บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1321 สถานที่แห่งความวุ่นวาย
บทที่ 1321 สถานที่แห่งความวุ่นวาย
คอของหวงหลางถูกเฉินซีจับเอาไว้ เขาดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์อยู่พักหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะร้องโหยหวนออกมา “ปล่อย! ปล่อยข้าซะ! ไอ้บัดซบ…!”
กร๊อบ!
กระดูกคอของหวงหลางแตกละเอียด ทำให้เสียงของเขาขาดห้วง คอพับไปทางด้านข้างและสิ้นใจทันที
“แม้ว่าศิลาอมตะจะล้ำค่า แต่เจ้าต้องมีปัญญารักษาชีวิตเพื่อที่จะได้ใช้มัน” เฉินซีหยิบกระเป๋าเก็บของคืนมา จากนั้นก็โยนศพหวงหลางทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ
เมื่อเห็นฉากที่โหดเหี้ยมและเด็ดขาดนี้ หลี่เปาและคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทา สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นฉับพลัน ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่จะเป็นคนโหดเหี้ยมโดยแท้จริง
“พวกเจ้าคิดจะล้างแค้น หรือจะไสหัวไปในตอนที่ยังมีโอกาส?” เฉินซีเงยหน้าขึ้น สายตาคมกริบดุจกระบี่กวาดผ่านอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
“สหาย นี่คือเมืองคนบาป การกระทำของเจ้านับว่าเกินไปมาก!” หลี่เปาซึ่งเป็นผู้นำแค่นเสียงเย็น พลางจ้องเขม็งด้วยใบหน้าน่ากลัว
“แล้วพวกเจ้าคิดจะล้างแค้นให้เขาหรือ?” สีหน้าของเฉินซียังคงสงบเช่นเคย
ดวงตาของหลี่เปาหรี่ลง และไม่สามารถอ่านความคิดของอีกฝ่ายได้ “การฆ่าคนเป็นเรื่องที่ผิดอยู่เสมอ สหาย ทำไมเจ้าถึงไม่ทิ้งของมีค่าของเจ้าไว้ แล้วเราจะปล่อยเจ้าไป ดีหรือไม่?”
เฉินซียิ้ม “แล้วถ้าข้าไม่เห็นด้วยล่ะ”
“เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ? เช่นนั้นพี่น้องของเราก็จะไม่เห็นด้วยเช่นกัน ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง นี่คือเมืองคนบาป เจ้าเป็นแค่ผู้มาใหม่ อย่าได้สร้างปัญหาและเอาชีวิตมาทิ้ง!” หลี่เปาเผยรอยยิ้มอันน่าสยดสยอง กลิ่นอายแห่งบาปในร่างกายพลุ่งพล่านอย่างดุเดือด
ที่ด้านหลัง เหล่าบริวารต่างหัวเราะอย่างเย็นชาไม่รู้จบ สายตาเผยให้เห็นความโหดเหี้ยมและกระหายเลือด
ในตลอดหลายปีที่พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองคนบาป ได้เห็นผู้มาใหม่มากมายเช่นเฉินซี ซึ่งทั้งหมดล้วนหยิ่งยโสอวดดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องตกตายเพราะความอวดดีของตน
สายตาของเฉินซีวาววับด้วยประกายแสงเย็นเฉียบและน่าสะพรึงกลัว “ข้าขอเตือนพวกเจ้าอีกครั้ง ข้าจะนับถึงสาม พวกเจ้ารีบไสหัวไปซะดีกว่า”
สิ้นสุดเสียงพูด มันก็เหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่ดังกึกก้องจนแก้วหูแทบแตก
ครืน!
อากาศสั่นสะเทือนด้วยคลื่นเสียงที่ไร้รูปร่าง และทำให้จิตใจผู้ฟังกระสับกระส่าย ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าของพวกเขายังดูเคร่งเครียด และถูกกดดันจนถอยร่นกลับไปด้วยความกลัว
“บัดซบ! เจ้าเป็นใครกัน?” เสียงของเฉินซีมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวของมหาเต๋า และมันทำให้หัวใจของหลี่เปาสั่นสะท้านจนเห็นภาพหลอน พลางก้าวถอยร่นกลับไปอย่างไม่รู้ตัว เสียงเข้มตะโกนเสียงดังน่ากลัวเพราะโมโหจากความอับอาย
“หนึ่ง!” เฉินซีไม่ตอบคำ และนับถอยหลังอย่างใจเย็น
“ทุกคนลงมือ! ฆ่าไอ้โง่บัดซบนี้ซะ!” หลี่เป่าโบกมือ เขาคำรามด้วยสีหน้าดุร้าย
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ผู้เยี่ยมยุทธ์ของขอบเขตเซียนลึกลับกว่าสามสิบคนและผู้เยี่ยมยุทธ์ของขอบเขตเซียนทองคำจำนวนหนึ่งเข้าจู่โจมพร้อมกัน ร่างหลายร่างพุ่งใส่เฉินซีจากทุกทิศทุกทาง
“สอง!” ทันใดนั้น ร่างของเฉินซีก็หายไปในอากาศ ทำให้การโจมตีทั้งหมดพลาดเป้า
นัยน์ตาของหลี่เปาหรี่ลง ลางร้ายบังเกิดขึ้นในใจของเขา และก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง เสียงของเฉินซีก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“สาม!”
สิ้นเสียง ร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เสียงสะบัดแขนเสื้อดังควับ ทำให้ปราณกระบี่สังหารหลายเล่มพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ในเวลาต่อมา มันก็ได้ปกคลุมผืนฟ้าและแผ่นดินทั้งหมด ราวกับตาข่ายกระบี่ที่ถักทออย่างประณีต!
พรูด! พรูด! พรูด!
เลือดพุ่งกระฉูดประหนึ่งน้ำพุ!
ชิ้นเนื้อกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับกว่าสามสิบคนที่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรงของเฉินซี ถูกฟันจนร่างขาดสะบั้นเป็นท่อน ๆ ไม่มีโอกาสที่จะร้องโหยหวนด้วยซ้ำ เพราะปราณกระบี่นั่นเร็วและคมกริบ เหนือล้ำเกินจินตนาการ ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตเซียนลึกลับ ก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวกที่ไร้พลัง แล้วพวกเขาจะต้านทานเฉินซีได้อย่างไร?
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?” หลี่เปารู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีด เขาสังหารบริวารของข้าไปกว่าครึ่งด้วยกระบวนท่าเดียว? ชายคนนี้เป็นใครกันแน่?!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ปราณกระบี่กวาดผ่านท้องฟ้าทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ในช่วงเวลาที่หลี่เปามึนงง ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำที่ยังเหลืออยู่ ต่างก็ถูกสังหารด้วยปราณกระบี่ และมันถึงขนาดที่ดวงวิญญาณของพวกเขาถูกสับเป็นชิ้น ๆ
“บัดซบ! ข้าเหยียบหางมังกรหลับเข้าแล้ว!” ใบหน้าของหลี่เปาซีดเซียว เพราะคนที่สามารถสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำเจ็ดคนได้ในชั่วพริบตา นั่นหาได้ยากยิ่งแม้แต่ในเมืองคนบาปก็ตาม!
ทันใดนั้น หลี่เปาก็ตระหนักได้ว่า ชายตรงหน้าไม่ใช่ลูกแกะที่รอถูกเชือดเฉือน แต่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ซ่อนเร้นพลังฝีมืออันน่าสะพรึงเอาไว้! แต่ตอนนี้…มันสายเกินไปที่จะเสียใจแล้ว
“ฆ่า!” ทันใดนั้น หลี่เปาหายใจเข้าลึก พลังบาปในร่างกายพุ่งสูงขึ้น เขากำหอกสีแดงเลือดไว้แน่น พร้อมกับโจมตีใส่เฉินซีอย่างดุเดือดทันที
โครม!
มิติแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ หอกพุ่งผ่านท้องฟ้าอย่างรุนแรง ประหนึ่งพายุที่โหมกระหน่ำ มันแสดงให้เห็นถึงพลังของขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง ซึ่งหากการโจมตีของหลี่เปาประสบความสำเร็จ แม้แต่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตการบ่มเพาะระดับเดียวกัน ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบเลี่ยงการโจมตีนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับการโจมตีนี้ ร่างของเฉินซีกลับหยุดเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มจ้องมองหอกสีแดงเลือดที่วูบวาบอยู่ตรงหน้า และเมื่อมันอยู่ห่างจากหน้าอกเพียงสิบสองชุ่น เฉินซีก็คว้ามันอย่างง่ายดาย
โครม!
หอกสีแดงเลือดหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ไม่สามารถขยับไปข้างหน้าแม้แต่น้อย!
ที่อีกด้านหนึ่งของหอก นัยน์ตาของหลี่เปาเบิกโพลง สีหน้าไร้สีอย่างน่าสยดสยอง ความหวาดกลัวและความประหลาดใจก็ปกคลุมใบหน้าอย่างควบคุมไม่ได้
ในขณะนี้ เขาไม่กล้าเสียเวลาอีกต่อไป ทิ้งหอกสีแดงเลือดไว้เบื้องหลัง ก่อนจะทะยานออกไปหมายหลบหนีจากความตาย เพราะตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของชายผู้นี้น่ากลัวเกินไป เขาไม่อาจต่อกรได้!
“อภัยให้ข้าด้วย แต่ข้าต้องใช้หัวของเจ้า”
เสียงที่ไม่แยแสดังก้องข้างหูของหลี่เปา ทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ตระหนกจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ภายใต้การคุกคามของความตาย เขาจึงร้องขอความเมตตาเสียงโหยหวน
ทว่าเสียงที่ออกมากลับเป็นเพียงเสียงอู้อี้ กว่าจะรู้ตัวร่างกายของเขาก็ไม่มีหัวอยู่แล้ว…
นั่นเป็นเพราะ การโจมตีของเฉินซีนั้นรวดเร็วเกินไป ตัดคออย่างเฉียบคม ทำให้หัวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าภายในกระบี่เดียว
หลังจากนั้น วิสัยทัศน์ของหลี่เปาก็มืดลง เมื่อชีวิตของเขาดับสูญ
พรูด!
โลหิตกระฉูดเหมือนน้ำพุพุ่งสู่ท้องฟ้า และหัวของหลี่เปาอยู่ในมือของเฉินซีแล้ว
คงไม่มีใครกล้าหาเรื่องกับข้าอีก หากถือหัวของเจ้าเอาไว้เช่นนี้…
เฉินซีลูบคางเบา ๆ และไม่เหลือบแลซากศพบนพื้นอีก จากนั้นจึงจากไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหัวของหลี่เปาที่อยู่ในมือ
การต่อสู้ทั้งหมด ดำเนินไปเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่ไม่ใช่การต่อสู้ แต่มันคือการล้างบาง!
“ช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ!”
“ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นผู้มาใหม่ โชคร้ายที่ไอ้โง่หลี่เปา ติดนิสัยวางท่าอย่างหยิ่งยโสในตลอดหลายปีที่ผ่านมา และสะเพร่าไม่ตรวจสอบพลังฝีมือของอีกฝ่ายก่อน ทั้งยังลงมืออย่างบุ่มบ่าม นั้นไม่เท่ากับการแส่หาความตายหรอกหรือ?”
“แต่ก็ยังดีที่หลี่เปาตายแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้เราตระหนักได้ว่า พลังฝีมือของชายคนนั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง”
“ข้าสงสัยว่าเด็กคนนี้เป็นใครกัน? พวกเราต้องจบสิ้นแน่ ถ้าเขาเป็นนักล่าเซียน…”
“ส่งคนไปสืบข่าวซะ!”
หลังจากที่เฉินซีจากไป ร่างจำนวนมากก็ปรากฏตัวในที่เกิดเหตุ สีหน้าของพวกเขาต่างหนักอึ้งขณะจ้องมองซากศพและเลือดที่ไหลนอง พวกเขาสนทนากันเบา ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะทยอยจากไป
ไม่มีใครฝังศพ และไม่มีใครเก็บกวาดสนามรบ
เนื่องจากเมืองคนบาปมีการต่อสู้เกิดขึ้นมากมายอยู่ทุกวัน เหล่าคนบาปในเมืองคนบาปจึงคุ้นเคยกับความเป็นและความตายมานานแล้ว นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพวกเขา
…
เฉินซีถือหัวของหลี่เปาเอาไว้ ตลอดทาง มันดึงดูดสายตาประหลาดใจของหลาย ๆ คน ทว่าไม่มีใครสักคนที่กล้ามาเรื่องตน
นี่คืออานุภาพของการยับยั้ง
หลี่เปานับเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองคนบาป และในฐานะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง ไม่เพียงแต่วิธีการของเขาที่โหดเหี้ยมเท่านั้น แต่ยังมีบริวารจำนวนมาก จึงแทบไม่มีใครกล้าล่วงเกินหลี่เปา
ทว่าตอนนี้ หัวของหลี่เปากลับอยู่ในมือของชายหนุ่มแปลกหน้า และความหมายเบื้องหลังสิ่งนี้ก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดเฉินซีก็พบภัตตาคารวิญญาณมังกร
มันเป็นร้านอาหารที่สูงตระหง่านขึ้นไปยังหมู่เมฆ และตั้งอยู่ที่นอกเมืองอนันตรา และทะเลอนันตราอันกว้างใหญ่ไพศาลก็อยู่ใกล้เคียง
ภัตตาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากหินขนาดมหึมาที่มีสีดำสนิททั้งหลัง ในขณะที่พื้นผิวของภัตตาคารถูกปกคลุมไปด้วยคราบเลือดสีแดงเข้ม เมื่อมองจากระยะไกล มันก็เหมือนกับมังกรดำที่ชูคอผงาดขึ้นไปบนท้องฟ้า และแผ่กลิ่นอายอันดุร้ายออกมา
ไม่นึกเลยว่าภัตตาคารเช่นนี้จะมีอยู่ในเมืองคนบาปจริง ๆ… เฉินซีจ้องมองภัตตาคารวิญญาณมังกรอยู่พักหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปทันที
“นายน้อย ท่านมาเพื่อเข้าพักหรือเพื่อกินอาหาร?” เมื่อเห็นเฉินซีเดินเข้ามาในขณะที่หิ้วหัวของหลี่เปา มุมปากของผู้จัดการที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินก็อดไม่ได้ที่จะกระตุก และรีบต้อนรับเฉินซีด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง แต่คงไม่เกินสิบวัน” เฉินซีโยนถุงเก็บของลงไป และมันคือศิลาอมตะห้าพันก้อนที่มอบให้หวงหลางก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้หวงหลางกลับไม่มีชีวิตได้ใช้มันอีกต่อไป
“สิบวัน? นี่มันยังไม่พอ หากท่านจะเข้าพักที่นี่” ผู้จัดการเหลือบมองที่กระเป๋าเก็บของหลังจากได้รับมัน แล้วกล่าวด้วยสีหน้าอึดอัดใจ
จากคำพูดของผู้จัดการ เมืองบาปนั้นแตกต่างจากโลกภายนอก และราคาของที่นี่ก็สูงกว่าปกติอย่างน่าตกใจ เหตุผลก็คือสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย และมีคนบาปจากทั่วสารทิศมารวมอยู่ที่นี่ ดังนั้นเหล่าพ่อค้าจึงไม่กล้ามาทำค้าขายที่นี่
สิ่งนี้ทำให้เมืองคนบาปขาดแคลนสินค้าอย่างรุนแรง ดังนั้นต้นทุนจึงสูงมาก
เฉินซีเข้าใจสิ่งนี้ เขาจึงวางศิลาอมตะอีกห้าพันก้อน ก่อนที่ถูกพาไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสาม
“นายน้อย ท่านต้องระวังตัว ภัตตาคารวิญญาณมังกรของข้าจะไม่รับผิดชอบต่ออุบัติเหตุใด ๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่” ก่อนที่เขาจะจากไป ผู้จัดการเหลือบมองหัวในมือของเฉินซี แล้วกล่าวเตือนด้วยคำพูดที่แฝงด้วยความหมายอันลึกซึ้ง
“ขอบคุณที่เตือน” เฉินซียิ้มและไม่แปลกใจกับสิ่งนี้
หลังจากที่เขาพักผ่อนอยู่ในห้องได้สักพัก เฉินซีก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจออกจากห้อง ชายหนุ่มมาถึงห้องโถงบริเวณชั้นหนึ่ง แล้วจึงสั่งอาหารกับสุรามาชุดหนึ่ง ก่อนจะรับประทานและดื่มเพียงลำพัง
ข้าสงสัยว่าแม่นางเตียนเตี้ยนจะมาถึงเมื่อใด ยิ่งข้าอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งไม่สามารถยับยั้งตัวเองจากการฆ่าผู้คนได้มากขึ้นเท่านั้น…
เฉินซีหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง และสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่ามีวายร้ายนับไม่ถ้วนที่ก่ออาชญากรรมในระยะสองร้อยห้าลี้รอบตัว คนเหล่านั้นกำลังฆ่าคน หรือมีส่วนร่วมในความขัดแย้ง ทำให้กลิ่นคาวเลือด บาป… และกลิ่นอายต่าง ๆ กระจายอยู่ในอากาศตลอดเวลา
มันเป็นพลังบาป และเป็นต้นกำเนิดของบาป
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาคนดีที่นี่ได้
รวมถึงผู้จัดการที่กำลังจดจ้องเขาจากหลังโต๊ะคิดเงินอยู่ในขณะนี้ แม้ร่างกายของผู้จัดการจะดูสะอาด แต่จริง ๆ แล้วเฉินซีตระหนักดีว่า คนผู้นี้ได้ยับยั้งกลิ่นอายแห่งบาปในร่างกายของตน อย่างไรก็ตาม เมื่อมันถูกปล่อยออกมา มันจะยิ่งใหญ่กว่าของหลี่เปาด้วยซ้ำ
นี่คือเมืองคนบาป สวรรค์ที่เหล่าวายร้ายมารวมตัวกัน!