บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1288 หุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด
บทที่ 1288 หุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด
ทุกคนในภัตตาคารอึ้ง ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดสหายน้อยแปลกประหลาดพวกนี้ถึงได้ดูสุขุมนัก กลายเป็นว่าก็เพราะมีความมั่นใจนั่นเอง!
เช่นนี้ สถานการณ์ที่ภัตตาคารเซียนเสน่หาต้องเผชิญจึงยากลำบากเล็กน้อย…
ตอนนี้หน้าผากชายชราในชุดลายปักหลั่งเหงื่อเย็น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ไม่หลงเหลือท่าทีสง่างามเช่นเซียนทองคำอีกต่อไป
เขามองหลิงไป๋ด้วยท่าทางเหมือนจะร้องไห้เต็มที พลางเอ่ยขอโทษด้วยเสียงสั่นไม่หยุด พร้อมกับชื่นชมหลิงไป๋อย่างถึงที่สุด เหลือแค่ยังไม่ได้คุกเข่าขอโทษเท่านั้น
หลิงไป๋ไม่สนใจ วันนี้เขาทั้งหิวทั้งโกรธ ชายแก่ผู้นี้ทำเอาหมดอารมณ์ คิดหรือว่าเขาจะปล่อยไปง่าย ๆ ?
หากไม่แสดงเหล็กทมิฬแก่นแท้หิมะและเอ่ยนามเฉินซี ตาแก่ผู้นี้จะยอมขอโทษเช่นนี้หรือไม่?
เมื่อพวกเขาเห็นหลิงไป๋ดูไม่ยอมและคงท่าทีเย่อหยิ่งอยู่ คนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าหลิงไป๋ทำเกินไปแต่อย่างใด ผู้ดูแลร้านคนนั้นผิดเองที่ตาไร้แวว
ท่ามกลางบรรยากาศร้อนระอุนี้เอง น้ำเสียงน่าฟังพลันดังขึ้นมาจากนอกร้าน “หลิงไป๋ อาหมาน ไป๋คุย?”
เจ้าของเสียงคือร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาที่ปรากฏกายภายในภัตตาคาร เขามีร่างสูง นัยน์ตาล้ำลึกเหมือนดวงดาว และท่าทีเมินเฉยไม่ธรรมดา คนผู้นี้คือเฉินซีนั่นเอง
ทุกคนตกตะลึง!
ไม่มีใครคิดว่าผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างเฉินซีจะปรากฏตัวรวดเร็วเช่นนี้ เพราะมีคนกล่าวชื่อเขาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ตัวคนก็มาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าสหายน้อยทั้งสามนี้มีความสำคัญต่อเขาเพียงใด ไม่เช่นนั้นเวลากระชั้นชิดแค่นี้เจ้าตัวคงไม่รีบมาเป็นแน่
โบร๋ว!
ไป๋คุยที่เดิมทีนอนเอื่อยเฉื่อยไม่สนใจใครพลันแปลงร่างเป็นเงาสีขาว พริบตาต่อมาก็แวบไปอยู่บนไหล่เฉินซี พร้อมถูศีรษะนุ่มฟูเข้ากับแก้มของอีกฝ่ายอย่างมีความสุข ดูจะสนิทสนมอย่างยิ่ง
“เฉินซี ในที่สุดก็เจอเจ้าสักที” อาหมานเดินเข้ามาอ้าแขนอ้วนออกกว้างแล้วกอดเฉินซีเหมือนหมีโอบ หากไม่ใช่เพราะถูกยั้งไว้ มันก็เกือบจะปีนไหล่เฉินซีเหมือนไป๋คุยแล้ว
เฉินซียิ้มดวงตาเป็นประกาย เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสุขใจ
เขาขึ้นภพเซียนมานานหลายปี คิดถึงเจ้าพวกนี้อยู่หลายครั้ง ตอนนี้ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าตอนนี้เขาสุขใจแค่ไหนที่บังเอิญได้กลับมารวมตัวกันเช่นนี้
ความสุขสี่อย่างในชีวิต ฝนเย็นฉ่ำหลังแล้งมานาน กลับมาพบสหายหลังจากบ้านไปไกล คืนแต่งงาน และความสำเร็จ เฉินซีเพิ่งจะได้กลับมาพบสหายหลังจากบ้านไปไกลก็ตอนนี้
ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีดูสนิทสนมกับสหายน้อยทั้งสามเช่นนี้ ทุกคนก็ได้แต่ส่งสายตาเวทนาไปทางชายชราและเหล่าผู้ดูแล
หากเป็นเพื่อนธรรมดา บางทีก็อาจมีช่องให้แก้สถานการณ์ได้บ้าง แต่หากสนิทสนมเช่นนี้ มีหรือเฉินซีจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้?
แต่ต่อให้เป็นผู้อื่น แต่หากพวกเขาเห็นสหายถูกรังแกก็คงไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปแน่!
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกประหลาดจากรอบข้าง และเห็นว่าเฉินซีสนิทสนมกับคนเหล่านี้เพียงใด ชายชราและคนอื่น ๆ ก็นิ่งงัน หน้าผากหลั่งเหงื่อเย็น เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว
ไม่นานเฉินซีก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาด ชายหนุ่มมุ่นคิ้วมองหลิงไป๋ “พวกเจ้าถูกรังแกหรือ?”
สิ้นคำนั้น ใจชายชราก็กระตุก รีบรุดไปข้างหน้าก่อนโค้งให้ “คุณชายเฉินซี…”
พูดยังไม่ทันจบเฉินซีก็ขัดขึ้นมาว่า “ข้ากำลังถามสหายข้า ท่านหุบปากไปก่อนเถอะ รู้สถานะตนเสียบ้าง”
ตรงไปตรงมายิ่ง…
แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าแปลก เพราะทุกคนต่างคิดตรงกันว่าต่อให้เฉินซีพังภัตตาคารแบบไม่ถามอะไรสักคำก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกด้วยซ้ำ
หลิงไป๋เหลือบมองชายชราด้วยสายตาเย็นชา “เปล่า ก็แค่ข้าหมดอารมณ์จะกินข้าวเพราะเจ้าพวกบัดซบพวกนี้เท่านั้น”
“อ้อ” เฉินซีตอบ จากนั้นลากสายตาไปมองเสี่ยวเอ้อร์ที่นอนครวญครางอยู่กับพื้น ตอนเข้ามาก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าอาหมานนั่งอยู่บนร่างเสี่ยวเอ้อร์คนนี้ คงจะเป็นเจ้านี่กระมังที่ล่วงเกินหลิงไป๋
เฉินซีรู้จักนิสัยหลิงไป๋ดี สหายน้อยแยกรักและชังออกจากกันอย่างชัดเจน ผู้ใดทำสิ่งใดมา เขาก็จะทำสิ่งนั้นตอบ
“ศิษย์น้องเฉินซี ช่วยไว้หน้าข้าแล้วให้อภัยคนเหล่านี้สักครั้งได้หรือไม่?” ทันใดนั้น หลัวเซวียนก็ยืนขึ้นและเดินมาด้านข้างเฉินซีพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน หลังพูดจบก็ส่งเสียงผ่านกระแสปราณว่า “บอกเจ้าตามตรง ครึ่งหนึ่งของภัตตาคารเซียนเสน่หานี้เป็นของศาลาเซียนคลื่นทองคำของข้า เป็นความผิดเสี่ยวเอ้อร์คนนี้ที่ทำตัวไร้มารยาท ข้าจะให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับเจ้าแน่หลังจากจัดการเรื่องที่นี่แล้ว”
หลัวเซวียนยิ้มบาง เหมือนเป็นการยอมรับโดยนัย
ก่อนหน้านี้เฉินซีปิดด่านบ่มเพาะอยู่ภายในเคหา ศิษย์สายในคนหนึ่งขอเข้าพบและแจ้งเรื่องที่นี่ให้ฟัง เขาถึงได้รีบรุดมาทันเวลา
“หลิงไป๋ เจ้าคิดอย่างไร?” เฉินซีหันไปมองหลิงไป๋ หลัวเซวียนช่วยเหลือเจ้าตัวทางอ้อม แต่หลิงไป๋และคนอื่น ๆ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ดังนั้นจึงต้องถามความคิดเห็นหลิงไป๋เสียก่อน
หากหลิงไป๋ไม่เอาด้วย เขาย่อมไม่ไว้หน้าหลัวเซวียน ส่วนบุญคุณเล็กน้อยที่ติดค้างก่อนหน้านี้ ย่อมหาทางใช้คืนทีหลัง
ชายหนุ่มพูดจบ ชายชราและคนอื่น ๆ ก็มองหลิงไป๋ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ใช้สายตาขอร้องอ้อนวอน
หลิงไป๋ไหวไหล่ถอนใจ “ข้าแค่อยากกินให้หายหิวเท่านั้น”
ชายชราได้ยินจึงรีบพูด “ได้สิขอรับ ข้าจะจัดหาปรมาจารย์พ่อครัววิญญาณขั้นสุดยอดในร้านมาทำอาหารชั้นยอดเป็นการชดใช้เอง”
หลิงไป๋กลับเอ่ยเสียงเย็น “พวกเจ้าทำข้าหมดอารมณ์กินข้าวแล้ว ใครจะยังอยากอยู่ที่นี่ต่อ?” พูดถึงตรงนี้เขาก็หันไปหาเฉินซี “ถ้าจะเอา ข้าอยากกินฝีมือเฉินซีมากกว่า”
คำพูดเหล่านี้พูดด้วยท่าทีที่หยิ่งผยองและมั่นใจนัก อาหมานกับไป๋คุยเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
เฉินซีหัวเราะทันที ก่อนหันไปป้องมือให้หลัวเซวียน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องขอตัว ลาก่อน”
ว่าจบก็ไม่มองชายชราอีก ชายหนุ่มออกจากร้านไปพร้อมกับสหายน้อยทั้งสาม
ได้เห็นภาพเช่นนี้ ทุกคนสัมผัสได้ราง ๆ ว่าต่อไปเฉินซีคงไม่ย่างกรายเข้ามาในภัตตาคารเซียนเสน่หาอีก…
แต่นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดของภัตตาคารเซียนเสน่หาแล้ว เพราะหากเฉินซีโกรธขึ้นมา ภัตตาคารเซียนเสน่หาก็คงทำกิจการในเมืองเซียนสัประยุทธ์ไม่ได้อีกเป็นแน่!
“ขอบคุณคุณชายหลัวเซวียนที่ช่วยเราในครั้งนี้ ขอบคุณอย่างไรก็คงไม่พอจริง ๆ ” ชายชราถอนหายใจยาว เหมือนเพิ่งรอดพ้นความตายมาหยก ๆ ตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออกแล้ว ได้แต่คำนับและเอ่ยขอบคุณหลัวเซวียน ท่าทางใกล้จะร้องไห้เต็มทน
ผู้ดูแลและผู้คุ้มกันคนอื่น ๆ ก็หันไปโค้งคำนับขอบคุณหลัวเซวียนด้วย
“ดูแลคนของตัวเองให้ดี ข้าช่วยเจ้าได้ครั้งหนึ่ง แต่จะให้ช่วยตลอดไม่ได้” หลัวเซวียนส่ายหน้าก่อนจากไป
เขากำลังคิดว่าจะต้องทำอย่างไรเฉินซีจึงจะพอใจและยอมยกโทษให้ภัตตาคารเซียนเสน่หาได้
ไม่เพียงเท่านั้น ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของนายท่านแห่งศาลาเซียนคลื่นทองคำ หลัวเซวียนอยากฉวยโอกาสนี้ผูกไมตรีกับเฉินซี หากมีสัมพันธ์อันดีกับอีกฝ่ายไว้ย่อมเป็นเรื่องดี
เพราะในอนาคตเขาต้องรับช่วงต่อศาลาเซียนคลื่นทองคำ ศาลาเซียนคลื่นทองคำที่หาได้ทั่วไปในภพเซียนยังรั้งอยู่จนถึงตอนนี้ได้ ไม่ใช่เพราะความมั่งคั่งและกิจการหลากหลายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเส้นสายความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นด้วย
ในความคิดหลัวเซวียน เขาจะผูกมิตรกับยอดอัจฉริยะเช่นเฉินซีไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก่อนอื่นคือเฉินซีต้องเต็มใจด้วย
ตอนนี้เฉินซีไม่ขาดสิ่งใด เรื่องกังวลมีเพียงตระกูลจั่วชิว ไม่แน่ว่าข้าอาจจะรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตระกูลจั่วชิวมาและเริ่มสร้างไมตรีกับเฉินซีได้… ระหว่างที่เดินไปเขาก็คิดไปในใจด้วย สำหรับคนตระกูลพ่อค้าอย่างหลัวเซวียน ที่ไม่ขาดคือความสามารถทางสังคม การมอบสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการเป็นเรื่องพื้นฐานในการสานสัมพันธ์กับใครสักคน
…
สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าห้ามไม่ให้สหายและครอบครัวเข้ามาภายใน แต่ไม่ได้ห้ามอสูรเซียน
แม้เฉินซีจะไม่ได้มองหลิงไป๋ อาหมาน และไป๋คุยเป็นอสูรเซียน แต่ในสายตาคนอื่นก็ยังเป็นอสูรเซียนอยู่ดี
ดังนั้นเฉินซีจึงพาสหายน้อยทั้งสามเข้าสำนักมาได้อย่างราบรื่น
“ศิษย์พี่เฉินซี!”
“ศิษย์พี่เฉินซี! อ๊ะ! เป็นสหายน้อยที่หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก ศิษย์พี่เฉินซี คนเหล่านี้คืออสูรเซียนของท่านหรือ?”
“โอ้ เลี้ยงอสูรเซียนทีเดียวสามตัวเลย ศิษย์พี่เฉินซีไม่ธรรมดาจริง ๆ”
ตลอดทางนั้นมีศิษย์หลายคนคำนับทักทายเฉินซี เมื่อเห็นสหายน้อยทั้งสามข้างกายก็ย่อมเอ่ยชม
น่าเสียดายที่การกระทำเหล่านี้ทำให้หลิงไป๋ได้แต่กลอกตา ใบหน้าหล่อเหลามืดครึ้ม สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “เฉินซี ศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเจ้านี่ตื้นเขินเสียจริง ข้าหน้าตาเหมือนอสูรเซียนหรืออย่างไร? มีอสูรเซียนที่ไหนหน้าตาอย่างข้าด้วยหรือ? ช่างเป็นพวกไม่รู้ความเอาเสียเลย”
เฉินซีได้ยินหลิงไป๋บ่นกลับยิ้มออกมาแทน รู้สึกเหมือนกลับไปเมื่อครั้งอยู่แดนภวังค์ทมิฬอีกครั้ง
เฉินซีนึกบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “เออใช่ แล้วแม่นางเจิ้น ซางจือ และมู่ขุยเล่า?”
“ย่อมอยู่ที่หุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืด เราได้ความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์จึงรอดมาได้อย่างยากลำบาก เขาทำลายด่านหุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดแล้วส่งเรากลับมายังสามภพ” หลิงไป๋พูดไปยิ้มไป
เฉินซีเคยได้ยินชื่อหุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดมาก่อน ก่อนหน้าที่จะมาภพเซียน เจิ้นหลิวชิงเคยสัญญาไว้ว่านางจะพาสหายเขาไปภพเซียนกับนางด้วย
แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของหุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดเลย ดังนั้นจึงไม่อาจพบหน้าเจิ้นหลิวชิงและคนอื่น ๆ ได้
เฉินซีถาม “หลิงไป๋ หุบเหวศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดอยู่ที่ใดกันแน่?”