บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1296 เฉินซี เจ้าจะไปไหน?
บทที่ 1296 เฉินซี เจ้าจะไปไหน?
เมื่อเห็นว่าหม้อใบจิ๋วมีท่าทางประหลาดใจมาก เฉินซีก็ตระหนักได้ทันทีว่าพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าจะต้องไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่ามันพุ่งออกมาจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก แล้วจะเป็นสิ่งที่ธรรมดาได้อย่างไร?
แน่นอนว่าสิ่งที่หม้อใบจิ๋วกล่าวต่อมาก็อธิบายเรื่องนี้ได้อย่างดี
ตามที่หม้อใบจิ๋วกล่าวไว้ พลังดั้งเดิมของมหาเต๋านั้นถือกำเนิดจากความโกลาหล มันเป็นต้นกำเนิดของมหาเต๋าภายในสามภพ ซึ่งเรียกว่า มหาเต๋าทั้งสามพันวิถี และเต๋ารองนับพันนับหมื่นก็มีต้นกำเนิดมาจากแก่นแท้ของมหาเต๋า
นอกจากนี้ อานุภาพของแก่นแท้มหาเต๋าก็น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง และสามารถสรุปได้ในประโยคเดียว เส้นทางของเหล่าทวยเทพและปราชญ์ ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากแก่นแท้ของมหาเต๋า
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ขอบเขตเซียนปราชญ์ แบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่งคือเซียนปราชญ์โดยกำเนิดและอีกประเภทคือ อวเซียนปราชญ์ ความแตกต่างระหว่างพวกมัน คือแบบแรกอาศัยพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าเพื่อบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์ ในขณะที่แบบหลังอาศัยการบ่มเพาะของตนเองเพื่อบรรลุ
ตามตำนานเล่าว่า เซียนปราชญ์โดยกำเนิดนั้นเทียบได้กับทวยเทพและปราชญ์ในยุคบรรพกาล พวกเขาสามารถเคลื่อนย้ายขุนเขา เติมเต็มมหาสมุทร เด็ดดวงดาวและดวงจันทร์ออกจากฟากฟ้า อีกทั้งยังครอบครองพลังอันไร้ขอบเขต
อวเซียนปราชญ์ ถูกเรียกอีกอย่างว่า เซียนปราชญ์เทียม ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง หรือเส้นทางสู่เต๋าในอนาคต ก็ไม่อาจเทียบกับเซียนปราชญ์โดยกำเนิดได้
แน่นอนว่า แม้จะเป็นแค่อวเซียนปราชญ์ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนทองคำจะรับมือได้ อย่างไรก็ตาม ตัวตนดังกล่าวก็มีช่องว่างที่ไม่สามารถทดแทนได้เมื่อเทียบกับเซียนปราชญ์โดยกำเนิด
อาจกล่าวได้ว่า การบ่มเพาะจากขอบเขตเซียนทองคำไปยังขอบเขตเซียนปราชญ์ เป็นเพราะพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าที่ทำให้สองขอบเขตนั่นแตกต่างโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากพลังแก่นแท้ของมหาเต๋านั้นหายาก ทำให้เซียนปราชญ์เกือบทั้งหมดในภพเซียนนั้นเป็นอวเซียนปราชญ์
ในทางกลับกัน เกือบทั้งหมดที่เป็นเซียนปราชญ์โดยกำเนิด ล้วนมาจากกองกำลังชั้นยอดของทั้งสามภพ เช่น เจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ สำนักศึกษาทั้งเจ็ด และกองกำลังอื่น ๆ อีกมากมาย
เพราะในทางปฏิบัติแล้ว มีเพียงกองกำลังชั้นยอดเหล่านี้เท่านั้นที่ยังคงรักษาพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าเอาไว้ และไม่มีทางที่คนอื่นจะได้ครอบครอง
แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดสถานที่แห่งโชคลาภภายในสามภพ ที่มีพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าซ่อนอยู่ อย่างไรก็ตาม มันขึ้นอยู่กับวาสนาและเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแสวงหาได้
หลังจากที่เข้าใจในเรื่องนี้แล้ว เฉินซีก็รู้สึกประหลาดใจลึก ๆ เช่นกัน เพราะเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโชคดีที่ได้รับพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก หลังจากที่บรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงเช่นนี้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อเฉินซีทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์ในอนาคต เขาไม่ต้องใช้เวลาเพื่อเสาะหาพลังแก่นแท้ของมหาเต๋า ทำให้สามารถร่นเวลาและขจัดปัญหาได้มากมาย เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ
“ผลดีไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เพราะมันเป็นพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าที่ได้รับการหล่อเลี้ยงโดยชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ในแง่ของคุณภาพ ถือว่ามีความบริสุทธิ์และเก่าแก่ที่สุดอย่างแน่นอน ครั้งนี้เจ้าสารเลวน้อยช่างโชคดีจริง ๆ” หม้อใบจิ๋วกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่อิจฉาและหายวับไปในทันที
“นางเรียกข้าว่าเจ้าสารเลวน้อยอีกแล้ว…” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถูจมูกของตน จากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่นและทำอะไรไม่ถูก “ผู้อาวุโส ข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของเขาเช่นกัน การด่าเขาก็เหมือนกับการด่าข้าไม่ใช่หรือ?”
หม้อใบจิ๋วตกตะลึงและนิ่งเงียบทันที
แล้วร่างอวตารก็หันกลับเข้าสู่โลกแห่งดารา
อย่างไรก็ตาม ด้วยความประหลาดใจของเฉินซี ทันทีที่เขาเข้าสู่โลกแห่งดารา ร่างหลักที่ทำสมาธิอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานานก็ตื่นขึ้นพอดิบพอดี
“ดูเหมือนเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้านะ” หม้อใบจิ๋วกล่าว
“แต่เขาก็คือข้า” เฉินซีกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่พอใจข้า ทั้งยังมีพลังอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จงกลับไปยังโลกภายในหม้อเก้าใบพร้อมกับข้าอีกครั้ง และบ่มเพาะเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลกซะ โอ้ ได้เวลาบ่มเพาะขั้นที่สองแล้ว…” เสียงของหม้อใบจิ๋วเผยให้เห็นความเฉยเมยเล็กน้อย
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ร่างอวตารพลันตัวสั่นสะท้าน สีหน้าดูเคร่งเครียด เพราะหวนนึกถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดเกินบรรยายที่ได้ประสบเมื่อสองสามวันก่อนในทันที โดยเงื่อนไขโหดร้ายที่หม้อใบจิ๋วได้ตั้งขึ้น ก็เพื่อขัดเกลาตน…
ชายหนุ่มอ้าปากและกำลังจะปฏิเสธ แต่ภาพตรงหน้ากลับวูบวาบ จากนั้นก็ถูกหม้อใบจิ๋วพาตัวจากไปทันที
…
ณ โลกแห่งดารา
ร่างหลักลืมตาขึ้น ราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ประกายความงุนงงที่เหลืออยู่ในดวงตาค่อย ๆ ลดลงราวกับกระแสน้ำ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์
“หลังจากบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง ไม่นึกเลยว่าข้าจะสามารถดูดซับพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าได้…” เฉินซีกล่าวพึมพำและดีดนิ้ว
โอม!
กระแสลมแรงพัดผ่านท้องฟ้า
ในยามนี้ บรรยากาศโดยรอบเริ่มกระเพื่อมเหมือนระลอกคลื่น
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ดีดนิ้วอีกครั้ง คราวนี้บรรยากาศโดยรอบก็เปล่งเสียงที่ดังออกมาราวกับทะเลคลั่ง และพลังงานมิติที่ไร้รูปร่างก็พลุ่งพล่านอยู่ภายใน เคลื่อนขึ้นลงเป็นจังหวะ และกลายเป็นกระแสห้วงมิติ
ตู้ม!
เฉินซีโยนสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬออกไป และมันถูกระเบิดเป็นฝุ่นผงทันทีที่สัมผัสกับกระแสห้วงมิติ ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ฝุ่นผงก็ยังสลายหายไป กลายเป็นความว่างเปล่า!
“เป็นดั่งที่คาดไว้ หลังจากดูดซับแก่นแท้ของมหาเต๋าแล้ว ความเข้าใจต่อตราศักดิ์สิทธิ์ห้วงมิติของข้าก็ทะลุระดับสั่นสะเทือนห้วงมิติและกระเพื่อมห้วงมิติในคราวเดียวจนบรรลุระดับกระแสห้วงมิติ!”
ดวงตาของเฉินซีสว่างวาบ และรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ พลังแก่นแท้ของมหาเต๋าได้เติมเต็มร่างกาย และจิตวิญญาณถูกฝังอยู่ภายในนั้น ในขณะที่มหาเต๋าอันลึกล้ำต่าง ๆ ที่เขาครอบครอง ก็ได้รับการปรับปรุงอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
สำหรับมหาเต๋าที่ได้รับการขัดเกลาอย่างเด่นชัดที่สุดคือ มหาเต๋าแห่งมิติอย่างแน่นอน
ในเวลาเดียวกัน มหาเต๋าอันลึกล้ำทั้งสี่ ได้แก่ ปารมิตา การลืมเลือน ความมืด และแสงที่ตนครอบครอง ต่างหลอมรวมเป็นกฎแห่งมหาเต๋าอย่างสมบูรณ์
เมื่อมาถึงจุดนี้ มหาเต๋าอันลึกล้ำทั้งหมดที่เฉินซีครอบครองอยู่ ล้วนบรรลุถึงจุดสูงสุดของกฎแห่งมหาเต๋า และทั้งหมดนี้คือผลประโยชน์ที่มาจากพลังแก่นแท้ของมหาเต๋า!
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่หม้อใบจิ๋วจะสูญเสียความเยือกเย็นเมื่อรู้เรื่องนี้ พลังแก่นแท้ของมหาเต๋านี้ทรงพลังอย่างไม่ธรรมดาจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ก็คงไม่มีทางที่ข้าจะได้รับโชคลาภเช่นนี้…”
เฉินซีหายใจเข้าลึก และสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ชั่วพริบตา ก็พบว่าความแข็งแกร่งได้แตกต่างกับในอดีตราวกับฟ้าดิน
มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ในแง่ของการบ่มเพาะ เขาได้กระโดดเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง และความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในแง่ของความเข้าใจในเต๋าต่าง ๆ หลังจากได้รับพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าที่มาจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก พวกมันก็ได้รับการขัดเกลาอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้สภาวะเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่ความแข็งแกร่งจะดีขึ้นขนาดนี้
“กฎแห่งแสงและความมืดสามารถหลอมรวมกับกฎแห่งหยินหยาง เพื่อควบแน่นเป็นตราศักดิ์สิทธิ์ไท่จี๋ ทว่ากฎแห่งปารมิตาและการลืมเลือนกลับไม่สามารถบ่มเพาะไปได้มากกว่านี้…” เฉินซีตระหนักดีว่ากฎแห่งปารมิตาและการลืมเลือนเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างกฎแห่งสังสารวัฏ แต่ตอนนี้เขายังคงขาดกฎแห่งจุดจบ ดังนั้นจึงยังไม่อาจหลอมรวมกฎของสังสารวัฏได้ในขณะนี้
แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุด กฎแห่งสังสารวัฏเป็นสิ่งต้องห้ามที่ทวยเทพในสามภพล้วนไม่ยอมรับ หากถูกสังเกตเห็น ปัญหาที่ต้องเผชิญในอนาคตจะต้องไม่มีที่สิ้นสุดอย่างแน่นอน
ในอดีตอันเนิ่นนาน จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามผู้ซึ่งมีพลังฝีมือเลิศภพจบแดน แต่สุดท้ายก็ยังถูกไล่ล่าและถูกสังหารโดยเหล่าทวยเทพของทั้งสามภพ เป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เฉินซีไม่กล้าคิดถึงกฎข้อนี้
“การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก… ขอข้าดูว่าทั้งหกสำนักจะส่งศิษย์เช่นใดเข้าร่วม หากพวกเขาต้องการทวงคืนน้ำเต้าฟ้าดินและสมบัติอื่น ๆ ถ้าไม่มี ‘ความจริงใจ’ ก็คงได้แต่ฝัน…”
เฉินซีนั่งสมาธิอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสองวัน หลังจากรู้สึกว่าการบ่มเพาะได้รับการหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน และออกจากโลกแห่งดาราไปอย่างรวดเร็ว
…
ในเช้าตรู่ของวันนี้ ท้องฟ้าเป็นสีครามสดใส มีเมฆลอยล่อง และสายลมยามเช้าพัดแผ่วเบา ทำให้ต้นสนกับต้นไผ่เอนไหว บังเกิดเสียงดังกรอบแกรบ
ม่านของงานถกวิถีเต๋าของทั้งเจ็ดสำนักจะถูกรูดออกในวันนี้ การแข่งขันระหว่างยอดศิษย์รุ่นใหม่ของเจ็ดสำนักกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
มันคึกคักอย่างยิ่ง และถึงขนาดที่คลื่นเสียงครึกโครมดังก้องไปทั่วสำนัก จนสามารถได้ยินจากระยะไกล ก่อนที่ดวงตะวัยจะพ้นขอบฟ้าด้วยซ้ำ
“เฉินซี เจ้าจะไปไหนหรือ?” เมื่อเฉินซีเดินออกจากห้องกระบี่ หลิงไป๋ อาหมาน ไป๋คุย และชิงชิงที่รออยู่ก่อนหน้านี้ก็กล่าวพร้อมกัน ดวงตาสี่คู่สุกใสราวกับผลึกแก้ว ทั้งยังจ้องมองเฉินซีเป็นตาเดียว ในแววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
แน่นอนว่าไป๋คุยและชิงชิงต่างคำรามใส่เขา
เฉินซีไหวไหล่และกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ในเมื่อเจ้าก็รู้อยู่แล้ว งั้นก็ตามข้ามา”
หลังจากนั้น ไป๋คุยและหลิงไป๋ก็กระโดดขึ้นไปบนหลังชิงชิง ในขณะที่อาหมานเดินไปอีกฝั่ง ขนาบข้างเฉินซี
เหตุผลที่เจ้าตัวน้อยทั้งสี่ติดตามเฉินซีและมุ่งหน้าไปร่วมงานถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักอย่างกระตือรือร้นนั้นง่ายมาก เพราะพวกมันอยากชมการแสดงฝีมือ
“อรุณสวัสดิ์ศิษย์น้องเฉินซี เราไปด้วยกันเถอะ โอ้ หลิงไป๋ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ทำไมเราไม่ประลองกันสักตั้งล่ะ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” ระหว่างทาง ร่างของเยี่ยถังก็ปรากฏอย่างไร้ที่มา เขาทักทายเฉินซี ก่อนที่จะขยิบตาใส่หลิงไป๋ พร้อมกับหัวเราะดังสนั่น เผยด้านที่ซุกซนออกมา
วันนี้ผมสีดำหนาทึบของเยี่ยถังถูกปล่อยลงมาบนไหล่ สวมเสื้อคลุมสีเทาหลวม ๆ สะพายดาบสีเขียวยาวสี่จั้งไว้บนไหล่ และเมื่อประกอบกับดวงตาที่ลึกล้ำ รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ ฟันขาวราวหิมะและเรียบร้อย ทุกอิริยาบถล้วนเผยกลิ่นอายไร้กังวลและไร้การผูกมัด
นี่เป็นหนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียน อเวจีเหล็กเยี่ยถัง ผู้เป็นอิสระและไม่ถูกผูกมัดเหมือนนกกระเรียนป่าที่โบยบินอยู่ในหมู่เมฆเพียงลำพัง แต่กลับมีเสน่ห์ดิบเถื่อนไม่เหมือนใคร
“ข้าไม่อยากยุ่งกับเจ้า” หลิงไป๋กลอกตา ทำให้เยี่ยถังระเบิดเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
หลังจากที่เฉินซีทักทายเยี่ยถัง เขาก็ยิ้มกว้างและถามว่า “ศิษย์พี่เยี่ยถัง ข้าได้ยินมาว่าคู่ต่อสู้ของท่านในครั้งนี้คือว่านเจี้ยนเซิง?”
“ใครจะสน? ตราบใดที่อีกฝ่ายทำให้ข้าพอใจ มันก็หาได้สำคัญไม่” เยี่ยถังยิ้มอย่างไร้กังวล จากนั้นก็ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นตบไหลของเฉินซี “ศิษย์น้องเฉินซี ข้าได้ยินมาว่า การบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ของเจ้านั้นไม่เลวเลย ดังนั้นเจ้าอย่าได้ยั้งมือ หากเจ้าต้องเผชิญหน้ากับว่านเจี้ยนเซิงผู้นั้นก็จงทุบตีเขาให้น่วม”
เฉินซีลูบจมูกและหัวเราะอย่างขมขื่น “ศิษย์พี่เยี่ยถังดูเหมือนจะมั่นใจในตัวข้ามาก?”
เยี่ยถังตบไหล่ของเฉินซี และหัวเราะดังสนั่น “แน่นอน เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า ดังนั้นข้าก็ต้องมั่นใจในตัวเจ้า!”
เฉินซีกล่าวไม่ออก เพราะนึกไม่ถึงว่าเยี่ยถังจะให้เหตุผลเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม คำพูดของเยี่ยถังก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจมาก นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องควรจะเป็นเหมือนคนในครอบครัว
ในระหว่างสนทนา หมู่ตึกของฝ่ายบำเพ็ญเต๋าก็อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว หมู่ตึกที่เป็นสถานที่จัดงานถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักในครั้งนี้!