรวจพลังในร่างของตนอย่างเงียบงัน เมื่อเห็นว่ายังมีพลังพอที่จะต่อสู้ จึงวางใจได้อย่างเต็มที่
แต่ในเวลานี้ สีหน้าของหลัวเซวียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบดึงสหายเอาไว้ ก่อนที่จะกล่าวกับเฉินซีว่า “ศิษย์น้องเฉินซี เจ้าเพิ่งผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่ ดังนั้นเจ้าควรรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เฉินซีตกตะลึง และจ้องมองไปที่เมิ่งฉีแทน
“หลบไป! ข้าบอกว่าข้าจะไปสู้กับเขาหรือ?” เมิ่งฉีคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว สะบัดตัวจนหลุดจากการเกาะกุมของหลัวเซวียน จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนสีหน้าจะฉายแววจริงจัง
หลังจากนั้น ภายใต้การจ้องมองของทุกคนที่อยู่ที่นี่ จู่ ๆ เมิ่งฉีก็โค้งคำนับและประสานหมัด “เป็นข้าที่ผิดเอง ข้ายอมรับว่าข้าด้อยกว่าศิษย์น้องเฉินซี ดังนั้นด้วยใจจริง ข้าหวังว่าศิษย์น้องเฉินซีจะไม่ถือโทษต่อการกระทำของข้าก่อนหน้านี้”
ขณะที่กล่าว เขาโค้งคำนับให้เฉินซีอีกครั้งด้วยท่าทางที่สงบ น้ำเสียงจริงใจ ไร้การเสียดสีหรือเสแสร้งใด ๆ
การกระทำที่ผิดปกติเช่นนี้ ไม่เพียงแค่ทำให้เฉินซีตะลึงเท่านั้น แม้แต่หลัวเซวียนก็ยังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ราวกับได้รู้จักตัวตนของสหายผู้นี้เป็นครั้งแรก
สำหรับคนอื่น ๆ ที่อยู่บนแท่นบวงสรวง ทุกคนต่างงุนงงสับสน พวกเขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ แต่ภาพของเมิ่งฉีซึ่งเป็นศิษย์สายในที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ กลับเป็นฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ต่อเฉินซี ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่เขตฝ่ายในก็ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง!
นี่เป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง!
เฉินซีไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น และไม่มีความเกลียดชังที่ฝังรากลึกระหว่างตนกับเมิ่งฉี ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายขอโทษอย่างจริงใจ เขาย่อมไม่ถือสาเรื่องนี้อีกต่อไป จากนั้นจึงประสานหมัดแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ศิษย์พี่เมิ่งฉีช่างเป็นคนใจกว้างอย่างแท้จริง”
ทันทีที่กล่าวจบ เฉินซีก็หันหลังกลับและจากไป
แม้จะยกโทษให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าตนจะเป็นมิตรกับเมิ่งฉี
หลัวเซวียนถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก หลังจากที่ร่างของเฉินซีหายไปจากสายตา เขาก็หันกลับมองไปเมิ่งฉีด้วยความประหลาดใจ “ข้าไม่เคยคาดคิดว่าวันนี้เจ้าจะเข้าใจจริง ๆ”
เมิ่งฉีกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าดูเหมือนคนโง่อย่างนั้นหรือ?”
อันที่จริงเขารู้สึกขมขื่นเล็กน้อย เพราะเมื่อเห็นเฉินซีทำลายสถิติและสามารถผลักมู่ต้าวฟู่ซึ่งอยู่ในอันดับที่ยี่สิบสามบนเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงจากศิลาวิถี จึงทำให้ตระหนักถึงความห่างชั้นระหว่างตนกับเฉินซี
ถ้าไร้สติปัญญา แล้วเขาจะเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และไต่ขึ้นสู่อันดับที่สามสิบของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงได้อย่างไร? แม้ว่านั่น…จะเป็นอดีตไปแล้วก็ตาม
“เช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่ง ข้ากังวลว่าเจ้าจะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและต่อสู้กับเฉินซีเสียแล้ว” หลัวเซวียนตบไหล่เมิ่งฉีและถอนหายใจ “ยังดีที่เจ้าก็สังเกตเห็นเช่นกัน ศิษย์น้องคนใหม่ของเราคนนี้ไม่สามารถตัดสินโดยสามัญสำนึกได้เลย ในเวลาเพียงไม่กี่ปี กลับเติบโตมาจนถึงจุดนี้ แล้วในอนาคตข้างหน้า เขาจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงใด?”
ไม่ใช่แค่เมิ่งฉีที่ไม่สามารถหักล้างคำพูดเหล่านี้ได้ แม้แต่คนอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง พวกเขาพากันถอนหายใจพร้อมกัน
ใช่แล้ว คนอย่างเฉินซีนั้นโดดเด่นเหนือใคร ราวกับถูกชะตาลิขิตให้เกิดมาไม่ธรรมดา
…
ข้อพิพาทได้รับการแก้ไข ท่ามกลางการเปรียบเทียบที่เงียบงันนี้
ถึงอย่างไร มันก็เป็นการแข่งกันเพื่อชิงความแข็งแกร่ง และสิ่งนั้นมันก็สะท้อนให้เห็นบนศิลาวิถีของแดนเซียนสวรรค์มายา
เพราะนั่นคืออันดับสิบ!
มันเป็นความสูงที่ศิษย์สายในส่วนใหญ่ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันเป็นชื่อของเฉินซีที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เขตฝ่ายใน และการบ่มเพาะยังอยู่แค่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นกลางเท่านั้น
…
ณ ภูเขาวิถีนภา ภายในห้องกระบี่
หลังจากกลับมา เฉินซีก็นั่งทำสมาธิอย่างเงียบ ๆ
การท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายาก่อนหน้านี้ ทำให้ชายหนุ่มหมดเรี่ยวแรงไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่อยู่บนด่านที่เจ็ดสิบสองเขาใช้ปราณกระบี่ที่มีเศษเสี้ยวของขอบเขตเซียนกระบี่ ทำให้พละกำลังในกายเกือบหมดสิ้น ประกอบกับความจริงที่ว่า เขาไม่มีต้นอ่อนเงาทมิฬที่คอยเติมเต็มปราณเซียนพิสุทธิ์ จึงรู้สึกเหนื่อยล้ากว่าที่เคย
ทว่าการขัดเกลาก่อนหน้านี้ก็นับบว่าคุ้มค่า ประการแรก เขาได้ขจัดความหดหู่ในใจ และไม่ถูกรบกวนจิตใจจากเรื่องของนิกายอำนาจเทวะอีกต่อไป ทำให้ความคิดกลับมาปลอดโปร่งเช่นเดิม
ประการที่สอง เขาได้สร้างสถิติใหม่ แม้ว่าจะเป็นเพียงอันดับสิบบนศิลาวิถี แต่ตราบใดที่อันดับไม่เปลี่ยนแปลง ในอนาคต เขาจะได้รับแต้มดาราสามล้านแต้มทุก ๆ เดือน
นอกจากนี้ ถ้าสามารถรักษาอันดับหนึ่งในสามสิบหกอันดับแรกของแดนเซียนสวรรค์มายาไว้ได้ เขาก็จะได้รับรางวัลเป็นแต้มตาราหนึ่งล้านแต้มทุกเดือน
ความสำเร็จทั้งสองนี้ ทำให้เขาได้แต้มดาราทั้งหมดสี่ล้านแต้มในทุกเดือน โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
หากรวมรางวัลรายเดือนอีกหนึ่งล้านแต้มดารา จากการเป็นอันดับที่สามสิบของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงแล้ว เขาจะได้รับแต้มดาราห้าล้านแต้มทุกเดือน!
‘ตอนนี้ข้าไม่มีต้นอ่อนเงาทมิฬอยู่กับตัว แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าใดนัก ข้าสามารถคว้าโอกาสสามเดือนนี้เพื่อบ่มเพาะพลัง แล้วใช้แดนเซียนสวรรค์มายาเพื่อขัดเกลาและทะลวงขีดจำกัดของการบ่มเพาะ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบรรลุขอบเซียนทองคำขั้นสูงในอนาคตอย่างแน่นอน’
‘นอกจากนั้น ถ้าข้าสามารถทำลายสถิติบนศิลาวิถีได้อย่างต่อเนื่อง และไต่อันดับสูงขึ้นไป จำนวนแต้มดาราที่ข้าจะได้รับในแต่ละเดือนก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล อาจกล่าวได้ว่า เป็นการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว’
เฉินซีทำสมาธิในขณะที่ครุ่นคิดอยู่ในใจ
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาขมวดคิ้ว คือการจ่ายค่าธรรมเนียมหนึ่งล้านแปดแสนแต้มดาราทุกครั้งที่เข้าสู่แดนเซียนสวรรค์มายา มันถือว่าเป็นแต้มดาราจำนวนมหาศาล
ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่สายเกินไปที่จะท้าทายแดนเซียนสวรรค์มายา หลังจากที่การบ่มเพาะของข้าแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง มิฉะนั้น ข้าจะเสียแต้มดาราไปโดยเปล่าประโยชน์…
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ในที่สุด เฉินซีก็วางแผนสิ่งที่จะทำในอนาคตเสร็จสิ้น ดังนั้นจึงรู้สึกผ่อนคลาย และละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในใจไปจนสิ้น จากนั้นก็จมอยู่กับการทำสมาธิอย่างลึกซึ้งโดยสมบูรณ์
ในเวลาเดียวกัน เจ้าตัวเล็กแปลกหน้าทั้งสามก็มาถึงถนนที่จอแจของเมืองเซียนสัประยุทธ์ และพวกเขาก็ดึงดูดความสนใจจากสายตานับไม่ถ้วนไปตลอดทาง
เพราะมันคือหมีน้อยขนสีทองที่ไร้เดียงสาและน่าเอ็นดู ซึ่งกำลังกินแตงโมลูกใหญ่อย่างสบายใจขณะที่เดินไปตามท้องถนน
บนไหล่ของหมีน้อยมีสัตว์ตัวเล็กขนปุยราวกับหิมะอยู่บนนั้น มันกำลังมองแตงโมในมือของหมีน้อยขนสีทองด้วยสายตาเว้าวอน น้ำลายไหลจนขนปุยเปียกเป็นหย่อม
นอกจากนั้น ก็มีคนตัวเล็กที่สูงราวสี่ชุ่น นั่งอยู่บนหลังของสัตว์สีขาวตัวนั้นอีกที คนตัวเล็กนั่นมีรูปลักษณ์หล่อเหลาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สวมเสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะ เขาเอามือกอดอกเอาไว้ ขณะหลับตาลง ราวกับกำลังหลับใหล ทว่าร่างกายกลับแผ่กลิ่นอายเย็นชาและภาคภูมิใจออกมา
เมื่อเจ้าตัวเล็กทั้งสามเดินไปตามท้องถนนที่พลุกพล่านและจอแจด้วยกัน พวกเขาก็ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมายทันที