บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1338 กฎปราชญ์เต๋า
บทที่ 1338 กฎปราชญ์เต๋า
เพราะดีที่เรื่องทั้งหมดไม่ใช่เพียงภาพลวงตา
เฉินซีได้รู้ว่าพลังบ่มเพาะพลังดวงใจของตนอยู่ขอบเขตทารกดวงใจ และพลังบ่มเพาะร่างก็ถึงขอบเขตเซียนทองคำขั้นสมบูรณ์แล้ว เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที
ความเสียใจเดียวของเขาอาจเป็นการที่ไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ทะลวงสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์ไปเลย แต่เท่านี้ก็น่าพอใจมากแล้ว
หนึ่งวันให้หลัง สืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็หายจากอาการบาดเจ็บ พวกเขาจึงไม่เสียเวลาแล้วเดินทางออกจากพื้นที่นี้ทันที
…
ฟ่าว!
ภายในจักรวาลโกลาหลอันกว้างขวาง สืออวี๋นำทุกคนมุ่งหน้าไปเต็มกำลัง
พวกเขาเดินทางผ่านดินแดนลอยฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่ง ผ่านดาวหลายดวง เดินทางมุ่งหน้าต่อไปไม่หยุดติดต่อกันกว่าหนึ่งเดือน
ตลอดทางที่ผ่านมา พวกเขาพบอันตรายมากมายหลายอย่าง ทั้งการโจมตีจากศพเทพโลหิตโบราณ ทั้งพลังผันผวนมิติที่ผ่านเข้ามา ทั้งยังมีหลายครั้งที่เผลอเข้าไปในข้อจำกัดทวยเทพที่มีมานานหลายปีแล้ว ก็ต้องงัดฝีมือทั้งหมดเพื่อหนีออกมาให้ได้
ตลอดเวลาทั้งหมดนี้ เฉินซีไม่ได้รับอันตรายใดเลย เพราะอันตรายและจิตสังหารทั้งหลายถูกสามราชันเซียนจัดการไปหมดสิ้น
แต่ในฐานะผู้ชม เฉินซีก็ยังรู้สึกได้ว่ายิ่งเดินทางเข้าไปลึกเท่าไหร่ อันตรายที่เจอก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น ถึงขนาดที่สามราชันเซียนต้องคอยระวังตัวและลงมือระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
ส่วนสิ่งที่ได้รับกลับมาก็ไม่ใช่ว่ามากมายอะไร
เพราะอย่างไร สืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้สนใจเรื่องหาสมบัติอยู่แล้ว คิดแต่จะไปถึงเทวาคารบรรลุเทพโดยเร็วที่สุด
…
วันนี้พวกเขาเดินทางอยู่เหนือทะเลดารา
ทะเลดาราแห่งนี้ค่อนข้างหนาแน่น มีอุกกาบาตลอยล่อง ดาราโคจร ปลดปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีออกมา เหมือนเป็นทะเลที่ส่องแสงหลากสี ดูตระการตาเป็นอย่างยิ่ง
สืออวี๋กับเซียงหลิวหลียืนอยู่คู่กันด้านหน้า ตื่นตัวต่อทุกสิ่งรอบกาย กำลังกระซิบกระซาบปรึกษากันอยู่ว่าจะไปอย่างไรต่อดี
เพราะหากให้คาดเดา พวกเขาคงจะเดินทางถึงเทวาคารบรรลุเทพในอีกสามวัน ถึงตอนนั้นก็ต้องคิดว่าจะต่อกรกับศัตรูเพื่อหาวิชาบรรลุเต๋าขึ้นเป็นเทพได้อย่างไร
คงไม่ได้มีเพียงนิกายอำนาจเทวะแน่ที่เข้ามาที่นี่ เพราะนิกายยุคแรกกำเนิดหลายแห่งคงต้องส่งคนมาที่นี่ด้วยแน่ เป็นสิ่งที่เห็นกันได้ชัดอยู่แล้ว
ที่อีกด้านหนึ่ง เฉินซีกำลังขอคำชี้แนะจากเตียนเตี้ยนในเรื่องความลึกล้ำแห่งขอบเขตเซียนปราชญ์
เตียนเตี้ยนอยู่ขอบเขตราชันเซียน นับว่ามีความรู้อยู่ในจุดสูงสุดของสามภพ มีหรือเฉินซีจะปล่อยให้โอกาสดี ๆ เช่นนี้หลุดลอยไปได้?
ตลอดทางนั้น นอกจากการเดินทางและรับมือกับอันตรายต่าง ๆ ที่ดาหน้ากันเข้ามา เฉินซีก็คอยขอคำชี้แนะจากเตียนเตี้ยนในเรื่องการบ่มเพาะพลังอยู่ตลอด ได้ประโยชน์มากหลาย ได้ความเข้าใจมาบ่อยครั้ง
“ผสานเต๋าหรือ?” เฉินซีชะงักไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงการกลั่นกฎแห่งเต๋า
“ใช่แล้ว ผู้อยู่ขอบเขตเซียนปราชญ์จะต้องสามารถผสานกฎแห่งเซียนทองคำที่มีได้อย่างสมบูรณ์ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นมหาเต๋า” เตียนเตี้ยนชี้แนะเสียงใส “ขอบเขตเซียนปราชญ์นับว่าก้าวขึ้นสู่เส้นทางการเป็นเทพได้แล้ว สาเหตุที่เซียนปราชญ์สามารถเผยแพร่เต๋าไปทั่วใต้หล้าได้ก็เพราะเซียนปราชญ์มีมหาเต๋าเป็นของตนเอง”
“เมื่อเราผสานเต๋าแล้ว ยิ่งเรามีกฎแห่งเซียนทองคำมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกัน ยิ่งในนั้นมีกฎแห่งเซียนทองคำที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ อำนาจหลังจากผสานกับมหาเต๋าก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น”
“หลังจากผสานเต๋าเข้าด้วยกันแล้ว ก็จะเรียกว่ากฎปราชญ์เต๋า”
“กฎปราชญ์เต๋าของผู้อยู่ขอบเขตเซียนปราชญ์ธรรมดา ส่วนมากแล้วจะผสานเข้ากับธาตุทั้งห้า หยิน หยาง ลม สายฟ้า หรือกฎแห่งมหาเต๋าที่เหมือนกันอื่น ๆ เป็นมหาเต๋าหลัก ยกตัวอย่างเช่น เต๋าปราชญ์อัคคี เต๋าปราชญ์วารี และอื่น ๆ”
พูดถึงตรงนี้ เตียนเตี้ยนมองสืออวี๋กับเซียงหลิวหลีที่ยืนอยู่ด้านหน้า “คนจากตำหนักเต๋าหนี่หวาเช่นพวกเขายามผสานเต๋าคือเต๋าปราชญ์แสง เป็นการผสานกฎแห่งเซียนทองคำทั้งหมดที่มีให้กลายเป็นมหาเต๋าแห่งแสงสว่าง ดังนั้นก็จะสามารถสร้างเต๋าปราชญ์แสงของตนเองขึ้นมาได้”
“และด้วยความที่ทุกคนมีกฎแห่งเซียนทองคำที่แตกต่างกัน ทั้งยังมีพลังหลากหลายระดับ แม้ว่าทุกคนจะมีเต๋าปราชญ์แสงเหมือนกัน แต่อำนาจและลักษณะก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
“หรือก็คือหลังจากถึงขอบเขตเซียนปราชญ์แล้ว กฎปราชญ์เต๋าที่เซียนปราชญ์ทุกคนมีจะมีชื่อเรียกเดียวกัน แต่กลับต่างกันอยากสิ้นเชิง ก็เพราะว่า… มันเป็นเต๋าของตัวเจ้าเอง”
หลังจากได้เตียนเตี้ยนอธิบายให้ฟัง เฉินซีก็เข้าใจในที่สุดว่าการบ่มเพาะในขอบเขตเซียนปราชญ์นั้นต้องคำนึงถึงหลายอย่าง
“เช่นนั้นขอบเขตราชันเซียนเล่า?” เฉินซีถามขึ้น
เตียนเตี้ยนได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา “วิธีเดียวในการขึ้นสู่ขอบเขตราชันเซียนคือการพิสูจน์เต๋าด้วยเต๋าปราชญ์ที่เจ้ามี ฉวยเอาชะตากรรมจากสวรรค์ เต๋าปราชญ์ใครแข็งแกร่ง ชะตากรรมก็จะยิ่งใหญ่ ถึงจะสามารถก้าวขึ้นสู่เส้นแตะขอบเขตราชันเซียนได้ ส่วนเรื่องการบ่มเพาะพลังในขอบเขตราชันเซียนก็อธิบายยาก เจ้าบ่มเพาะพลังถึงแล้วจะเข้าใจเอง”
เฉินซีพยักหน้าแล้วถอนหายใจ บนเส้นทางสู่มหาเต๋านั้น ยิ่งเดินทางก็ยิ่งยากลำบากและคลุมเครือ แม้ว่าจะถึงขอบเขตเซียนทองคำขั้นสมบูรณ์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถึงเกณฑ์ขึ้นสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์และขอบเขตราชันเซียนได้ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไร ต้องพบเจออันตรายขนาดไหน ถึงจะมีประสบการณ์มากพอจะก้าวสู่ขั้นนั้นได้
หากรวมขอบเขตเทวาในตำนานเข้าไปด้วยแล้ว ก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่จะได้ไปถึง…
แต่แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ… เขาต้องรอดชีวิตเสียก่อน!
เมื่อผสานเต๋าเข้าด้วยกันได้ ยิ่งข้ามีกฎแห่งเซียนทองคำมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น ดูเหมือนว่าประการแรกข้าจะต้องกลั่นกฎแห่งมหาเต๋าที่มีทั้งหมดให้กลายเป็นกฎแห่งเซียนทองคำเสียก่อน… เฉินซีครุ่นคิดเงียบ ๆ เท่าที่เขารู้ตอนนี้ เส้นทางบ่มเพาะค่อนข้างราบรื่น แม้จะเป็นการผสานเต๋า เขาก็ย่อมสามารถผสานกฎแห่งเซียนทองคำทั้งหมดที่มีให้กลายเป็นเต๋ายันต์อักขระ และได้เต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระของตนเองมาได้
ตู้ม!
ทันใดนั้นเอง คลื่นพลังผันผวนอันน่าหวาดผวาก็ซัดเข้ามาจากระยะไกล ทำให้ดวงดาวทั้งหลายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“ฮ่า ๆ ! มีราชันเซียนกำลังต่อสู้อยู่จริง ๆ …” สืออวี๋ที่นำอยู่ด้านหน้าหยุดชะงัก ก่อนจะแหงนหน้ามองด้านหน้าใกล้ ๆ นัยน์ตาลุกโชนไปด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ราวกับสามารถทะลุทะลวงผ่านจักรวาลได้
“น่าเสียดายที่ไม่ใช่ซุ่ยเหรินถิงกับเจี้ยงหลิงเซียวนิกายอำนาจเทวะ” เซียงหลิวหลีเองก็มองไปทางเดียวกัน ก่อนจะมุ่ยหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้ยินดี จนถึงตอนนี้นางยังแค้นที่นิกายอำนาจเทวะลอบโจมตีวันนั้นไม่หาย นางย่อมอยากเห็นหน้าซุ่ยเหรินถิงกับเจี้ยงหลิงเซียวโดยเร็ว
ในขณะเดียวกันนั้น เตียนเตี้ยนกับเฉินซีก็หยุดคุยแล้วหันมามองเช่นกัน
น่าเสียดายที่แม้จะใช้เนตรเทวะแห่งความจริง แต่ก็ไม่อาจเห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในระยะไกลได้
ไม่ใช่เพราะว่าเนตรเทวะแห่งความจริงอ่อนแอเกินไป แต่เป็นเพราะพลังบ่มเพาะการขัดเกลากายาร่างหลักอ่อนแอไปต่างหาก ทำให้ระยะที่สามารถมองเห็นได้มีจำกัด หากเป็นร่างอวตารใช้เนตรเทวะแห่งความจริง ผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็นอีกอย่าง
“ฝั่งหนึ่งในการต่อสู้คือชิวเชี่ยนหลิน เจ้านิกายยุคแรกกำเนิดแห่งหนึ่ง นิกายเลิศจุติ เขาเป็นราชันเซียน เป็นทายาทอสูรโบราณ มังกรปีศาจคำราม” เตียนเตี้ยนอธิบายเสียงเบาให้เฉินซีฟัง “ส่วนคู่ต่อสู้อีกฝั่งคือมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์แห่งนิกายเอกวิถี เมื่อครั้งยุคแรกกำเนิด นิกายเอกวิถีเป็นนิกายหลักที่ทรงอำนาจเทียบเท่ากับตำหนักเต๋าหนี่หวาได้ ฝั่งหนึ่งใช้พลังแห่งแสง อีกฝั่งใช้พลังความมืด น่าเสียดายที่นิกายเอกวิถีเกิดความวิบัติครั้งใหญ่ตอนกำเนิดสามภพ ตอนนี้จึงล่มสลายไปแล้ว…”
เตียนเตี้ยนไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าตอนที่เฉินซีได้ยินคำว่ามหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันใด ส่วนครึ่งหลังที่เตียนเตี้ยนอธิบายมา เฉินซีไม่ได้ยินแต่อย่างไร
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์! นั่นมันศิษย์พี่ของเจิ้นหลิวชิงนี่?
เขามาทำอะไรที่นี่?
หรือว่าจะมาหาความลับในการขึ้นเป็นเทพเช่นกัน?
ทันใดนั้นในหัวของเฉินซีก็มีความคิดมากมายแล่นเข้ามา
“เดี๋ยวก่อน ข้ารู้จักวัวเฒ่าจากนิกายเอกวิถีนั่น เขามีพลังสูงส่งมากจนมังกรปีศาจคำรามก็กำราบเขาไม่อยู่ แต่ตอนนี้วัวเฒ่านั่นกลับด้อยกว่ามังกรปีศาจคำรามอยู่เล็กน้อย…” สืออวี๋ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเลิกคิ้วขึ้นเมื่อสัมผัสอะไรบางอย่างได้
“มีมือมืดช่วยอยู่หลังม่าน!” เตียนเตี้ยนกับเซียงหลิวหลีเอ่ยพร้อมกัน
เฉินซีได้ยินแล้วก็รู้สึกใจถูกบีบ จึงถามขึ้น “ทุกคน… พอจะช่วยเหลือมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ได้หรือไม่?”
ฟึ่บ!
พริบตาต่อมา ทุกสายตาก็ประสานมาทางเฉินซี
สืออวี๋กับเซียงหลิวหลีดูประหลาดใจและไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย
เตียนเตี้ยนเป็นคนที่รู้ดีว่าทำไมทุกคนถึงมีสายตาเช่นนั้น นางจึงรีบส่งกระแสปราณถึงเฉินซี “ลืมที่ข้าบอกไปก่อนหน้านี้แล้วหรือ? เมื่อยุคแรกกำเนิด ความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักเต๋าหนี่หวาและนิกายเอกวิถีก็เหมือนแสงกับเงามืด ต่อต้านกันและกัน”
เฉินซีจึงเข้าใจ รู้ทันทีว่าตนเองเอ่ยคำพูดโง่เขลาออกไปแล้ว มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์มาจากนิกายเอกวิถี แต่ข้ากลับขอให้สืออวี๋และคนอื่น ๆ ไปช่วยเขาเสียได้ เป็นข้าที่โง่เอง
แต่เฉินซีก็ต้องประหลาดใจเมื่อสืออวี๋ทำท่าเหมือนครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “น้องเฉินซี เจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับวัวเฒ่านั่นหรือ?”
เฉินซีไม่ปิดบังและเอ่ยไปตามตรง “เมื่อหลายปีก่อนตอนข้ายังอยู่ภพมนุษย์ มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เคยช่วยข้าไว้ครั้งหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเหตุผล สืออวี๋กับเซียงหลิวหลีจึงเหลือบมองกันแล้วพยักหน้ายิ้ม ๆ ให้ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะช่วยเขา”
เฉินซีอึ้งไป รู้สึกสับสนเล็กน้อย
เซียงหลิวหลีเพียงยิ้มบาง “แม้ว่าแสงสว่างและความมืดจะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้มาแต่ไหนแต่ไร แต่หากไร้ความมืดแล้วจะมีแสงสว่างได้อย่างไรกัน? การยืนอยู่คนละฝั่งไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกันเสมอไป”
ครืน!
พลังผันผวนรุนแรงระเบิดดังลั่นไปทั่วจักรวาลอันโกลาหล
ยิ่งเข้าไปใกล้ เฉินซีก็สัมผัสได้ถึงมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ที่มีร่างสูงเสียดฟ้า กำลังเคลื่อนตัวผ่านดาราดวงแล้วดวงเล่า
ในมือเขาถือขวานขนาดใหญ่สีดำเอาไว้ ทุกครั้งที่เหวี่ยงอาวุธออกไปก็สามารถทำลายดาราหลายดวง พวกมันระเบิดออกด้วยพลังกดดันอันรุนแรง
คู่ต่อสู้ของเขาคือมังกรปีศาจคำรามโบราณ ร่างของมันเป็นสีดำสนิท มีเขี้ยวยาวและรูปร่างน่าหวาดกลัว อีกทั้งยังสูงพอ ๆ กับมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่ามังกรปีศาจคำรามตัวนี้คือ เจ้านิกายเลิศจุติ ชิวเชี่ยนหลิน ผู้ที่เตียนเตี้ยนเอ่ยถึงก่อนหน้านี้
เขาถือตรีศูลทองคำ ปลดปล่อยแสงสีทองสว่างออกมา กดมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์จนไม่อาจเคลื่อนมิติออกมาได้
ภาพตรงหน้าคือสองราชันเซียนผู้มีพลังน่าเกรงขามกำลังต่อสู้กันท่ามกลางจักรวาลกว้างใหญ่ คลื่นพลังที่ดีดออกมาจากการต่อสู้ทำลายดวงดาวและอุกกาบาตหลายลูกในระยะล้านลี้ เป็นภาพที่น่าตกใจยิ่ง
แต่เห็นได้ชัดว่ามหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทุกครั้งที่พยายามจะพลิกสถานการณ์ ก็จะมีพลังที่มองไม่เห็นรัดร่างเขาไว้ ทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกครั้ง
สถานการณ์การต่อสู้ฝั่งเขาดูไม่ดีเอาเสียเลย!