บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 132 กฎ
บทที่ 132 กฎ
ณ เจดีย์บำเพ็ญทุกข์!
เมื่อเฉินซีเห็นเจดีย์หยกขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวรรค์และโลกก็รู้สึกตกตะลึง เท่าที่เขาทราบมา เจดีย์นี้มีมิติเป็นของมันเอง ภายในนั้นถูกแบ่งเป็นสี่ชั้น ได้แก่ ชั้นแปดทิศทาง ชั้นสี่สัญลักษณ์ ชั้นหยินหยาง และชั้นเอกภาพ ทุกชั้นเป็นโลกที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้บ่มเพาะทุกคนที่เข้าร่วมในงานเทียบอันดับมังกรซ่อนจะถูกพาเข้าไปในเจดีย์เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เจดีย์บำเพ็ญทุกข์นี้เป็นสนามรบหลักของงานเทียบอันดับมังกรซ่อนนั่นเอง
ว่ากันว่าเจดีย์นี้แต่เดิมเป็นสิ่งประดิษฐ์ของเซียนในตำนาน แต่มันกลับได้รับความเสียหายและพังทลายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งมันยังสูญเสียประสิทธิภาพที่น่าอัศจรรย์ต่าง ๆ และเหลือเพียงเปลือกที่ว่างเปล่าเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่า แต่ก็ไม่มีใครสามารถดูดซับปราณวิญญาณของมันได้ ในท้ายที่สุด ภายใต้การขัดเกลาของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในรุ่นก่อน ๆ ของนิกายต่าง ๆ ในเมืองทะเลสาบมังกร มิติภายในสถานที่แห่งนี้จึงถูกกู้คืนกลับมาได้
เนื่องจากมันมีมิติเป็นของตัวเอง จึงถูกใช้เป็นสถานที่ทดสอบเหล่าลูกศิษย์ และนี่คือที่มาของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน
ในขณะนี้ มีฝูงคนมากมายอยู่ใกล้กับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เมื่อมองไปรอบ ๆ สิ่งที่เห็นก็คือหัวมนุษย์จำนวนมาก นับว่าโชคดีที่สถานที่นี้กว้างขวางและโล่งพอสมควร จึงดูไม่แออัดเมื่อมีผู้คนมากมายมารวมตัวกัน
ที่เบื้องหน้าเจดีย์มีแท่นหยกขนาดใหญ่ที่มีความยาวร้อยยี่สิบจั้งและกว้างหกสิบจั้ง มีหลังคาที่ดูคล้ายร่มที่สามารถปกคลุมท้องฟ้าได้ทั้งหมดถูกกางออกอยู่บนแท่นหยก ด้านบนสุดของท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอก ขณะที่ปราณมงคลนับพันสายและแสงหลากสีมากมายลอยออกมาจากมัน และรัศมีของสมบัติวิเศษก็พุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถูกสำแดงพลังจากศัสตราวิเศษระดับสวรรค์ ‘ธงทองหกสุริยัน’ ซึ่งอยู่ในการครอบครองของประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ‘หลิงคงจื่อ’ หากมีคนอยู่เบื้องล่างสมบัติวิเศษนี้ เขาจะรู้สึกเหมือนกับนั่งอยู่ระหว่างต้นสนกับเมฆขาวที่พัดผ่าน อีกทั้งสภาพแวดล้อมก็ไม่อาจกร้ำกรายพื้นที่ด้านล่าง สมบัติวิเศษเช่นนี้นับว่าน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
ในขณะนี้ บุรุษและสตรีผู้มีท่าทางสง่าผ่าเผยมากกว่าสิบห้าคนนั่งอยู่บนแท่นหยกใต้หลังคา
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางคือชายชราในชุดสีฟ้า มุมปากของเขาแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นราวกับหยก ดวงตาที่ปิดสนิทดูเหมือนมีลำแสงจากสวรรค์ล่องลอยอยู่ภายใน ให้ความรู้สึกลึกลับและลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
ชายชราในชุดสีฟ้าก็คือ หลิงคงจื่อ ประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรและเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วดินแดนทางใต้!
ที่สองด้านของหลิงคงจื่อ คือเหล่าบุคคลสำคัญของแปดนิกาย สามสำนักและหกตระกูลใหญ่ พวกเขามีกลิ่นอายลึกล้ำและน่าเกรงขาม ซึ่งเผยให้เห็นถึงการบ่มเพาะอันลึกซึ้งของพวกเขา
ในหมู่พวกเขามีสตรีคนหนึ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษ นางสวมชุดราชวงศ์ที่ปักลายเปลวเพลิง ผมสีดำของนางถูกเกล้ามวยไว้ ลำคอที่เรียวบางมีสีขาวราวกับหิมะ รูปร่างหน้าตาของนางขาวนวลและเนียนละเอียดเสมือนดอกบัวที่บานสะพรั่ง ทำให้นางดูงดงาม แต่ท่าทางของนางกลับเย็นชาจนสุดขั้วหัวใจ เมื่อดวงตาที่เรียวรีของนางกวาดผ่านไป ราวกับมีสายฟ้าผ่ากลางท้องฟ้า จนไม่มีผู้ใดกล้าสบตากับนาง
นางคือท่านหญิงซิงอวิ้น ประมุขนิกายบุปผาหยก ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดนิกายใหญ่ และเป็นประมุขหญิงเพียงคนเดียวในบรรดากองกำลังต่าง ๆ อีกทั้งความแข็งแกร่งของนางก็ไม่อาจหยั่งถึง
บรรดาผู้นำของกองกำลังอื่น ๆ ก็มีท่าทางที่น่าเกรงขามและไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน เมื่อพวกเขาทั้งสิบห้าคนขึ้นไปนั่งที่แท่นหยก แม้ว่าพวกเขาจะเงียบสนิท แต่พลังอันน่าเกรงขามที่ปล่อยออกมา กลับทำให้สิ่งรอบข้างหยุดชะงักจนไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงดังออกมา
เมื่อเฉินซีมาถึง รอบ ๆ เจดีย์ก็เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนไม่น้อยกว่าแสนคน ฉากนี้ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์และทำให้หัวใจของทุกคนที่มาร่วมงานต้องตกตะลึง
ถ้าไม่ใช่เพราะเหล่าลูกศิษย์ของกองกำลังต่าง ๆ ที่ตรวจสอบความปลอดภัยอยู่ท่ามกลางฝูงชน ภาพที่เห็นก็คงจะแออัดยิ่งกว่านี้จนถึงขั้นที่แม้แต่น้ำก็เล็ดลอดผ่านไม่ได้
“ดูนั่นสิ ผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนในครั้งนี้อยู่ที่นั่นแล้ว” ตู้ชิงซีชี้ไปที่ลานโล่งหน้าแท่นหยกขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน
เฉินซีเงยหน้ามอง และเห็นผู้คนไม่น้อยกว่าแปดพันคนยืนอยู่ในลานโล่ง มีทั้งบุรุษและสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาเยาว์วัยมากมาย
พวกเฉินซีไม่ได้รั้งอยู่ในฝูงชนอีกต่อไปและรีบเดินไปยังลานโล่ง
ที่ทางเข้าด้านหน้าลานโล่งมีผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งสองคนสะพายกระบี่ไว้บนหลังและสวมชุดสีดำ เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มของเฉินซี หนึ่งในนั้นก็กล่าวออกมาว่า “หยุดก่อน จงแสดงตราคำสั่งของเจ้าซะ”
เฉินซีหยิบตราคำสั่งที่เขาได้รับตอนที่ลงทะเบียนที่ห้องโถงใหญ่ของผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งและยื่นออกไปในทันที
“เฉินซี ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหกดารา อายุสิบเจ็ดปี…” ผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งคนนี้ตกตะลึงขณะแววตาดูชอบกล จากนั้นเขาก็หยิบยันต์หยกที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาและส่งมอบให้กับเฉินซีพร้อมกับตราคำสั่ง
กลุ่มของตู้ชิงซีก็หยิบตราคำสั่งของพวกเขาออกมาเช่นกัน แต่ตรานั้นไม่เหมือนกับเฉินซีตรงที่ตราคำสั่งของพวกเขาได้มาจากตระกูลที่อยู่เบื้องพลังของพวกเขา ผู้พิทักษ์วิญญาณแห่งราชวงศ์ซ่งผู้นี้ไม่คิดจะชายตามองตราคำสั่ง ก่อนที่จะหยิบยันต์หยกขึ้นมาสามชิ้นและมอบให้แก่พวกเขา
“ยันต์หยกนี้คือยันต์เคลื่อนย้ายหรือ?” เฉินซีหวนนึกถึงกฎของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน หลังจากที่เข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์และเผชิญกับภัยอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต เพียงบดขยี้ยันต์หยกก็จะสามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้ ทว่าหากถูกฆ่าตายก่อนที่จะบดขยี้ยันต์หยกทัน ดังนั้นจึงควรโทษตัวเองที่อ่อนด้อยเกินไป
บททดสอบเช่นนี้จะไม่มีผู้เสียชีวิตได้อย่างไร?
“เจดีย์บำเพ็ญทุกข์แบ่งออกเป็นสี่ชั้น ได้แก่ แปดทิศทาง สี่สัญลักษณ์ หยินหยาง และเอกภาพ ผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมทั้งหมดจะถูกส่งไปยังชั้นแปดทิศทาง เมื่อมีคนยึดตราคำสั่งมาจากผู้อื่นจนได้จำนวนที่เพียงพอ คนผู้นั้นจะถูกส่งไปยังชั้นที่สองโดยอัตโนมัติ ซึ่งก็คือชั้นสี่สัญลักษณ์ หลังจากนั้น จะมีการต่อสู้เพื่อยึดตราคำสั่ง และทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้าสู่ชั้นสูงสุด นั่นคือ ชั้นเอกภาพ และต้องต่อสู้อยู่ข้างในนั้น คนที่สามารถยืนหยัดจนถึงที่สุดจะเป็นบุคคลที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน”
“สิ่งใดคือจำนวนที่เพียงพอหรือ?”
“การยึดตราคำสั่งเป็นเพียงวิธีผลักดันให้เจ้าต้องต่อสู้ และไม่ว่าเจ้าจะสามารถเข้าไปในชั้นที่สูงขึ้นของเจดีย์ได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถยืนหยัดจนถึงที่สุดได้หรือไม่ ตามธรรมเนียมปฏิบัติจากปีก่อน ๆ มีเพียงสองพันคนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในชั้นที่สองของเจดีย์ ได้ ทั้งสองพันนี้จะต้องผ่านการต่อสู้เพื่อกำจัดอีกหนึ่งพันเก้าร้อยคน และมีเพียงหนึ่งร้อยคนที่เหลือเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่ชั้นที่สามได้ หลังจากการต่อสู้ในรอบนี้ จะมีเพียงสิบคนสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ชั้นสูงสุด นั้นคือชั้นเอกภาพและต้องต่อสู้ตัดสินเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะคนสุดท้าย”
“อ้อ เป็นเช่นนั้นเอง ผู้ที่สามารถเข้าสู่ชั้นที่สามคือผู้ที่ติดร้อยอันดับแรกของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน ผู้ที่เข้าสู่ชั้นที่สี่คือผู้ที่ติดสิบอันดับแรกของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน และหลังจากต่อสู้จนจบ คนสุดท้ายที่ยังคงอยู่คือผู้ที่อยู่ในอันดับแรกของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน!”
“ใช่แล้ว แต่สถานการณ์การต่อสู้ในปีนี้คงจะเข้มข้นกว่าปีก่อน ๆ เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีผู้บ่มเพาะกี่คนที่เข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนในครั้งนี้? มันมากกว่าหนึ่งหมื่นคนเลยนะ! นั่นก็หมายความว่า หลังจากที่เข้าสู่ชั้นแรกของเจดีย์แล้วต้องกำจัดผู้คนกว่าแปดพันคนขึ้นไป!”
…
เฉินซีเพิ่งมายืนอยู่ที่ด้านข้างของผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมในงานเทียบอันดับมังกรซ่อน ก็มีคลื่นของการสนทนาเข้ามาในหูของเขา เขารู้สึกสงสัยขึ้นมา จึงกล่าวผ่านกระแสปราณไปยังต้วนมู่เจ๋อ “ตราบเท่าที่ยังยืนหยัดจนถึงที่สุด คนผู้นั้นก็สามารถเข้าไปในชั้นที่สองของเจดีย์ได้ เหตุใดจึงจำเป็นต้องยึดตราคำสั่งอีกล่ะ”
“ด้วยจำนวนคนมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ถ้าทุกคนไม่ได้ต่อสู้อะไรเลยจะเป็นอย่างไรเล่า? แล้วจะคัดคนออกได้อย่างไร” ต้วนมู่เจ๋อยิ้มขณะกล่าวผ่านกระแสปราณ “การยึดตราคำสั่งเป็นวิธีการผลักดันให้เจ้าเริ่มต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเจ้ายึดตราคำสั่งได้มากเท่าไร แม้ว่าเจ้าจะถูกคัดออก แต่เจ้าก็สามารถใช้ตราคำสั่งเหล่านี้เพื่อรับรางวัลมากมายจากนิกายใหญ่ต่าง ๆ ได้อยู่ดี ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครบ้างที่จะไม่ยึดตราคำสั่งและต่อสู้อย่างเต็มที่?”
ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจ เห็นได้ชัดว่ามีสองวิธีในการรับรางวัลมากมายจากงานเทียบอันดับมังกรซ่อน วิธีที่หนึ่งคือต้องยึดตราคำสั่งเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นรางวัล และวิธีที่สองคือการพึ่งพาการจัดอันดับเพื่อได้รับรางวัล
ผู้บ่มเพาะที่อยู่หนึ่งร้อยอันดับแรกจะได้รับเม็ดยาและเคล็ดวิชาการบ่มเพาะจำนวนมากเป็นรางวัล
ผู้บ่มเพาะที่ติดห้าสิบอันดับแรกไม่เพียงแต่จะได้รับยาเม็ดยาและเคล็ดวิชาการบ่มเพาะจำนวนมากเท่านั้น พวกเขายังได้รับศัสตราวิเศษที่ทรงพลังเป็นรางวัลอีกด้วย
ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในสิบอันดับแรกนั้นมีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่แปดนิกายใหญ่ หกตระกูลใหญ่ และสามสำนักใหญ่เพื่อเป็นศิษย์หลักหรือศิษย์ชั้นยอดของพวกเขา
ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในสามอันดับแรกจะถูกมองว่าเป็นศิษย์สายตรงที่ได้รับการถ่ายทอดโดยผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ!
ผู้บ่มเพาะที่ได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่งจะไม่เพียงแต่ได้รับรางวัลมากมายมหาศาลเท่านั้น ยังได้รับการอนุญาตให้เลือกผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติมาเป็นปรมาจารย์ของตนเองอีกด้วย!
“ฮ่า ๆๆ! เฉินซีเจ้าก็มาที่นี่ด้วยหรือ!” ในขณะนั้นเองก็มีเสียงคล้ายฟ้าร้องดังกึกก้อง และเสียงที่ตามมาคือชายหนุ่มที่มีร่างกายกำยำกำลังก้าวยาว ๆ มาแต่ไกล มันคืออัจฉริยะตัวน้อยของตระกูลเซี่ย ‘เซี่ยจ้าน’
ศิษย์ชายหญิงกว่าสิบคนในชุดสีเขียวเข้มเดินตามหลังเขามา และมีสัญลักษณ์แบบเดียวกันประดับอยู่บนหน้าอกของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มและหญิงสาวเหล่านี้ล้วนเป็นสมาชิกของตระกูลเซี่ย ที่เข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนในครั้งนี้
สภาพแวดล้อมทั้งหมดของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ แต่เดิมมีบรรยากาศที่เงียบสงบมากเนื่องจากผู้นำของขุมพลังต่าง ๆ นั่งอยู่บนแท่นหยก แต่เสียงหัวเราะที่ดังของเซี่ยจ้านดูเหมือนจะสะดุดตาเป็นอย่างมากและในชั่วพริบตาก็ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่รั้งอยู่
“เฉินซี?”
“ก็เขานั่นแหละ! แต่ข่าวลือไม่ได้บอกว่านายน้อยของตระกูลเซี่ยเป็นศัตรูกับเฉินซีหรอกหรือ?”
“ฮึ่ม! เจ้าเซี่ยจ้านคนนั้นทำเช่นนี้โดยเจตนาเพื่อให้ทุกคนได้เห็นรูปลักษณ์ของเฉินซี ท้ายที่สุดแล้ว ตระกูลซูได้สัญญาว่าจะให้รางวัลมากมาย หากใครก็ตามที่สามารถเอาชนะเฉินซีภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ก็จะได้รับรางวัลเป็นวารีวิญญาณ 250,000 จิน และศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดอีกสามชิ้น!”
“ช่างเลือดเย็นเสียจริง! นี้มันยืมมือคนอื่นฆ่าคนใช่หรือ! ข้าเกรงว่าตราบใดที่เฉินซีได้เข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน! อีกทั้ง หมัดเพียงหนึ่งคู่ไม่อาจต้านทานหมัดทั้งสองคู่ได้ ไม่ว่าเขาจะทรงพลังสักแค่ไหน แต่คงต้องพ่ายแพ้และถอนตัวจากงานเทียบอันดับมังกรซ่อนไปอย่างแน่นอน”
“ถอนตัวหรือ? ตระกูลซูอาจเตรียมการเพื่อฆ่าเฉินซีตั้งแต่แรกแล้ว พวกมันจะปล่อยให้เขาหนีไปได้อย่างไร มันคงยากสำหรับคนผู้นี้ที่จะรอดพ้นจากหายนะในครั้งนี้”
ไม่เพียงแต่ผู้คนรอบข้างกำลังกล่าวถึงเฉินซี แม้แต่ผู้นำหลายคนบนแท่นหยกก็ยังจ้องมองไปที่เฉินซี ในหมู่พวกเขา ท่าทางของซูเจิ่นเทียนนั้นอาจกล่าวได้ว่ามืดมนเป็นอย่างยิ่ง และเจตนาฆ่าในดวงตาของเขาก็ไม่ได้ถูกปกปิดเลยแม้แต่น้อย
ซู่เจินเทียนไม่ได้ตั้งใจปกปิดมัน เนื่องจากเรื่องที่เฉินซีทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ทั้งหกคนและผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำอีกหนึ่งคนของตระกูลซู นั้นเป็นที่ล่วงรู้ในบรรดาขุมพลังอันยิ่งใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร ดังนั้นจะไปมีความหมายอะไรที่ปกปิดมันอีก?
“พี่ชายของเจ้าสัญญาว่าจะไม่หาเรื่องกับข้าอีก” เฉินซีไม่ได้สนใจต่อการสนทนารอบข้างและเขามองไปที่เซี่ยจ้านที่หัวเราะอย่างอิ่มเอมใจต่อหน้าเขา เจตนาฆ่าปรากฏขึ้นในใจของเขาทันที
“ข้าแค่ทักทายเจ้าเฉย ๆ” เซี่ยจ้านยักไหล่และมีท่าทางไม่เป็นอันตราย “นี้ข้าสร้างปัญหาให้เจ้าหรือเปล่านิ?”
เฉินซีไม่ได้สนใจคนผู้นี้อีกต่อไป เขาตัดสินใจแล้วว่าเมื่อเขาเข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เขาจะกำจัดคนผู้นี้ก่อนเป็นแน่ การตัดวัชพืชแต่ไม่ถอนรากนั้นเต็มไปด้วยปัญหาในอนาคตอย่างที่คาดการณ์ไว้
“เจ้าคิดเป็นศัตรูกับข้าภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์หรือ? ช่างน่าเสียดาย เจ้าคงไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะคนส่วนใหญ่จะฆ่าเจ้าและรีบไปรับรางวัลจากตระกูลซู แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังรู้สึกประทับใจอย่างมากกับรางวัลเหล่านั้น” เซี่ยจ้านกล่าวอย่างประชดประชัน ทันทีที่เขากล่าวจบ เขาก็นำศิษย์ตระกูลเซี่ยทั้งสิบคนที่อยู่ข้างหลังขณะหันหลังจากไป ดูเหมือนเขาเกรงว่าถูกเข้าใจผิดว่าเกี่ยวข้องเฉินซีและกลายเป็นเป้าหมายร่วมกัน
“พี่ใหญ่!” หลังจากที่เซี่ยจ้านจากไป เสียงโห่ร้องอย่างร่าเริงก็ดังขึ้น และเด็กหนุ่มผู้มีชีวิตชีวาพร้อมความกล้าหาญที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงินของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น
รูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่มคนนี้มีความคล้ายคลึงกับเฉินซีถึงเจ็ดแปดส่วน แต่นิสัยของเขากลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เฉินซีผู้เฉยเมยราวกับน้ำ ผ่อนคลายและไม่ธรรมดา ในขณะที่เขามีจิตวิญญาณของวีรบุรุษที่กดขี่ข่มเหง ร่างกายของเขามีกลิ่นอายที่ดุร้ายซึ่งเปรียบเสมือนใบมีดที่คมกริบ ทำให้เขาเป็นเหมือนกระบี่อันล้ำค่าที่ปลดออกจากฝักและเผยคมของมันออกมาจนหมด
คนผู้นี้เป็นน้องชายของเฉินซี ซึ่งก็คือ’เฉินฮ่าว’นั้นเอง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซีเมื่อเห็นน้องชายของเขา จากนั้นเขาก็มองอย่างจดจ่อไปที่ร่างของเฉินฮ่าวที่ปล่อยกลิ่นอายเพลิงวิญญาณจาง ๆ ที่บริสุทธิ์ กว้างใหญ่ และทรงพลัง อีกทั้ง ความอุดมสมบูรณ์ของเนื้อหนัง เลือด พลังชีวิต และลมปราณได้บรรลุถึงระดับที่น่าอัศจรรย์
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “อาจารย์ของเจ้าได้ช่วยสร้างร่างกายของเจ้าขึ้นมาใหม่แล้วหรือ?”
“ใช่แล้ว!” เฉินฮ่าวพยักหน้าอย่างรุนแรง และใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าขณะที่กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้ารู้สถานการณ์ของท่านแล้ว มันก็แค่การสู้กับคนนับหมื่นไม่ใช่หรือ? ข้าไม่เชื่อว่าเราจะเอาชนะพวกมันไม่ได้โดยที่เราทั้งคู่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน”
“นี่คือน้องชายของเจ้าหรือ? ช่างเป็นน้ำเสียงที่มั่นใจในตัวเองเหลือเกิน! บอกข้าสิ การบ่มเพาะของเจ้าบรรลุถึงระดับใดแล้ว?” ต้วนมู่เจ๋อเดินไปข้างหน้าและแย้มยิ้มขณะที่เขาถาม
เฉินฮ่าวชำเลืองมองเขาจากนั้นก็แสร้งเป็นหูหนวกใส่ต้วนมู่เจ๋อ
เฉินซีจึงอธิบายจากด้านข้าง “เขาเป็นสหายของข้า มีนามว่าต้วนมู่เจ๋อ” จากนั้น เฉินซีก็ชี้ไปที่ตู้ชิงซีและซ่งหลินจึงกล่าวว่า “พวกเขาก็เป็นสหายของข้าเช่นกัน คนนี่คือตู้ชิงซีและอีกคนคือซ่งหลิน”
“สหายของพี่ชายข้าย่อมเป็นสหายของข้า” ในตอนนี้เฉินฮ่าวพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าได้บ่มเพาะถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดาราแล้ว และการฝึกฝนของข้าในเต๋าแห่งการต่อสู้ได้บรรลุถึงขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้ง. ส่วนเต๋าแห่งการรู้แจ้งที่ข้าบรรลุก็คือเต๋ากระบี่เที่ยงธรรม”
ร่างของต้วนมู่เจ๋อแข็งทื่อขณะที่เขาถามว่า “เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?”
“อายุมันสำคัญตรงไหนหรือ?” เฉินฮ่าวขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้เป็นสหายของพี่ชาย ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตอบเท่านั้น “ข้าเพิ่งอายุ 15 ปีในปีนี้”
ต้วนมู่เจ๋ออ้าปากค้างและร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “เจ้ามันตัวประหลาด!”