บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1333 เหตุไม่คาดฝัน
บทที่ 1333 เหตุไม่คาดฝัน
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ขณะที่กล่าว ซุ่ยเหรินถิงพลันสะบัดแขนเสื้อ และเจดีย์หยกโบราณสีดำก็หมุนวนไปรอบ ๆ บีบให้ธารเลือดสีทองของราชันเซียนพุ่งออกมาจากภายใน และกลายเป็นแม่น้ำที่พุ่งทะลุท้องฟ้า
เลือดสีทองนั้นแฝงไปด้วยกฎแห่งราชันเซียน แผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา และเมื่อมันมาบรรจบจนเป็นแม่น้ำ มันก็สว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างไปทุกยุคทุกสมัย ปรากฏเป็นภาพที่หวาดหวั่นใจ
เลือดเหล่านี้มาจากราชันเซียนทั้งสอง ซึ่งคือเล่อเชียนโฉวและเป่ยห่าวหลิง!
ก่อนหน้านี้ ทั้งสองคือเจ้านิกายยุคแรกกำเนิด ซึ่งเป็นนิกายสูงสุด แต่ตอนนี้ พวกเขากลับมาจบชีวิตด้วยน้ำมือของซุ่ยเหรินถิง ยิ่งไปกว่านั้น แม้ชีวิตจะดับสูญ แต่ร่างกาย วิญญาณ เลือด และการบ่มเพาะกลับถูกถวายเป็นเครื่องบูชายัญ มันจึงน่าสมเพชเหลือคณนา
นี่คือวิธีการของนิกายอำนาจเทวะ!
ไร้อารมณ์ โหดเหี้ยม และทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย!
ครืน!
ในขณะที่เฝ้าดูแม่น้ำเลือดของราชันเซียนที่มีสีทองสดใส ซึ่งกลายเป็นแสงสาดส่องไปทั่วมิติอันไร้ขอบเขต และพุ่งเข้าสู่ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์ที่วางไว้เมื่อนานมาแล้ว ซุ่ยเหรินถิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“โชคดีที่เราได้รับความช่วยเหลือจากเจดีย์วิถีพญาปราชญ์ในครั้งนี้ มิฉะนั้นเราอาจต้องเจอศึกหนักเพื่อฆ่าไอ้บัดซบสองตัวนั้น” ซุ่ยเหรินถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มันก็แค่ไอ้โง่สองตัวที่ดวงจิตแห่งเต๋าถูกครอบงำด้วยความโลภ ทันทีที่ได้ยินว่าจะสามารถกลายเป็นเทพได้ เมื่อนั้นก็กลายเป็นเบี้ยในมือของเราแล้ว ช่างน่าสมเพชอย่างแท้จริง” เจี้ยงหลิงเซียวกล่าวอย่างดูถูก
หลังจากนั้น คิ้วที่สวยงามของนางก็ขมวดเข้าหากัน “อย่างไรก็ตาม ศิษย์พี่ซุ่ยเหริน แม้ว่าค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์จะได้รับการถวายด้วยชีวิตของราชันเซียนถึงสองคน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำลายล้างสืออวี๋และคนอื่น ๆ”
“อย่าได้กังวลศิษย์น้อง ก่อนที่เราจะมาถึงซากโบราณสถานแรกกำเนิด ท่านอาจารย์ได้ทำนายถึงสมบัติที่ตำหนักเต๋าหนี่หวาจัดเตรียมไว้ ดังนั้นจึงอนุญาตให้ข้านำกระจกปฐพีไร้ขอบเขตมาด้วยเป็นกรณีพิเศษ” ท่าทางของซุ่ยเหรินถิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิและความมั่นใจ
“ข้าได้วางสมบัติศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ในค่ายกลศักดิ์สิทธิ์แล้ว ดังนั้นการทำลายราชันเซียนทั้งสามจึงง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ คือรอผลลัพธ์อย่างใจเย็นก็พอ”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ ดวงตาของเขาก็พลุ่งพล่านไปด้วยแสงเรืองรอง “เมื่อถึงเวลานั้น สมบัติต่าง ๆ ที่อยู่ในการครอบครองของพวกมัน ก็จะตกเป็นของเรา ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
ทันทีที่สิ้นคำ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองจากการหัวเราะลั่นได้
เจี้ยงหลิงเซียวย่นริมฝีปากของนางและหัวเราะอย่างไม่รู้จบเช่นกัน ท่าทางก็อ่อนโยนและถ่อมตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวกลับเฉยเมยและไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง
…
หลังจากผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง เมื่อเฉินซีฟื้นความรู้สึก การต่อสู้ก็สงบลงแล้ว
ในระยะสายตา ซากศพ เลือด โครงกระดูก และมิติที่กว้างใหญ่นั่นพังทลายกระจายตัวออกไปทั่วบริเวณโดยรอบ… กระแสห้วงมิติที่ปั่นป่วนกำลังฟื้นคืนความสงบ แต่กลิ่นคาวเลือดและจิตสังหารที่ปกคลุมฟ้าดินกลับไม่สามารถขจัดออกไปได้ในระยะเวลาอันสั้น
มันจบลงแล้วหรือ?
ศพของเทพโลหิตโบราณจำนวนหลายหมื่นศพ และศพของราชันเซียนโบราณสี่ศพล้วนถูกทำลายล้างไปหมดแล้วหรือ?
เฉินซีลืมตาให้กว้างขึ้น แทบไม่กล้าเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
หากกล่าวอย่างมีเหตุผล เขาควรจะรู้สึกยินดี แต่เมื่อจ้องมองไปที่เตียนเตี้ยน สืออวี๋ และเซียงหลิวหลี หัวใจกลับกระตุกอย่างรุนแรง
เพราะสีหน้าของพวกเขายังตึงเครียดไม่เสื่อมคลาย มันดูน่ากลัวยิ่งกว่าก่อนเริ่มการต่อสู้เสียอีก
หรือว่า… การต่อสู้จะยังไม่จบ?
ใช่แล้ว มันยังไม่จบ!
ในไม่ช้า เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าแม้ว่าซากศพจะถูกกวาดล้างออกไปแล้ว แต่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ยังคงลอยอยู่ในบริเวณโดยรอบ ยิ่งไปกว่านั้น ศพที่แหลกเละ คราบเลือดสีแดงเข้ม และกองกระดูกที่ปกคลุมท้องฟ้า ล้วนแต่ถูกปกคลุมด้วยพลังที่ไร้รูปร่าง และค่อย ๆ ขยับเขยื้อนทีละน้อย
พลังนั้นเป็นสีดำสนิทที่ดูคลุมเครือ มันแพร่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ในขณะเดียวกันก็แผ่ซ่านพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวของหายนะ
“นี่คือ…” เฉินซีรู้สึกผวา ในขณะที่ความหวาดกลัวที่ไม่สามารถควบคุมได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ราวกับกำลังเผชิญกับหายนะอันน่าสยดสยอง
“ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์ เป็นหนึ่งในค่ายกลศักดิ์สิทธิ์โบราณของนิกายอำนาจเทวะที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ มันสามารถบดขยี้ทวยเทพและทำลายมหาเต๋า ว่ากันว่าความตายจะไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าหายนะจะสิ้นสุดลง” เสียงของเตียนเตี้ยนดังก้องอยู่ในหู น้ำเสียงหนักอึ้งจนไม่สามารถปกปิดได้
เฉินซีเข้าใจอย่างฉับพลัน แต่คลื่นพายุก็เกิดขึ้นในใจของเขาเช่นกัน “ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของนิกายอำนาจเทวะจริง ๆ และจากสถานการณ์ปัจจุบัน พวกมันคิดจะทำลายล้างพวกเราที่นี่!”
“ไยเรา… ถึงไม่ทำลายค่ายกลนี้ล่ะ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถาม เมื่อเห็นราชันเซียนทั้งสามยืนคร่ำเครียดอยู่กับที่
“ปฏิบัติการของนิกายอำนาจเทวะนั้นไม่ง่ายนัก เรารอดูท่าทีกันก่อนเถอะ” สืออวี๋ตอบอย่างใจเย็น “หากเราทำอะไรบุ่มบ่ามในเวลานี้ เกรงว่าเราอาจติดอยู่ในค่ายกล และเพลี่ยงพล้ำ”
เฉินซีขมวดคิ้ว และไม่เห็นด้วยกับความคิดที่คล้ายกับการรอคอยความตายเช่นนี้
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น พลางอนุมานในใจอย่างเงียบ ๆ ในท้ายที่สุด เขาสังเกตเห็นว่า ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์โบราณจากนิกายอำนาจเทวะมีพลังที่คลุมเครือ มันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถอนุมานและมองทะลุความเป็นจริงได้
ไม่ใช่ว่าการบ่มเพาะในเต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะขอบเขตการบ่มเพาะที่ต่ำเกินไป ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับพลังงานที่อยู่ภายในค่ายกลอย่างยิ่ง ทำให้ไม่สามารถอนุมานอะไรได้เลย
ครืน!
ในขณะนี้ พายุฝนสีทองก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า เม็ดฝนมีสีทองสดใส โปร่งแสง และเป็นผลึก ซึ่งเม็ดฝนแต่ละหยดก็มีพลังอันกว้างใหญ่และทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัว ตอนนี้มันกลายเป็นพายุฝนที่กระหน่ำลงมา เหตุุการณ์ตรงหน้านั้นน่าสะพรึงและไม่ธรรมดาจนไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด
พายุฝนกระหน่ำลงมาเหมือนน้ำตกของฟ้าดิน
หลังจากฝนสีทองตกลงกระทบกับซากศพและกระดูกที่แตกหัก เหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงก็ปรากฏขึ้น
ศพของเทพโลหิตบรรพกาลจำนวนมากถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นรูปร่างอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้พวกมันแตกต่างจากเมื่อก่อน ร่างกายถูกปกคลุมด้วยเส้นเลือดสีทองและกลิ่นอายแห่งหายนะสีเทา อีกทั้งยังรุนแรงมากกว่าก่อนหน้านี้ถึงสองเท่า!
ยิ่งไปกว่านั้น ศพของราชันเซียนโบราณทั้งสี่ที่แต่เดิมถูกทำลายเป็นชิ้น ๆ ตอนนี้กลับเริ่มรวมตัวกันเป็นรูปร่าง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยฝนสีทองและกลิ่นอายแห่งหายนะ
เฉินซีรู้สึกหายใจไม่ออก เพราะเขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า แม้สัมผัสกับฝนเพียงหยดเดียว มันก็เพียงพอที่จะคร่าชีวิตได้!
“เลือดของราชันเซียน!”
“ตามที่คาดไว้ นิกายอำนาจเทวะใช้เคล็ดวิชาบูชายัญที่โหดเหี้ยมและไร้ความปรานี! ดูเหมือนว่าพวกมันจะสังหารคนของนิกายยุคแรกกำเนิดที่ร่วมมือด้วยกันไปแล้ว!”
ในเวลาเดียวกันนั้น สืออวี๋และเซียงหลิวหลีก็กล่าวด้วยสีหน้าที่ตึงเครียดมากขึ้น
“ไม่อาจชักช้าได้แล้ว เราต้องฝ่าวงล้อมออกไป!” เตียนเตี้ยน ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
นี่คือสิ่งที่สืออวี๋และเซียงหลิวหลีคิดเช่นกันอย่างแน่นอน
“ฮึ่ม! ซุ่ยเหรินถิง เจ้าคิดว่าจะสามารถสังหารพวกเราด้วยความสามารถอ่อนด้อยนี้หรือ? ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!?” สืออวี๋คำรามอย่างเย็นชา ก่อนที่จะพลิกฝ่ามืออย่างสบาย ๆ และศิลาเบญจรงค์อันงดงามก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือ ทันทีที่มันปรากฏขึ้น ลำแสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ศิลาเบญจรงค์!
ในช่วงต้นของยุคก่อนประวัติศาสตร์ เสาทั้งสี่พังทลาย ทวีปทั้งเก้าถูกแยกออกจากกัน ท้องฟ้าและผืนดินสั่นคลอน หายนะแห่งฟ้าดินเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่สิ่งมีชีวิตและเผ่าพันธุ์มากมายในโลกจะอยู่รอดได้ ดังนั้นปรมาจารย์แห่งตำหนักเต๋าหนี่หวาจึงใช้ศิลาเบญจรงค์เพื่อซ่อมแซมท้องฟ้า และใช้พลังวิเศษอันสูงสุดเพื่อควบคุมชะตากรรมของทุกเผ่าพันธุ์!
นี่เป็นตำนาน แต่เห็นได้ชัดว่าศิลาเบญจรงค์นั้นน่าอัศจรรย์เพียงใด มันสามารถซ่อมแซมท้องฟ้าและกฎเต๋าแห่งสวรรค์จนกลับคืนสู่ความสมบูรณ์ได้ แล้วมันจะธรรมดาได้อย่างไร?
แต่ตอนนี้ เมื่อพวกเขาเห็นสืออวี๋ควักสมบัติศักดิ์สิทธิ์ออกมา เตียนเตี้ยนก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ “ไม่คิดเลย ว่าครั้งนี้เจ้าจะเตรียมไพ่เด็ดถึงขนาดนี้”
สืออวี๋ยิ้ม จากนั้นก็เผยสีหน้าเคร่งขรึม “ตามข้ามา เราต้องฝ่าวงค่ายกลนี้ไปในรวดเดียว!”
ทันทีที่สิ้นคำ ร่างของเขาก็เปล่งประกายและลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ศิลาเบญจรงค์ในมือกลายเป็นรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมผืนนภา ขณะสาดแสงลงมาสู่บริเวณโดยรอบ ละลายฝนสีทองที่ปกคลุมเบื้องบน บังเกิดเป็นเสียงดังฟู่เสียดหู
ในเวลาเดียวกัน เตียนเตี้ยน เซียงหลิวหลี และเฉินซีต่างพุ่งทะยานตามไปติด ๆ
ครืน!
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง แสงอันศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมท้องฟ้า ในขณะที่พลังมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัวได้ท่วมท้นเป็นระยะสองหมื่นห้าพันลี้
ในทางกลับกัน เฉินซีได้สูญเสียประสาทสัมผัสทั้งหมดอีกครั้ง ชายหนุ่มไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย รับรู้เพียงว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดนี้ น่าสะพรึงและเข้มข้นยิ่งกว่าครั้งก่อนนัก หากเตียนเตี้ยนไม่แบ่งพลังบางส่วนเพื่อปกป้องเขา ตัวตนเช่นเขาคงสลายหายไปในวงต่อสู้อันกว้างใหญ่นี้แล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้น่าอึดอัดยิ่ง!
มันเหมือนกับว่าชะตากรรมของเขาถูกล่ามโซ่ และอยู่ในกำมือของผู้อื่น ไร้ซึ่งพลังที่จะต่อต้าน
เฉินซีไม่ชอบความรู้สึกดังกล่าว และเกลียดมันจากก้นบึ้งของหัวใจ อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า หากไม่มีราชันเซียนทั้งสามนี้อยู่เคียงข้าง เขาก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแกะที่รอถูกเชือดอย่างแท้จริง
‘ความแข็งแกร่ง!’ เสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในใจของเฉินซี แม้ว่าจะเป็นเพียงคำเดียว แต่ก็อธิบายความปรารถนาของเขาได้อย่างชัดเจน เพราะความแข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้!
“ไม่ได้การ! นี่คือพลังของกระจกปฐพีไร้ขอบเขต!”
“ว่าอะไรนะ? ไอ้บัดซบซุ่ยเหรินถิงนั่นได้ใช้กระจกปฐพีไร้ขอบเขต เป็นรากฐานของค่ายกลนี้จริง ๆ!”
“ระวัง!!!”
ทันใดนั้น เสียงอุทานด้วยความตกใจของสืออวี๋ เตียนเตี้ยน และเซียงหลิวหลีซึ่งโกรธจัดได้ดังก้องอยู่ในหูของเขา และมันทำให้เฉินซีกลับมามีสติอีกครั้ง
ครืน!
ก่อนที่เฉินซีจะฟื้นคืนความรู้สึกได้อย่างสมบูรณ์ พลันรู้สึกว่าร่างกายกำลังสั่นอย่างรุนแรง กระดูกในร่างราวกับถูกทุบเป็นชิ้น ๆ และถูกเผา กลิ่นอายแห่งหายนะที่ไม่มีใครเทียบได้และเลือดของราชันเซียนได้พุ่งเข้าสู่ร่างกายเหมือนฝูงอาชาป่า พวกมันต่างโหมกระหน่ำอย่างดุเดือด ในขณะที่ความรู้สึกเจ็บปวดที่สุดจะพรรณนาได้แล่นไปทั่วกาย มันทรมานจนเขาไม่อาจควบคุมตัวเองและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ทันใดนั้น เฉินซีก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังจะระเบิด!
โอม!
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ คลื่นพลังผันผวนอันแปลกประหลาดก็แผ่ขยายออกมาจากห้วงจิตสำนึกของเขา มันแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำ และแท้จริงแล้ว มันเหมือนกับฉลามที่ได้กลิ่นเลือด ขณะที่มันกวาดเลือดของราชันเซียนที่พลุ่งพล่านภายในร่างออกไป
ด้วยเหตุนี้ ความเจ็บปวดอันรุนแรงก็ค่อย ๆ ทุเลาลง แต่กลิ่นอายแห่งหายนะยังคงอยู่ โดยมีเป้าหมายกัดกร่อนรากฐานแห่งเต๋า และทำลายล้างวิญญาณ!
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากได้ปลดปล่อยคลื่นพลังผันผวนออกมา กระบี่เต๋าวิบัติที่วางอยู่อย่างเงียบ ๆ ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ภายในร่างของเฉินซีก็เริ่มส่งเสียงพึมพำเช่นกัน แสงสีแดงเลือดหลั่งไหลไปทั่วคมกระบี่ และจากนั้น ลวดลายของดอกบัวที่มีอยู่อย่างหนาทึบซึ่งทับซ้อนกันหลายชั้นก็เบ่งบาน
โครม!
เมื่อลวดลายของดอกบัวควบแน่นจนกลายเป็นรูปร่าง กลิ่นอายที่ผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวไม่เพียงแต่กลืนกินกลิ่นอายแห่งหายนะภายในจนหมด มันยังส่งเสียงดังก้องขณะที่พุ่งออกมาจากร่าง!