บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1318 พบหน้าไม่คาดคิด
บทที่ 1318 พบหน้าไม่คาดคิด
ทวีปเหมันต์กระจ่าง
เมืองอนันตรา
ภายในสิบวัน
พบกันที่ภัตตาคารวิญญาณมังกร
นี่คือข้อมูลที่เฉินซีได้รับจากป้ายหยก แม้กระชับแต่เข้าใจได้ง่าย
นางอยากให้ข้าเร่งรุดไปเมืองอนันตราภายในสิบวัน… เฉินซีครุ่นคิดอยู่นานหลังจากเก็บป้ายหยกไป
เท่าที่เขารู้ ทวีปเหมันต์กระจ่างอยู่ทางเหนือสุดของภพเซียน หากมุ่งไปทางเหนือต่อจากนั้นจะเป็นมหาสมุทรที่เกิดขึ้นจากพายุห้วงมิติที่เรียกว่าทะเลอนันตรา เมืองอนันตราตั้งอยู่ที่ริมฝั่งทะเลนั่นเอง
“ศิษย์พี่เฉินซี ท่านจะไปเมืองอนันตราหรือ?” ชิงเยี่ยถามขึ้นมา
“ใช่แล้ว” เฉินซีพยักหน้า
“ศิษย์พี่ เมืองอนันตราอยู่ตอนเหนือสุดของภพเซียน มีทั้งคนดีคนชั่วอาศัยอยู่ที่นั่น อีกชื่อหนึ่งคือเมืองคนบาป กระทั่งอำนาจของศาลเซียนยังไม่อาจควบคุมเมืองอนันตราได้ หากท่านเดินทางไปก็ต้องระวังตัวด้วย” ชิงเยี่ยเอ่ยเตือน
เมืองคนบาป?
เฉินซีชะงักไปทันที เขาเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก อยากจะถามรายละเอียดให้มากกว่านี้ แต่ชิงเยี่ยบอกว่าตนรู้ไม่มาก
“ศิษย์พี่ หากท่านอยากรู้เรื่องมากกว่านี้ ไม่แวะไปหอความลับเซียนเล่า ที่นั่นมีข้อมูลทุกอย่าง ท่านต้องหาบางอย่างเจอแน่” ชิงเยี่ยแนะนำเสียงเบา
“ก็ได้” เฉินซีพยักหน้าให้
เดิมทีเขาจะออกเดินทางเลย แต่เพราะชิงเยี่ยแนะนำเช่นนั้น เขาจึงไม่กล้าประเมินเมืองคนบาปนั่นต่ำเกินไป
…
หอความลับเซียน
“ศิษย์พี่เฉินซี!”
“ทักทายศิษย์พี่เฉินซีขอรับ!”
“ศิษย์พี่ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”
เมื่อเฉินซีปรากฏตัวภายในหอความลับเซียนก็ทำให้เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นมาทันที ศิษย์หลายคนมองมาด้วยสายตาแสดงความเคารพ
เฉินซีชินกับเรื่องเช่นนี้นานแล้ว เขาพยักหน้าให้พร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะแวบกายคราหนึ่งหายเข้าไปด้านใน
“ศิษย์พี่เฉินซีไม่ธรรมดาจริง ๆ นับตั้งแต่ชนะการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักมาก็ยิ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วภพเซียน เหมือนตะวันกระจ่างบนฟากฟ้าทีเดียว”
“ก็แน่สิ เมื่อเดือนก่อนข้าได้เห็นศิษย์พี่เฉินซีขึ้นอันดับหนึ่งของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงกับตาเชียวนะ เหนือกว่าศิษย์พี่หญิงหลิงชิงอู๋อีก!”
“ไม่เพียงเท่านั้น ไม่กี่วันก่อนศิษย์พี่เฉินซีไปทำลายสถิติใหม่บนศิลาวิถีชั้นที่สามสิบเจ็ดถึงเจ็ดสิบสองของแดนเซียนสวรรค์มายา คว้าอันดับหนึ่งมาด้วย”
“เก่งจริง ๆ! แต่ก่อนข้ายังกังขา คิดว่าศิษย์พี่เฉินซีด้อยกว่าศิษย์พี่หญิงหลิงชิงอู๋กับศิษย์พี่เยี่ยถัง แต่ดูเหมือนตอนนี้ศิษย์พี่เฉินซีจะเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดแล้ว”
รอบข้างพลันเกิดบทสนทนาเร่าร้อนขึ้นเมื่อร่างของเฉินซีหายไป
หัวข้อที่โดดเด่นที่สุดคือในระหว่างสองเดือนหลังจากจบการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก ย่อมต้องเป็นเรื่องที่เฉินซีครองอันดับหนึ่งของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงและศิลาวิถีแห่งแดนเซียนสวรรค์มายาได้
เป็นเพราะพวกเขาได้เห็นความสำเร็จของศิษย์ฝ่ายในหลายคนมาก่อน จึงรู้สึกว่าเฉินซีนั้นเหนือกว่าหกสุริยันอันเจิดจ้าแห่งภพเซียนแน่ อาจกล่าวได้ว่าเป็นขอบเขตเซียนทองคำที่หาใครเทียบไม่ได้เลย!
…
เมื่อเฉินซีออกจากหอความลับเซียนไปแล้วก็รู้สึกว่าไม่เสียเที่ยวที่มา
เหตุผลก็ไม่ใช่อะไร เพียงตกใจกับสิ่งที่ได้รู้ก็เท่านั้น กลายเป็นว่าเมืองอนันตราเหมือนเป็นแดนสวรรค์แห่งคนชั่วในภพเซียน มีผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งดีและชั่วปะปนกัน ที่นั่นไร้กฎเกณฑ์ มีผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ทั่ว
คนชั่วเหล่านี้ก็มีหลายขอบเขตพลัง ตามข่าวลือนั้น ที่แกร่งที่สุดถึงขั้นอยู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น!
เมืองนี้อยู่ติดกับทะเลอนันตรา ทะเลอนันตราเต็มไปด้วยพายุห้วงมิติ รอยแยกมิติ และหลุมดำอันลึกลับมากมาย… อีกทั้งยังมีภัยธรรมชาติอันน่ากลัวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้กระทั่งศาลเซียนยังไม่อยากไปตั้งอยู่ที่นั่น
ทำให้เหล่าคนบาปและคนชั่วทั้งหลายในเมืองยิ่งไร้ความเกรงกลัว ยามใดถูกไล่ล่าไร้หนทางให้หลบหนี พวกเขาก็จะใช้เมืองอนันตราเป็นที่พำนัก
เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดเป็นเมืองคนบาปในปัจจุบัน!
เมืองอนันตรานั้นตั้งอยู่ติดทะเลอนันตรา ในขณะที่ข้อมูลที่ข้าเพิ่งรู้มานี้ ซากโบราณสถานแรกกำเนิดเหมือนจะอยู่ที่ปลายสุดของทะเลอนันตรา หรือว่า… จุดมุ่งหมายของแม่นางเตียนเตี้ยนคือซากโบราณสถานแรกกำเนิด? เฉินซีคิดพลางมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับถึงห้องกระบี่
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในหอความลับเซียน เขาก็พยายามหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับซากโบราณสถานแรกกำเนิดอีกครั้ง น่าเสียดายที่กลับมามือเปล่า เห็นได้ชัดว่าซากโบราณสถานแรกกำเนิดนี้ลึกลับเพียงใด
…
“ไม่เอา! ข้าจะไปด้วย!” เมื่อได้ยินว่าเฉินซีกำลังจะจากไปสักระยะ หลิงไป๋ก็ร้องบอกอยากไปกับเฉินซี อีกทั้งอาหมาน ชิงชิง และไป๋คุยก็ประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน ส่งสายตาร้อนแรงเหมือนเขาจะทิ้งกันไปนานแสนนาน
เฉินซีหัวเราะเสียงแห้งไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่สุดท้ายก็ไม่ตอบตกลง
เหตุผลก็ไม่ใช่อะไร กำลังของแม่นางเตียนเตี้ยนนั้นลึกล้ำเกินหยั่ง แต่กลับอยากร่วมมือกับตน ทั้งยังให้ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากเป็นรางวัลอีก ดังนั้นเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ย่อมไม่เรียบง่ายแน่ อาจเต็มไปด้วยอันตรายนานัปการ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะกล้าพาหลิงไป๋และคนอื่นไปด้วยได้อย่างไร?
ถึงขั้นตัดสินใจว่าจะทิ้งหม้อใบจิ๋วและร่างอวตารไว้ เช่นนี้หากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับร่างหลัก อย่างน้อยก็ยังมีร่างอวตารเหลืออยู่
ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก!
ตอนนี้เฉินซีมีชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากห้าชิ้นแล้ว ขาดอีกเพียงสี่ ก็จะสามารถต่อแผนภาพวารีหลากได้สมบูรณ์ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปฏิเสธโอกาสเช่นนี้ได้
เพราะนับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากก็ช่วยเขามาหลากหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเนตรเทวะแห่งความจริง ประสบการณ์ในพิภพยันต์อักขระ หรือเวลาที่เขาทำความเข้าใจและฝึกบ่มเพราะพลังก็ตาม ล้วนมีชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากคอยช่วยเหลืออยู่ทั้งสิ้น
หากไม่สามารถต่อมันให้สำเร็จได้ เฉินซีคงเสียใจไปตลอดแน่
หนึ่งวันให้หลัง เฉินซีจึงออกจากสำนักศึกษาไปโดยไม่ได้บอกใคร
…
ทวีปเหมันต์กระจ่าง
ทวีปแห่งนี้คือจุดเหนือสุดของภพเซียน ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งตลอดทั้งปี ทั้งยังมีปราณเซียนเยือกแข็งอุดมสมบูรณ์ เหมาะกับเซียนที่บ่มเพาะวิชาธาตุน้ำเป็นอย่างยิ่ง
วิ้ว~ วิ้ว~ วิ้ว~
ท่ามกลางหิมะสุดลูกหูลูกตา ลมเย็นเสียดแทงผิวพัดผ่านราวกับเสียงภูตผีคร่ำครวญ ดังก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน นำพาเกล็ดหิมะกระจายขึ้นฟ้า แต่งแต้มทั่วนภาด้วยกลิ่นอายโหดเหี้ยมเยือกเย็น
บรรยากาศเยือกเย็นมากจนถึงขั้นปราณชั่วร้ายเยือกแข็งเต็มชั้นบรรยากาศ จนเซียนธรรมดาไม่อาจทานทนได้
วิ้ง~
ห้วงมิติพลันผันผวน ก่อนร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาจะเดินออกมาจากภายในนั้น เสื้อผ้าหน้าผมพลิ้วไหว สีหน้าสงบนิ่ง คนผู้นี้คือเฉินซีที่รีบรุดมาจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านั่นเอง
พลังมิติไม่ธรรมดาจริง ๆ ทำให้ความรวดเร็วของการเคลื่อนย้ายมิติรวดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด… เฉินซีถอนหายใจชื่นชม ก่อนกวาดสายตามองรอบกาย
แม้ว่าจะยืนอยู่บนพื้นน้ำแข็งที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่ปราณชั่วร้ายเยือกเย็นก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ กลับกันเมื่อสูดหายใจ ปราณเซียนในฟ้าดินก็พลุ่งพล่านดั่งกระแสน้ำใสเข้าสู่ร่างแทน เหมือนได้อาบหิมะ ทำให้รู้สึกสดชื่นจากภายใน
ที่นี่คือทวีปเหมันต์กระจ่าง ในระยะแสนลี้ไร้ที่อยู่ผู้คน ดูจากแผนที่แล้ว นี่น่าจะเป็นทุ่งหิมะนภามืดที่อยู่ห่างจากเมืองอนันตรายี่สิบล้านลี้… เฉินซีกวาดตาดูพื้นที่รอบข้างแล้วกะที่ตั้งโดยประมาณ
แต่ตอนกำลังจะเคลื่อนไหวนั้น ก็เกิดกระแสพลังผันผวนพุ่งมาจากระยะไกล เหมือนกำลังมีคนรีบรุดเข้ามา…
“ช่วยด้วย! คุณชาย ช่วยด้วย!” ทันใดนั้นห้วงอากาศพลันสั่นสะเทือน ก่อนจะปรากฏเงาร่างงดงามของหญิงสาวผู้หนึ่ง นางอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิง อาภรณ์ชุ่มเลือด อีกทั้งใบหน้างามยังซีดขาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เฉินซีเลิกคิ้วขึ้นสูง ไม่คิดเลยว่าในทุ่งน้ำแข็งอันห่างไกลเช่นนี้จะได้พบกับหญิงสาวที่กำลังหนีเอาชีวิตรอด
“คุณชาย ท่านต้องช่วยข้านะ ช่วยหยุดคนผู้นั้นที่ไล่ตามข้ามาไว้สักพัก หากข้าหนีไปได้จะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน” หญิงสาวดูร้อนใจนัก พลางเหลือบมองด้านหลังด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็ไม่รอคนตอบ หันหลังหนีไปทันที
เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้หวังให้เฉินซีช่วยเหลือด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวก่อน!” เฉินซีแวบร่างไปขวางทางสาวงามไว้
“คุณชาย อะไรของท่านอีก? รีบหลบไปเร็ว ไม่เช่นนั้นคงได้ทำให้คุณชายตกอยู่ในอันตรายไปด้วย!” หญิงสาวชะงักไป จากนั้นยิ่งร้อนใจจนหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความกลัวและความโกรธ
เคร้ง!
เป็นตอนนั้นเองที่เฉินซีไม่เสียเวลาอีก เขาหยิบตะขอดาราออกมาชี้ไปทางหญิงสาว ก่อนเอ่ยว่า “ช้าก่อน ค่อยไปก็ยังไม่สาย”
นางมีสีหน้าเคร่งขรึมลงทันที เอ่ยเสียงเฉียบคม “หรือท่านจะเป็นสหายกับไอ้บัดซบนั่น?”
แม้จะเอ่ยเช่นนั้น นางก็ไม่ลังเล มือเรียวส่งปิ่นหยกเงินลอยขึ้นกลางอากาศ มันปลดปล่อยหมอกสีเงินออกมาเป็นชั้น ก่อนจะดีดตัวเข้าใส่เฉินซี
นางเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อนเสียด้วย!
อีกทั้งยังเป็นการโจมตีโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง มันเจือกลิ่นอายดุดัน เห็นได้ชัดว่าหมายเอาชีวิตด้วยการโจมตีครั้งนี้
ชิ้ง!
เฉินซีตอบสนองอย่างเรียบง่าย เขาเพียงตวัดกระบี่ออกไป
พริบตานั้น กระแสปราณกระบี่ก็ปรากฏ ฟาดฟันรัศมีสีเงินที่ปกคลุมท้องฟ้าจนขาดสะบั้น ก่อนจะดีดไปปาดคอนางทั้งที่ยังไม่ทันตั้งตัว ทำเอาเลือดกระฉูดขึ้นฟ้า!
ศีรษะของสาวงามกระเด็นไปในอากาศ ขณะที่สองตายังเบิกกว้าง แม้จะเป็นจังหวะที่สิ้นใจก็ยังไม่เชื่อว่าตนจะพ่ายแพ้ได้รวดเร็วเช่นนี้ เพราะมันเป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น!
กล้าฝากความหวังไว้กับข้าก็ต้องเจอเช่นนี้… เฉินซีเก็บกระบี่ไปแล้วถอนหายใจ ก่อนเงยหน้ามองไปยังระยะไกล ๆ
วิ้ง~
เป็นตอนนั้นเองที่เกิดความผันผวนขึ้นในห้วงอากาศ ก่อนที่ร่างหนึ่งจะปรากฏขึ้น เป็นชายท่าทางดุร้ายโหดเหี้ยม สีหน้าไร้อารมณ์ ชุดสีดำแนบกาย แบกกระบี่ในฝักไว้บนหลัง และกระบี่นั้นมีพู่สีแดงเลือดที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมหนาว
มีเพียงแขนซ้ายที่ว่างเปล่า ทำให้ดูไม่สอดคล้องกันอยู่บ้าง
น่าแปลกใจนัก เขาคือว่านเจี้ยนเซิง!
เขาเหลือบมองเฉินซีด้วยความประหลาดใจ เหมือนไม่คิดว่าจะได้เจออีกฝ่ายที่นี่ จากนั้นเขาก็มองร่างบนพื้นแล้วพูดขึ้น “เจ้าสังหารนางหรือ?”
เฉินซีพยักหน้ายิ้ม ๆ