บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1294 อำนาจเทวะลืมอารมณ์
บทที่ 1294 อำนาจเทวะลืมอารมณ์
เฉินซี? ฉือฉางเซิงมุ่นคิ้วเอ่ยเสียงไม่พอใจ “ในเมื่อพวกเขาเอ่ยชื่อเฉินซีว่าต้องเข้าร่วม เราก็ต้องทำตามเช่นนั้นหรือ? พวกนั้นมองตัวเองสูงส่งนักหรือไง?”
หวังต้าวหลูยิ้มขื่น เอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “แต่จะส่งศิษย์ใหม่ไปเข้าการถกวิถีเต๋าก็ไม่เหมาะเท่าไหร่กระมัง? หากแพ้การถกวิถีเต๋าขึ้นมาก็จะกระทบถึงชื่อเสียงสำนักเรา”
ฉือฉางเซิงเหลือบมองหวังต้าวหลู จากนั้นใบหน้าผอมก็ฉายแววเย่อหยิ่งออกมายามหัวเราะเสียงเย็น “ข้าแค่อยากให้อีกหกสำนักรู้ก็เท่านั้นว่า ถึงเราจะส่งศิษย์ใหม่ออกไปก็สามารถบดขยี้พวกเขาได้!”
หวังต้าวหลูชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็อ้าปากค้าง ไม่คิดเลยว่าตาแก่ผู้นี้ตั้งใจไว้เช่นนี้ หากทำสำเร็จจริงจะถือว่าเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของอีกหกสำนักครั้งใหญ่ทีเดียว
แต่ว่า…
สุดท้ายก็ยังเสี่ยงอยู่ดี!
หากล้มเหลวก็จะส่งผลต่อชื่อเสียงของสำนักเป็นอย่างมาก ถึงตอนนั้นโลกภายนอกก็ไม่สนหรอกว่าพวกเขาส่งศิษย์อาวุโสหรือศิษย์ใหม่ไป
“อย่างไรเฉินซีก็ต้องเข้าร่วมด้วย” ทันใดนั้นจั่วชิวไท่อู่ที่เงียบมาโดยตลอดก็เอ่ยขึ้นเสียงเนิบช้า
ฉือฉางเซิงหรี่ตาลงเมื่อได้ยินจั่วชิวไท่อู่ ก่อนถามขึ้น “ผู้เฒ่าจั่วชิวล้อข้าเล่นแล้วกระมัง?”
เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของจั่วชิวไท่อู่สูงมาก
จั่วชิวไท่อู่ไม่ตอบ แต่พูดเรื่องอื่นแทน “ครั้งนี้หกสำนักต้องเตรียมตัวมาอย่างดีแน่ ได้ยินว่ามีผู้สูงส่งในหมู่พวกเขาที่ไม่ด้อยไปกว่าว่านเจี้ยนเซิงสำนักศึกษานภาไพศาลเลยทีเดียว”
ว่าแล้วก็หยิบแผ่นหยกหนึ่งยื่นให้ “พวกเจ้าทั้งสองจงดู เมื่อภูเขาหมอกเซียนถูกทำลายลงในวันนั้น นิกายอำนาจเทวะได้ส่งคนขอบเขตราชันเซียนมาทันที ข้าจึงขอให้สหายมุ่งหน้าไปตรวจสอบ พวกเขาสังเกตเห็นร่องรอยของนิกายอำนาจเทวะไม่ได้ปรากฏแต่เพียงในภูเขาหมอกเซียนเท่านั้น”
แผ่นหยกนี่คือแผ่นหยกที่เฉินซีได้มีโอกาสดูในวันนั้น มันบันทึกลำดับเหตุการณ์ที่ภูเขาหมอกเซียนถูกทำลายไปจนถึงที่มารบงกชถูกสังหาร
หวังต้าวหลูมีสีหน้าเคร่งขรึมลง เมื่อพูดถึงนิกายอำนาจเทวะก็ทำให้เขานึกถึงอดีตนองเลือดขึ้นมา ใช้ประโยคเดียวในการสรุปได้ว่า อำนาจเทวะลืมอารมณ์เลือนความรู้สึก!
บางทีสำนักนี้คงจะลึกลับและมีอำนาจอย่างถึงที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตในสามภพ แต่สำหรับผู้อาวุโสอย่างหวังต้าวหลูและคนอื่นแล้ว พวกเขารู้ดีว่านับตั้งแต่นิกายอำนาจเทวะตั้งขึ้นมาตอนสร้างโลกจนถึงตอนนี้ มันได้นำพาภัยพิบัติมาสู่สามภพแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
นิกายอำนาจเทวะเดินตามรอย ‘ความไร้อารมณ์’ เพราะรู้สึกว่าเต๋าสวรรค์นั้นไร้ความรู้สึก หากอยากขึ้นสู่จุดสูงสุดของมหาเต๋า เช่นนั้นก็ต้องตัดทุกอารมณ์ความรู้สึก ต้องไม่ถูกอารมณ์ความรู้สึกทำให้หวั่นไหว เช่นนี้ถึงจะสามารถควบคุมเต๋าสวรรค์ได้
เพราะความไร้อารมณ์นี้ทำให้คนเหล่านั้นลงมือโดยไร้ความยับยั้งใด เพื่อให้สามารถควบคุมเต๋าสวรรค์และขึ้นครองเหนือสามภพได้ นิกายอำนาจเทวะทำให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นับว่าความวิบัติทั่วฟ้าดินทั้งหลายในประวัติศาสตร์ จะสามารถพบร่องรอยของนิกายอำนาจเทวะแทบทุกครั้ง
แต่จนถึงตอนนี้ นิกายอำนาจเทวะก็ยังคงรั้งอยู่ในสามภพได้ ทั้งยังมีฐานะสูงส่ง เทียบชั้นได้กับเขาเทพพยากรณ์กับตำหนักเต๋าหนี่หวา นั่นเป็นเพราะรากฐานแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ปกคลุมไปทั่วทั้งสามภพ ไม่ใช่กองกำลังที่คนธรรมดาจะสามารถต่อกรหรือทำลายได้
ทว่าหลังความวิบัติเกี่ยวกับเทพอสูรปะทุขึ้นเมื่อล้านปีก่อน นิกายอำนาจเทวะก็ถูกยับยั้งอำนาจไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง ไม่ปรากฏตัวในสามภพเป็นเวลานาน แต่ผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์อยู่บ้างก็จะรู้ดีว่านิกายอำนาจเทวะยังคงอยู่ และกำลังสั่งสมกำลังอยู่เงียบ ๆ!
ตอนนี้ภูเขาหมอกเซียนถูกทำลายแล้ว และราชันเซียนจากนิกายอำนาจเทวะปรากฏกายขึ้นในภพเซียน เหมือนเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่านิกายอำนาจเทวะซึ่งปลีกวิเวกจากใต้หล้าไปนานกำลังจะกลับมาสามภพอีกครั้ง!
ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่!
ถึงขนาดที่หวังต้าวหลูสงสัยว่านิกายอำนาจเทวะอาจคิดแทรกแซงตอนเกิดภัยพิบัติในสามภพก็เป็นได้
“ถึงแม้จะยังไม่มั่นใจ แต่ก็คงจะเป็นเช่นนั้น” จั่วชิวไท่อู่ตอบเสียงเรียบ น้ำเสียงแก่ชราไร้อารมณ์ใด
“จากข้อมูลที่ข้าได้รับมา คนสำนักศึกษาระทมสันต์ที่มีนิสัยโหดร้ายดุดันและถูกไล่ออกจากสำนักไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน จู่ ๆ กลับปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกทั้งยังเป็นคนสำคัญที่สำนักศึกษาระทมสันต์ส่งไปเข้าร่วมการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักครั้งนี้ด้วย
“หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เช่นนั้นนิกายอำนาจเทวะก็คงอยู่เบื้องหลังเขา สิ่งเดียวที่ข้าไม่มั่นใจคือไม่รู้ว่าสำนักศึกษาระทมสันต์… ได้เข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะหรือไม่” เมื่อพูดจบ หว่างคิ้วจั่วชิวไท่อู่ก็เกิดความเครียดขึ้น
ฉือฉางเซิงเองก็มีสีหน้าหนักหน่วงเมื่อได้ยิน “เรื่องนี้ยากจะมั่นใจ นิกายอำนาจเทวะเก่งกาจเรื่องการแทรกแซงและควบคุมที่สุด กองกำลังและสายสืบของพวกเขากระจายตัวอยู่ทั่วสามภพ ไม่แปลกหากสำนักศึกษาระทมสันต์จะถูกเลือกไปเข้าพวก”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักครั้งนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดา คงไม่ใช่ว่านิกายอำนาจเทวะหมายใช้โอกาสนี้ช่วยหกสำนักข่มชื่อเสียงสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเรา เพื่อเหตุผลบางอย่างกระมัง?” หวังต้าวหลูมุ่นคิ้วถอนใจเสียงเบา
“ไม่ต้องเดากันหรอก ตอนนี้ซากโบราณสถานแรกกำเนิดกำลังอยู่ในความโกลาหล ข้าคิดว่านิกายอำนาจเทวะคงจะสนใจซากโบราณสถานแรกกำเนิดมากกว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้” จั่วชิวไท่อู่เอ่ยเสียงเรียบ
พูดจบ หวังต้าวหลูกับฉือฉางเซิงก็คิดอยู่เล็กน้อยก่อนรู้สึกเห็นด้วยเช่นกัน
ฉือฉางเซิงมุ่นคิ้วถาม “เด็กคนเมื่อกี้ชื่ออะไรนะ?”
“เซียวเชียนซุ่ย”
“เขาเก่งกาจขนาดนั้นเลยหรือ?”
“คงไม่น้อยหน้าไปกว่าว่านเจี้ยนเซิง”
“ฉะนั้นถึงเราส่งเฉินซีไปก็คงไม่ได้ประโยชน์เท่าไหร่” ฉือฉางเซิงไม่คิดเลยว่าเจ้าบัดซบน้อยนามเซียวเชียนซุ่ย ซึ่งจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา จะแข็งแกร่งพอ ๆ กับว่านเจี้ยนเซิง
“แต่เฉินซีต้องเข้าร่วมด้วย” จั่วชิวไท่อู่เอ่ยอธิบายฉือฉางเซิงในแบบที่เจ้าตัวไม่สามารถปฏิเสธได้ “เพราะนี่คือคำสั่งของเจ้าสำนัก”
ฉือฉางเซิงเป็นเพียงอาจารย์ใหญ่ฝ่ายใน ส่วนเจ้าสำนักคืออาจารย์ใหญ่ของทั้งสำนัก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งได้
ฉือฉางเซิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ทำไมเล่า?”
“แล้วทำไมเจ้าถึงยืนยันจะไม่ให้เฉินซีเข้าร่วมล่ะ?” ครั้งนี้เป็นหวังต้าวหลูที่พูดขึ้น
ฉือฉางเซิงอึ้งไป เขาลูบหนวดไม่เป็นทรงสีเทาของตนแล้วก็ยิ้มเขินอาย “ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าเด็กเฉินซีมีชื่อเสียงโด่งดังมากพอแล้ว หากไม่ให้คนอื่นได้แสดงความสามารถบ้าง เช่นนั้นพวกเขาจะเสียใจเอา”
ไม่ได้ยินเหตุผลแปลกประหลาดเช่นนั้น กระทั่งหวังต้าวหลูยังพูดไม่ออกกลอกตาใส่ ตาแก่นี่ไร้เหตุผลเสียจริง
“ข้าไม่รู้สาเหตุหรอก แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งเจ้าสำนักคงต้องมีความหมายแน่” พูดจบ จั่วชิวไท่อู่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังจะเดินจากไป “การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักจะเริ่มขึ้นในอีกเดือนหนึ่ง งานนั้นเอะอะวุ่นวาย ฉะนั้นข้าขอไม่เข้าร่วม”
พูดจบร่างเขาก็แวบหายไป ไม่เปิดจังหวะให้ฉือฉางเซิงกับหวังต้าวหลูได้ตอบกลับ
“ทั่วทั้งสายในนี้ ตาแก่นั่นลึกลับที่สุดแล้ว” ฉือฉางเซิงส่งเสียงไม่พอใจ ไม่ชอบใจที่จั่วชิวไท่อู่จากไปเช่นนั้น
“พี่ฉือ ในเมื่อเป็นคำสั่งเจ้าสำนัก เช่นนั้นก็ต้องเอาคนจากห้าคนที่ท่านว่ามาออกคนหนึ่งไม่ใช่หรือ” หวังต้าวหลูถาม
“ข้าจะนำชิงเยี่ยออก” ฉือฉางเซิงคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ถอนหายใจ “จริง ๆ แล้วพวกเจ้าทุกคนคงไม่รู้ว่าศิษย์ข้าฝีมือไม่เลวเลย”
“แค่ก! แค่ก! พี่ฉือ หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว…” หวังต้าวหลูกระแอมเสียงแห้งยามได้ยินเช่นนั้น อยากเดินออกไปเช่นกัน แต่กลับถูกฉือฉางเซิงขัดขึ้น “อยากไปก็ไปสิ แต่การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักเดือนหน้าเป็นเจ้าต้องจัดการนะ!”
หวังต้าวหลูใบหน้าแข็งค้างแล้วหัวเราะเสียงแห้ง “เหตุใดต้องเป็นข้า?”
ฉือฉางเซิงกลอกตาเอ่ยเสียงโกรธ “เจ้าไม่รู้นิสัยข้าหรืออย่างไร? ข้าเห็นพวกเขาเมื่อไหร่คงอดอัดตาแก่จากหกสำนักไม่ได้ หากเรามีปัญหากับพวกเขาจะทำอย่างไร?”
หวังต้าวหลูพูดไม่ออก พลางถูจมูกตน ยอมรับโชคร้ายไว้แต่โดยดี
“เช่นนั้น… เราควรบอกเยี่ยถังและคนอื่น ๆ เรื่องเซียวเชียนซุ่ยดีหรือไม่?” หวังต้าวหลูเอ่ยพึมพำ
“ถึงเวลาค่อยบอกก็ยังไม่สาย” ฉือฉางเซิงโบกมือง่าย ๆ “เอาละ ไปได้แล้ว ฝากเรื่องนี้กับเจ้าด้วย หากไม่ใช่เรื่องตีกับตาแก่จากหกสำนักก็ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับข้า”
“เฮ้อ บัดซบเอ๊ย…” หวังต้าวหลูได้แต่ส่ายหน้าแล้วจากไป
…
เมื่อเวลาผ่านไปก็มีผู้บ่มเพาะเข้ามาในเมืองเซียนสัประยุทธ์จากทั่วทั้งภพเซียนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เมืองดูคึกคักขึ้นเป็นอย่างมาก
ภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ทั้งอาจารย์และศิษย์ล้วนเอาแต่คุยเรื่องการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก
ยิ่งตอนนี้รู้แล้วว่าสำนักจะส่งเยี่ยถัง เฉินซี จี้เซวียนปิง เจิ่นลู่ และจ้าวเมิ่งหลีไปเข้าร่วมการถกวิถีเต๋าในครั้งนี้ ดังนั้นบทสนทนาเกี่ยวกับเยี่ยถังกับคนอื่น ๆ จึงเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นศิษย์ห้าคนที่ได้รับความสนใจจากคนทั้งสำนัก
“นอกจากศิษย์พี่เยี่ยถัง ทำไมศิษย์อีกสี่คนถึงเป็นศิษย์สายในหน้าใหม่ทั้งนั้นเลย? หากพวกเขาแพ้การถกวิถีเต๋าขึ้นมาจะทำอย่างไร?” แน่นอนว่ามีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดการเช่นนั้นอยู่
“หึ! เจ้ากังวลเปล่าประโยชน์แล้ว ในเมื่อผู้อาวุโสตัดสินใจแล้ว ย่อมต้องมั่นใจว่าศิษย์พี่เยี่ยถังและคนอื่น ๆ จะไม่แพ้ในการถกวิถีเต๋าแน่” อีกคนโต้ขึ้น
“ข้าอยากเห็นการต่อสู้ระหว่างศิษย์พี่เยี่ยถังกับว่านเจี้ยนเซิงแล้ว การต่อสู้ระหว่างสุริยันอันเจิดจ้าย่อมต้องเป็นศึกที่เปรียบกับศึกใดไม่ได้เป็นแน่!” และมีหลายคนที่รู้สึกตั้งตารอการถกวิถีเต๋าอย่างใจจดใจจ่อ
หรือก็คือ เมื่อการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักกำลังจะมาถึง ทุกมุมของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจึงเต็มไปด้วยบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกคนต่างอยากรู้ว่าการถกวิถีเต๋าในครั้งนี้จะเกิดการต่อสู้แบบใดขึ้นกันแน่
พร้อมกันนั้น เฉินซีเองก็ไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย เขายังคงปิดด่านบ่มเพาะอยู่ภายในโลกแห่งดารา กำลังตั้งใจฝึกฝนตนให้แข็งแกร่ง และหมายจะฝ่าขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงไปให้ได้…