บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1348 เส้นทางบรรลุเทพ
บทที่ 1348 เส้นทางบรรลุเทพ
เทวาคารบรรลุเทพมีความสูงเสียดฟ้า ตั้งอยู่เนิ่นนานมาแต่โบราณ มีหมอกโกลาหลดูลึกลับปกคลุมโดยรอบ
เมื่อยืนแหงนหน้ามองก็จะรู้ว่าตัวเองตัวเล็กเพียงใด ไม่ต่างจากมดต่อหน้าขุนเขา ไม่อาจมองเห็นจุดบนสุดได้เลย
เทวาคารบรรลุเทพนั้นมีสีดำสนิท มีทางเดินหินปูนเรียบ ๆ อยู่ที่ด้านล่างของแท่นบูชา ตัวหินเรียบลื่นเหมือนกระจก ให้บรรยากาศดูขลังและโดดเดี่ยว
ฟ้าว!
พริบตานั้นสืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น ในใจพวกเขาบังเกิดความตื่นเต้นยามมองเส้นทางเดินหินปูนที่ทอดตัวยาวไปสู่เทวาคารบรรลุเทพ
สำหรับราชันเซียนเหล่านี้แล้ว เส้นทางนี้คือเส้นทางบรรลุเทพ หากดำเนินไปจนสุดทางได้ ก็จะมีโอกาสได้รับวิธีการขึ้นเป็นเทพได้!
“ทุกคนระวังตัวด้วย รอบด้านเทวาคารบรรลุเทพเต็มไปด้วยข้อจำกัดของทวยเทพ เราใช้ได้เพียงกฎแห่งราชันเซียนที่เรามีเพื่อขึ้นไปให้ได้เท่านั้น อีกทั้งอย่าทำการรีบร้อน ไม่เช่นนั้นอาจถึงแก่ชีวิต” สืออวี๋กล่าวเตือน
ตั้งแต่โบราณมา ทางเดินหินสู่เทวาคารบรรลุเทพนี้ถูกเรียกว่าเส้นทางบรรลุเทพ เต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย และสามารถผ่านได้โดยใช้กฎแห่งราชันเซียนที่ตนมีเพื่อรับมือกับข้อจำกัดได้เท่านั้น
หรือก็คือใครที่มีกฎแห่งราชันเซียนแข็งแกร่ง ก็จะยิ่งสามารถขึ้นสู่ยอดเทวาคารบรรลุเทพได้อย่างรวดเร็ว แต่หากกฎแห่งราชันเซียนไม่ลึกล้ำและไม่แข็งแกร่งพอ เช่นนั้นก็จะส่งผลต่อความเร็วในการขึ้นสู่ยอด อาจถูกแรงกดดันยับยั้งไว้จนไม่สามารถก้าวเท้าต่อได้ทีเดียว
เซียงหลิวหลี เตียนเตี้ยน และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ย่อมรู้เรื่องนี้ดีจึงพยักหน้ารับ
แต่หลังจากนั้น เตียนเตี้ยนก็ชะงักไป “แล้วเฉินซีเล่า?”
นางพูดจบ ทุกคนก็หันไปมองเจ้าของชื่อ อดรู้สึกละอายใจไม่ได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาเอาแต่สนใจเทวาคารบรรลุเทพ จึงลืมการมีอยู่ของเฉินซีไปอย่างสิ้นเชิง
ทั้งที่เฉินซีได้ช่วยเหลือพวกเขาไว้มาก แต่ตนเองกลับเอาแต่คิดหาทางขึ้นเป็นเทพ ทำให้เผลอมองข้ามเฉินซีไป
พอได้เตียนเตี้ยนเตือนเข้าจึงพลันนึกขึ้นได้ เฉินซียังไม่ใช่ราชันเซียน แล้วจะเดินเส้นทางบรรลุเทพขึ้นสู่ยอดได้อย่างไร?
เนื่องจากพวกเขาไม่เคยได้ยินว่ามีเซียนทองคำที่สามารถผ่านตำหนักบรรลุเทพและก้าวเข้าสู่เส้นทางบรรลุเทพมาก่อน
แต่หากปล่อยให้เฉินซีรออยู่ที่นี่ หากมีราชันเซียนคนอื่นมาถึงแล้วคิดทำอันตรายเขาเล่า? ราชันเซียนนั่นคงปลิดชีพเฉินซีได้ภายในพริบตา!
จะเอาอย่างไรดี? สืออวี๋และคนอื่น ๆ ขมวดคิ้ว รู้สึกคิดไม่ตก
แต่พวกเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าเฉินซีในตอนนี้บรรลุขั้นเซียนปราชญ์แล้ว และได้ขึ้นสู่เส้นทางการเป็นเทพมานานแล้ว แต่เป็นเพราะได้ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากซุกซ่อนพลังไว้ ทำให้กลิ่นอายดูคลุมเครือ ลึกลับ ไม่อาจคาดเดาได้
ฟึบ!
เป็นจังหวะนั้นเองที่อี้หรานเฟิง ซุนอู๋เหิ่น และราชันเซียนอีกสองคนมาถึงที่ด้านล่างเทวาคารบรรลุเทพเช่นกัน
ทันทีที่มาถึงก็ต้องให้ชะงักไป เหมือนไม่คิดว่าสืออวี๋และคนอื่น ๆ จะรีบขึ้นให้ถึงยอด ไม่ใช่เสียเวลามายืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนี้
แต่พอเห็นเฉินซีก็พอเดาออก ที่มุมปากพลันเกิดรอยยิ้มประหลาด
ก่อนหน้านี้ตอนยังอยู่ตำหนักบรรลุเทพ พวกเขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าเฉินซียังอยู่เพียงขอบเขตเซียนทองคำ ตอนนั้นยังสงสัยอยู่เลยว่าสืออวี๋กับพวกพาเด็กน้อยมาที่นี่ด้วยทำไม
ตอนนี้ถึงยังไม่รู้สาเหตุว่าทำไม แต่ได้เห็นสืออวี๋และคนอื่น ๆ ดูลังเลเพราะเฉินซี ก็พลอยให้รู้สึกยินดีในความโชคร้ายของอีกฝ่าย
แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีเวลามาเยาะเย้ยพวกสืออวี๋หรอก พวกเขาหันหน้าเดินไปยังทางเดินหินที่ทอดตัวไปสู่เทวาคารบรรลุเทพโดยมีอี้หรานเฟิงนำอยู่ด้านหน้า
สืออวี๋และคนอื่น ๆ เห็นแล้วก็มุ่นคิ้ว
“เช่นนั้นให้ข้าอยู่ดูเฉินซี…” เตียนเตี้ยนรู้ทันความคิดคนอื่น เห็นว่ารีรอไม่ไปไหนสักทีจึงเสนอขึ้น
แต่พูดยังไม่ทันจบก็เห็นเฉินซีพลันก้าวขาเดินขึ้นไปบนเทวาคารบรรลุเทพแล้ว!
เหตุการณ์นี้ทำให้สืออวี๋และคนอื่น ๆ อึ้งไป นึกย้อนไปตอนที่เฉินซีนำพวกเขาผ่านข้อจำกัดในตำหนักบรรลุเทพมาได้ ก็ให้รู้สึกสงสัยในหัวใจ หรือว่าเฉินซีจะสามารถเดินผ่านเส้นทางบรรลุเทพได้เหมือนกัน?
เมื่อลองคิดดูอย่างถี่ถ้วน ก็เห็นว่าตั้งแต่เข้าตำหนักบรรลุเทพมา เฉินซีเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งเงียบขรึมและกระทำการเกินความคาดหมายมาโดยตลอด ทำให้แม้แต่ราชันเซียนอย่างพวกเขายังต้องตกตะลึง
ทว่าแม้ในใจจะสับสน แต่การกระทำผิดปกติของเฉินซีก็ช่วยพวกเขาได้มากโข ดังนั้นเมื่อเห็นว่าคนทำตัวผิดปกติอีกครั้ง พวกเขาจึงไม่ได้ตกใจมากมายอะไรนัก แต่ก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ เกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อเฉินซี
“พวกเราประกบข้างคอยปกป้องเขาดีกว่า หากเขาไปเปิดข้อจำกัดใดในเทวาคารบรรลุเทพเข้า เราจะได้คอยช่วยและยับยั้งได้ทัน” สืออวี๋สั่งอย่างรวดเร็ว และคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าพร้อมเพรียงกัน
ตึก! ตึก!
เฉินซีก้าวเดินไปอย่างไม่รีบร้อนและมั่นคง ไม่ช้าไม่เร็ว ค่อยเป็นค่อยไป
ในย่างก้าวแรกบนเทวาคารบรรลุเทพ สืออวี๋และคนอื่น ๆ พากันหรี่ตามอง เตรียมตัวช่วยเหลือหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
วิ้ง~
ทันใดนั้น กระแสพลังศักดิ์สิทธิ์เส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเทวาคารบรรลุเทพ ซัดลงมาทางเฉินซี
“เวรแล้ว!” เตียนเตี้ยนตอบสนองเร็วที่สุด นางเอื้อมมือหมายดึงร่างเฉินซีกลับมา
ส่วนคนอื่น ๆ ก็ทำตามสัญชาตญาณจะช่วยคนเช่นกัน ไม่เช่นนั้นหากแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าเกรงขามนั่นซัดเข้าร่างเฉินซีเข้าละก็ คงได้สิ้นใจอยู่ตรงนั้นแน่
ตู้ม!
เกิดคลื่นพลังผันผวนรุนแรงขึ้น พวกเขาตกตะลึง ความช่วยเหลือทั้งหลายล้วนไร้ผล! เพราะไม่สามารถทำลายพลังจากเทวาคารบรรลุเทพได้เลย แต่กลับเป็นกลิ่นอายแปลกประหลาดที่แผ่ออกจากร่างเฉินซีที่สกัดพลังนั้นไว้!
สี่ราชันเซียนลงมือช่วยเหลือเฉินซีพร้อมกัน ถึงพวกเขาพยายามจะช่วยอีกฝ่ายอย่างไร แต่พลังนี้ใช่สิ่งที่เซียนทองคำจะสามารถปัดป้องได้จริงหรือ?
ฟึบ!
ยังไม่ทันได้หายตกใจ พลังที่พุ่งมาจากเทวาคารบรรลุเทพกลับเหมือนน้ำสาดใส่หิน กระจายออกรอบกายโดยไม่ทำอันตรายเขาแม้แต่น้อย!
สืออวี๋และคนอื่น ๆ ถึงกับงงไปเลยที อะไรกัน?
แม้แต่อี้หรานเฟิงและคนอื่น ๆ ที่เพิ่งจะเริ่มไต่เทวาคารบรรลุเทพก็เห็นภาพนั้นและประหลาดใจมากเช่นกัน
“เจ้าเด็กนี่มันแปลกจริง”
“ประหลาดจริง ๆ แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าพลังของข้อจำกัดมุ่งโจมตีแต่ราชันเซียนก็ได้ อาจจะไม่มีผลกับเด็กอ่อนแออย่างเขากระมัง?”
“ช่างมันเถอะ เราไปต่อกันดีกว่า”
พวกเขาประหลาดใจเพียงเล็กน้อยก็เดินหน้าต่อ ที่นี่คือเทวาคารบรรลุเทพ ทุกคนล้วนถูกข้อจำกัดกดดันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่กล้าเสียสมาธิไปให้ความสนใจกับคนอื่นมากนัก
ตึก! ตึก!
เฉินซีเหมือนไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ยังคงก้าวขึ้นเทวาคารบรรลุเทพไปทีละก้าวอย่างมั่นคง
“ตามไปกันเถอะ!” สืออวี๋ตั้งสติได้คนแรก ถึงในใจจะเต็มไปด้วยคำถาม แต่จะให้มองเฉินซีไปคนเดียวก็คงทำไม่ได้
ทุกคนจึงมุ่งหน้าต่อทันที
แท้จริงแล้วการกระทำนี้ของเฉินซีทำให้พวกเขาถอนหายใจโล่งอก เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องยืนลังเลอย่างเมื่อครู่นี้แล้ว
…
เทวาคารบรรลุเทพตั้งสูงขึ้นไปหลายลี้
แม้จะเป็นราชันเซียน แต่ก็ยังต้องค่อย ๆ ขึ้นไปทีละขั้น กว่าจะถึงยอดจึงต้องใช้เวลานานอย่างยิ่ง
นั่นก็เป็นเพราะทั่วทั้งเทวาคารบรรลุเทพปกคลุมไปด้วยข้อจำกัดมากมาย แรงกดดันน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากข้อจำกัดเหล่านั้นบีบให้ราชันเซียนทั้งหลายต้องรับมือกับพลังนั้นไปพร้อมกับขึ้นสู่ยอดไปด้วย
แต่วิธีที่จะรับมือกับพลังนั้นมีเพียงอย่างเดียว คือต้องใช้กฎแห่งราชันเซียนที่ตนเองมี
ทางเดินหินสู่ยอดเทวาคารบรรลุเทพนั้นกว้างกว่าสิบจั้ง มีชื่อเรียกว่าเส้นทางบรรลุเทพ เมื่อเดินผ่านทางเดินหินนี้แล้วก็จะเห็นว่ามันเต็มไปด้วยลวดลายลึกลับซับซ้อนที่แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ออกมา ทำให้กระทั่งราชันเซียนอย่างรู้สึกขนลุกขนพอง
“หืม?” เมื่อเดินขึ้นเส้นทางบรรลุเทพไปทีละก้าว ไม่นานสืออวี๋ก็มุ่นคิ้ว ก่อนจะมองเฉินซีที่เดินอยู่ด้านหน้า แววตาพลันฉายแววความสับสน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
“มีบางอย่างผิดปกติ….” พร้อมกันนั้น เซียงหลิวหลี เตียนเตี้ยน และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เองก็รู้สึกฉงนอยู่ในใจเช่นกัน นับตั้งแต่ที่ก้าวขึ้นมาบนเส้นทางบรรลุเทพ พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากข้อจำกัดทั้งหลาย ซึ่งเป็นแรงกดดันที่บีบคั้นจนต้องโคจรกฎแห่งราชันเซียนเพื่อต้านไว้ทีเดียว
แต่แรงกดดันมันค่อนข้างจะ… อ่อนแอกว่าที่คิด!
พวกเขาจึงเงยหน้ามองไปไกล ๆ แล้วเห็นกลุ่มสี่ของอี้หรานเฟิงที่ที่เดินนำไกลไปอยู่หกลี้ ฝีเท้าของคนเหล่านั้นเชื่องช้า ใบหน้ามืดครึ้มหนักหน่วง
เทียบกับอี้หรานเฟิงและคนอื่น ๆ แล้ว นับว่าทำความเร็วได้มากกว่าถึงสองเท่า!
“รู้สึกหรือไม่ว่ามันดูแปลกอยู่บ้าง?”
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่จะแซงอี้หรานเฟิงได้ในอีกไม่ช้า แต่ยังจะตามซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวที่นำหน้าอยู่ได้ทันด้วย”
“พวกเจ้าลืมสิ่งที่เราเจอในตำหนักบรรลุเทพไปแล้วหรือ? ทั้งหมดนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับน้องเฉินซีก็ได้”
สืออวี๋และคนอื่น ๆ พูดคุยกันอยู่สักพักก่อนจะหันไปสนใจเฉินซีที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ก่อนจะเผยสีหน้าชื่นชม ประหลาดใจ และตกตะลึงผสมปนเปกันออกมา
นับตั้งแต่ที่เข้าภูมิภาคบรรลุเทพมา เฉินซีก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกระบี่เต๋าวิบัติ หรือการที่สามารถผ่านข้อจำกัดในตำหนักบรรลุเทพมาได้ ล้วนทำให้พวกเขาทั้งสับสนทั้งตกตะลึง
ยิ่งตอนนี้ที่รู้สึกได้ว่าแรงกดดันจากข้อจำกัดบนเส้นทางบรรลุเทพดูอ่อนแรงลงเพราะเฉินซี ยิ่งเป็นความรู้สึกตกตะลึงที่ไม่อาจอธิบายได้ทีเดียว
นี่คือเทวาคารบรรลุเทพเชียวนะ!
นับตั้งแต่ยุคแรกเริ่มมาจนถึงตอนนี้ มีราชันเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ ทว่าตอนนี้กลับยังมีชายหนุ่มที่ยังไม่ถึงขอบเขตราชันเซียนด้วยซ้ำก้าวเข้ามา!
ไม่ว่าใครได้เห็นภาพนี้ก็คงไม่อาจทำใจสงบได้แน่นอน
“ป… ป… เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องตกใจมาจากไกล ๆ ด้วยอี้หรานเฟิงหันมาโดยบังเอิญ และเห็นว่าสืออวี๋กับคนอื่น ๆ กำลังจะตามทันแล้ว แม้จะยังห่างกว่าสิบจั้งก็ตามที
…พอเห็นเช่นนี้ อี้หรานเฟิงจึงตกใจจนหน้ากระตุกทันที