บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 136 เขตแดนเต๋ากร่อนโลหิต
บทที่ 136 เขตแดนเต๋ากร่อนโลหิต
บทที่ 136 เขตแดนเต๋ากร่อนโลหิต
เมื่อฝ่ายตรงข้ามสังเกตเห็นว่าเฉินซีมีอาการตกตะลึง หลัวซิ่วที่ลอยขึ้นไปกลางอากาศพลันเปล่งเสียงหัวเราะแหลมฟังดูน่าสยดสยอง “ในเมื่ออยากสู้กัน ข้าก็จะให้เจ้าได้รู้จักพิษสงพลังที่แท้จริงของข้า!”
ขณะที่พูด ประกายโลหิตเรืองแสงทั่วร่างได้ระเบิดขึ้นอย่างแรงอีกครั้ง มวลแสงดั่งสายน้ำเชี่ยวกราก กระแสโลหิตไหลหลากและแผ่คลุมโดยรอบทั่วพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยจั้งทันที
เพียงพริบตาเดียว ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเฉินซีก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งฟ้าดินกลายเป็นแดงฉานหมดสิ้น และที่น่าตกใจยิ่งเมื่อเขาพบว่าใต้ฝ่าเท้ามีกระแสน้ำโลหิตไหลกระเพื่อม
“เฉินซีระวังให้ดี เจ้านั่นเป็นผู้บ่มเพาะเต๋าแห่งการต่อสู้ที่บรรลุขั้นเขตแดนเต๋าซึ่งเป็นขั้นที่เหนือกว่าเต๋าแห่งการรู้แจ้ง โลกโลหิตที่เจ้ากำลังเห็นตอนนี้ถูกสร้างขึ้นจากเขตแดนเต๋านั้น!” ทันใดนั้นหลิงไป๋ก็ส่งเสียงเตือนอย่างร้อนใจระคนกังวลอย่างชัดเจน
เขตแดนเต๋า!
ในใจของเฉินซีกระตุกวูบเมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
การฝึกฝนเต๋าแห่งการต่อสู้นั้นโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นสี่ขั้นใหญ่ ได้แก่ ขั้นต้น ขั้นสูง ขั้นเอกภาพ และขั้นเต๋าแห่งการรู้แจ้ง แต่ในความเป็นจริงยังมีขั้นที่สูงกว่าก็คือขั้นเขตแดนเต๋า
เต๋าแห่งการรู้แจ้งนั้นคือการเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเต๋าที่ผู้บ่มเพาะกำลังฝึกฝน และเมื่อความเข้าใจในเต๋าหยั่งลึกมากยิ่งขึ้น เต๋าแห่งการรู้แจ้งจะก่อรูปทวีความหนาแน่นขึ้นทุกทีจนกระทั่งถึงขีดจำกัด ต่อจากนั้นเต๋านั้นจะแปรเปลี่ยนรูปธรรมมากขึ้นจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าเขตแดนเต๋า
ผู้บ่มเพาะที่บรรลุถึงขั้นนี้จะสามารถสร้างเขตแดนเต๋าของตนเองออกจากสวรรค์และโลกด้วยการโบกมือ และเมื่อต้องต่อสู้กับศัตรูในเขตแดนของตนเอง สถานการณ์จะเป็นต่อมากขึ้น!
ซึ่งก็เช่นเดียวกับเต๋าแห่งสายลมที่เฉินซีเข้าถึงได้อย่างถ่องแท้ ถ้าเขารวบรวมและเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ไม่วันใดก็วันหนึ่งก็จะสามารถเปลี่ยนไปเป็นเขตแดนเต๋าของเขาเองได้ ซึ่งก็คือเขตแดนเต๋าแห่งสายลม
“เขตแดนเต๋า!” จู่ ๆ ที่ด้านนอกของเจดีย์บำพ็ญทุกข์พลันเกิดเสียงเซ็งแซ่ดังสนั่น ทุกคนมองไปยังหลัวซิ่วด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นอสูรโลหิตปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรสีเลือด ใบหน้าของแต่ละคนบ่งชี้ว่าไม่อยากเชื่อสายตา
ขั้นเขตแดนเต๋าเป็นขั้นที่ผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางพยายามไขว่คว้ามาตลอดชีวิต กระทั่งไปจนถึงผู้บ่มเพาะบางคนที่บรรลุขอบเขตจุติแล้วก็อาจยังไม่มีเขตแดนเต๋าเป็นของตนเองเลยด้วยซ้ำ
ถ้าใครต้องการบรรลุขั้นเขตแดนเต๋า ไม่เพียงแต่ต้องทุ่มเทฝึกฝนอย่างยากลำบากและขยันขันแข็งเท่านั้น แต่ยังต้องมีศักยภาพในการเข้าถึงและจดจำเต๋าแห่งสวรรค์ได้ในระดับสูง เพื่อค้นหาเต๋าของตัวเองและอุบัติการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกอีกมากมาย ยิ่งกว่านั้นยังต้องอาศัยโชควาสนาในการเผชิญหน้าด้วยความบังเอิญกับการหยั่งรู้อย่างเฉียบพลัน ซึ่งเป็นโอกาสเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ
แนวคิดในทางพระพุทธศาสนากล่าวว่าเหตุที่ทำให้บุคคลเกิดการรู้แจ้งเห็นจริงก็ด้วยความฉับพลันกะทันหัน หากปราศจากการหยั่งรู้โดยเฉียบพลัน รวมทั้งการคว้านานัปการ การลองผิดลองถูก สภาวะจิตและความเข้าใจในระยะเริ่มต้นก็จะเป็นไปไม่ได้ที่คนคนหนึ่งจะบรรลุถึงขั้นนี้
การไปถึงขั้นเขตแดนเต๋านั้นนับว่าเป็นเรื่องยากสำหรับผู้บ่มเพาะอย่างแท้จริง และคนส่วนใหญ่เหล่านั้นอาจไม่ได้มีโชคถึงขั้นที่จะบรรลุถึงขั้นเขตแดนเต๋า จนเป็นเหตุให้ต้องพบกับความโศกเศร้าจนชั่วชีวิต
เวลานี้ หลัวซิ่วผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเก้าดาราได้เข้าถึงเขตแดนเต๋าเสียแล้ว เช่นนี้แล้วจะไม่ทำให้คนอื่นตกตะลึงได้อย่างไร?
“ที่แท้ซิ่วเอ๋อร์ก็ฝึกบ่มเพาะพลังเต๋าแห่งการต่อสู้จนบรรลุถึงขั้นนี้แล้วสินะ!” ปรมาจารย์เฮ่อเหลียนสุ่ยแห่งนิกายหุบเขาดาวตก รำพึงออกมาราวกับควบคุมตนไม่ได้
คนที่อยู่กลางแท่นหยก ฟากปรมาจารย์หลิงคงจื่อแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจ้องเขม็งพลางขมวดคิ้วขณะมองไปยังเฉินซีที่ติดอยู่ในโลกที่กลายเป็นท้องสมุทรโลหิตไปแล้ว ใบหน้าซูบผอมเรียบเนียนปานเนื้อหยกพลันปรากฏความกังวลใจออกมา
…
กระแสคลื่นโลหิตพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง หลัวซิ่วเหยียบลงไปบนดอกบัวสีแดงสดที่มีขนาดครอบคลุมพื้นที่กว่าครึ่งลี้บานสพรั่งเหนือท้องสมุทรโลหิต เมื่ออยู่ในฮั่นฝูสีแดงฉาน กอปรกับนัยน์ตาสีฟ้าหม่นน่าประหลาดคู่นั้น ทำให้เขากลายเป็นอสูรในตำนานที่ผุดขึ้นจากขุมนรกโลหิต ท่วงท่าสง่างามอย่างน่าตกตะลึง
“เป็นอย่างไรบ้าง เฉินซี ได้เห็นเขตแดนเต๋ากร่อนโลหิตของข้าแล้วสินะ ได้ยินว่าเจ้าเข้าถึงเต๋าแห่งการรู้แจ้งแล้ว น่าเสียดายที่ยังด้อยกว่าข้าอยู่ดี! ฮ่า ๆๆ!” เสียงหัวเราะแหลมเล็กของหลัวซิ่วดังลั่น ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง “รู้ไหมว่าเหตุใดข้าจึงต้องวิ่งไล่ตามเจ้า เพราะข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพลังบางอย่างที่มีเอกลักษณ์ในกายของเจ้าอย่างไรล่ะ! มันคือกลิ่นอายแห่งหกวิถีสังสารวัฏและเพลิงยมโลกชำระบาป เมื่อใดที่ข้าได้มาครอบครองจะทำให้ เขตแดนเต๋ากร่อนโลหิตที่ข้าฝึกฝนเพิ่มพูนอำนาจมากขึ้นจนแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางไม่อาจต่อกรกับข้าได้อีกต่อไป”
หกวิถีสังสารวัฏ? เพลิงยมโลกชำระบาปอย่างนั้นหรือ?
ทันใดนั้นเฉินซีก็นึกขึ้นได้ว่าได้เก็บระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารไว้ในแหวนมิติ สมบัติล้ำค่าสุดแสนลี้ลับเหล่านี้เขารับมาจากซูเหลิ่งและไม่รู้ด้วยว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
แต่หลิงไป๋เคยให้ข้อสรุปไว้ว่าสมบัติล้ำค่าทั้งสองชิ้นนี้น่าจะมาจากหกวิถีสังสารวัฏแห่งยมโลก แต่ในเวลานั้นเฉินซีรู้สึกว่าไร้สาระเกินไปจึงไม่ได้จริงจังกับพวกมันเท่าใดนัก ตอนนี้เมื่อมาได้ยินคำพูดของหลัวซิ่ว เขาจึงคิดง่าย ๆ อยู่ในใจว่าบางทีสมบัติล้ำค่าสองชิ้นนี้อาจเกี่ยวข้องกับการหกวิถีสังสารวัฏก็เป็นได้
“ว่าอย่างไร นึกออกหรือยัง” หลัวซิ่วถามขึ้นมาอีก ขณะที่คนพูดทำหน้าทำตาล่อหลอกราวกับแมวจับหนู
“เจ้าคงกำลังพูดถึงสิ่งนี้ใช่ไหม” ขณะเดียวกันเฉินซีก็ยื่นมือที่ถือระเบียนแดนมรณะออกไป ทันทีที่สิ่งนี้ปรากฏ รัศมีอันใหญ่โตอลังการและเที่ยงธรรมก็พรั่งพรูออกมา ภูตผีวิญญาณอาฆาตจำนวนมหาศาลพลันทะลักออกมารอบท้องทะเลโลหิต สีหน้าของพวกมันโหดเหี้ยมอำมหิต พร้อมกับหวีดร้องเสียงแหลมอย่างชั่วร้ายเหมือนกับจะพยายามคว้าระเบียนแดนมรณะให้ได้ แต่พวกมันก็ถูกท้องทะเลโลหิตตรึงไว้อย่างแน่นหนา และไม่ว่ามันทุกตัวจะโหยหวนตครวญครางสักเพียงใด ก็ไม่อาจเข้าใกล้เฉินซีได้มากกว่านั้น
“นั่นแหละ! นั่นแหละ! สิ่งนั้นแหละ! พลังที่ข้าได้กลิ่นคือสิ่งที่จ้าถือ! พลังบริสุทธิ์แห่งยมโลก! เมื่อข้าได้ดูดซับพลังของสิ่งนั้น ไยข้าจะต้องกังวลว่าจะกำจัดพวกภูตผีวิญญาณอาฆาตแห่งท้องทะเลโลหิตเหล่านี้ไม่ได้ด้วยเล่า เฉินซีส่งมันให้ข้าแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะหนีรอดจากการไล่ล่าของข้าไปได้ ต่อให้วันนี้เจ้าจะทำลายยันต์เคลื่อนย้ายของตัวเองไปแล้วก็ตาม!” กล่าวจบ ร่างของหลัวซิ่วก็สั่นสะท้าน ขณะที่ดวงตาสีฟ้าหม่นของเขาสาดประกายแห่งความละโมบและปรารถนาอย่างแรงกล้า เวลานี้เขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้สูบกลืนระเบียนแดนมรณะเข้าสู่ร่างแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น
‘กำจัดภูตผีวิญญาณอาฆาตแห่งท้องทะเลโลหิตอย่างนั้นหรือ หรือว่าพลังจากสมุดระเบียนนี้จะสามารถต้านทานภูตผีวิญญาณอาฆาตและปีศาจร้ายได้?’
แม้ในหัวของเฉินซีจะมีความคิดวนเวียนอยู่เต็มไปหมด ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มกลับยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “ข้ายังมีของอีกอย่าง อยากเห็นหรือไม่?”
หลัวซิ่วยังจ้องเขม็งไปที่ระเบียนแดนมรณะอย่างไม่คลาดสายตาขณะตอบอย่างไม่ใส่ใจ “มันมีพลังแห่งยมโลกด้วยหรือไร”
เฉินซียิ้มมุมปากขณะเดียวกันได้ออกคำสั่งในใจ ทันใดนั้นพู่กันสีดำซึ่งทำด้วยเหล็กก็ไม่ใช่ แต่เหมือนจะทำด้วยหยกก็ไม่เชิง พลันปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของชายหนุ่มทันที
ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!
ทันทีที่พู่กันพิพากษามารปรากฏออกมาให้เห็น คำว่า ‘ฆ่า’ จำนวนมากก็พรูเข้ามาในใจของเฉินซีพร้อมกับเสียงใสและเย็นเยือกดังแว่ว เจตนาสังหารเย็นเฉียบพลันพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับเจ้าสิ่งนี้ต้องการพิพากษาโลกและขจัดสิ่งชั่วร้าย
“หืม!?” เฉินซีรู้สึกได้ถึงความปรารถนารุนแรงที่ล้นทะลักออกมาจากพู่กันพิพากษามารและความคิดนี้ก็แข็งแกร่งมากเหมือนกับขุนพลที่ฮึกเหิมอยากจะออกรบ จึงวิงวอนขอพระบรมราชานุญาตจากองค์ฮ่องเต้กระนั้น
“นี่มันคืออะไรกันแน่ ทำให้ข้ารู้สึก…รู้สึก…” สีหน้าของหลัวซิ่วดูฉงนฉงายอย่างมาก หากก็ยังรับรู้ได้ถึงภยันตรายร้ายแรงที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้าเกาะกุมจิตใจ
นับตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้าสู่การเป็นผู้บ่มเพาะ ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่เขารู้สึกเช่นนี้ รู้สึกกลัว ตระหนก หวาดหวั่น กระวนกระวาย… หลากหลายความรู้สึกที่ผสมปนเปเข้าด้วยกันยามที่ความรู้สึกเหล่านี้ทวีความรุนแรง ร่างของเขาถึงกับสะท้าน ประหนึ่งมองเห็นยมทูตลอยมาเหนือศีรษะ
“บัดซบ! ไอ้ของสิ่งนี้มันมีอำนาจสะกดข่มเต๋าข้าอย่างร้ายแรง!” ท่าทางของหลัวซิ่วราวกับได้พบเจอสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุด จนถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจสุดขีด จากนั้นจึงรีบหมุนเวียนปราณแท้ในกาย ก่อนจะหมุนตัวหันขวับและหนีไปทันที หากจะลองนึกว่าระดับความกลัวของหลัวซิ่วเวลานี้มากมายแค่ไหนนั้น ให้คิดเสียว่าความกลัวถึงขนาดที่มันอยากจะหนีกลับไปหาบิดามารดาให้เร็วที่สุดมากกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น
ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว!
ขวับ! ขวับ!
เฉินซีขยับคลายฝ่ามือ จากนั้นพู่กันพิพากษามารพลันลอยละลิ่วสู่ท้องฟ้า เสียงพู่กันโหยหวนดังลั่นจนได้ยินอย่างชัดเจนขณะที่มันตวัดไปมา ทันใดนั้นเส้นแสงสีดำทะมึนมากมายประหนึ่งเส้นไหมก็ฟาดเปรี้ยงลงมา เป็นเหตุพื้นพสุธาที่มีสภาพไม่ต่างอะไรกับทะเลโลหิตพลันแปรเปลี่ยนดุจเป็นกระดาษแผ่นบางที่ถูกสะบั้นด้วยมีดคมกริบ และสับละเอียดจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที
ง่ายดายดุจใช้มีดร้อนผ่าก้อนไขมัน ทั้งกวาดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าจนราบเป็นหน้ากลอง กระทั่งเขตแดนเต๋ากร่อนโลหิตยังมิอาจต้านทานพลังจู่โจมเพียงผิวเผินของพู่กันพิพากษามารในครั้งนี้!
“อะไรกัน…มันคืออะไร!!” ไกลออกไป หลัวซิ่วที่หลบหนีไปได้ไกลพอสมควรแล้วกลับหยุดชะงักค้างโดยไม่เต็มใจ ขณะนี้เขาเห็นกับตาว่าแสงดำที่ดูบอบบางอย่างกับเส้นด้ายหากเป็นเส้นด้ายโลหะกำลังขึงจนตึงมัดสมบัติวิเศษที่เขาใช้ป้องกันร่างกาย ต่อมาสมบัติวิเศษคุ้มกายก็ถูกสะบั้นขาดจนเป็นกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากนั้นเส้นแสงดำได้มัดล้อมเข้ากับม่านปราณแท้ของเขา ก่อนจะสับปราณแท้จนละเอียดเป็นชิ้นเล็กน้อยนับไม่ถ้วน…
เปรี้ยง!
ทันทีที่เห็นว่าเส้นแสงสีดำทำท่าว่าจะมัดหั่นลงมายังร่างของตนเอง หลัวซิ่วก็ไม่อาจระงับความกลัวตายที่วูบขึ้นมาในใจได้อีกต่อไป ทันใดนั้นเขาจัดการทำลายยันต์เคลื่อนย้าย ขณะเจ้าตัวทำท่าเหมือนถอนใจโล่งอก ฉับพลันนั้นเองที่เหลือบมาเห็นว่าร่างกายของตนจากเดิมเหลือเพียงเศษเนื้อและค่อยร่วงหล่นลงไปกองทั่วพื้น…
“นี่มันอะไรกัน…” นั่นคือความรู้สึกของหลัวซิ่วเป็นครั้งสุดท้าย
โอม!
อันที่จริงเฉินซีเองยังตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นฉากการตายเช่นนี้ของหลัวซิ่ว อย่างไรก็ตามทันทีที่ได้สติจากอาการตกตะลึง มือข้างซ้ายที่กำระเบียนแดนมรณะเอาไว้จำต้องคลายออกด้วยแรงดูดอันทรงพลัง ซึ่งดูดเอาเศษเสี้ยวมวลพลังต่าง ๆ ในรัศมีรอบทะเลโลหิตเกือบหนึ่งร้อยจั้งจนหมดสิ้น
ฟิ้ว!
พู่กันพิพากษามารสะบัดตัวอย่างแรงพร้อมกับส่งเสียงหอนโหยหวนอยู่กลางอากาศ ขณะที่มันทำท่าเหมือนกำลังจะโบยบินไปจากตรงนั้น เฉินซีพลันยื่นมือออกไปคว้าพู่กันพิพากษามารที่เหมือนจะมีจิตวิญญาณของมันเองเอาไว้อย่างแน่นเหนียวโดยไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ
ขณะที่มือข้างขวาของเฉินซีถือพู่กันพิพากษามารและมือซ้ายถือระเบียนแดนมรณะ ทำให้แลดูคล้ายกับเทพพญายมในตำนานเป็นอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดอะไรทั้งสิ้น ด้วยระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารกำลังดิ้นรนอยู่ในมือสองข้าง ทั้งสองสิ่งนี้เปรียบได้กับสัตว์อสูรที่มากทิฐิและไม่ยอมลงให้แก่ผู้ใด พวกมันจึงพยายามดิ้นรนเพื่อให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของเฉินซี
‘โธ่เว้ย! ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าออกมาหรอก!’ เฉินซีขบกรามแน่นขณะโคจรปราณแท้ในร่างของตนเองออกมายับยั้งสมุดและพู่กันประหลาดอย่างเต็มที่
เวลาผ่านไปเท่าใดไม่รู้ ในที่สุดระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารก็หยุดต่อต้าน ก่อนจะคืนสู่ความสงบ เห็นแค่นี้เฉินซีก็ถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก เหงื่อกาฬเปียกโชกไปทั้งตัว
หลัวซิ่วตายเพียงเพราะปลายพู่กันพิพากษามารสะบัดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะรังสีโลหิตที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา ส่งผลให้พู่กันพิพากษามารเผยเจตนาสังหารของมันออกมา…เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉินซีจึงรู้สึกไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น บัดนี้ความเข้าใจการใช้ระเบียนแดนมรณะกับพู่กันพิพากษามารฉายแววออกมาเลือนราง
ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ตัดสินได้ในตอนนั้นเองว่าก่อนที่เขาจะสามารถควบคุมสมบัติล้ำค่าทั้งสองชิ้นได้อย่างสมบูรณ์ จะไม่นำมันออกมาใช้ ด้วยตนไม่ปรารถนาที่จะเห็นพวกมันหลุดมือไปเพราะการไร้ความสามารถที่จะสยบพวกมันไว้
“หืม ก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้ถึงมวลพลังที่แปรปรวนอย่างรุนแรงซึ่งถูกปลดปล่อยออก…”
“ศิษย์พี่ ข้าก็สัมผัสถึงมันได้เหมือนกัน”
“เอาล่ะ ทุกคนเร็ว! ผลการต่อสู้น่าจะมีการตัดสินแล้ว บางทีพวกเราอาจโชคดีจับผู้บ่มเพาะที่เจ็บหนักและกอบโกยผลประโยชน์จากเขาได้!”
…
มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังออกมาจากป่าทึบที่อยู่ไกลลิบ
ดูเหมือนสถานการณ์ยุ่งเหยิงของหลัวซิ่วจะดึงความสนใจของผู้บ่มเพาะในละแวกนั้นไม่น้อย หัวใจของเฉินซีกระตุกวูบ เขาไม่กล้ามัวคิดเรื่อยเปื่อย จึงตัดสินใจหนีไปด้วยการใช้เคล็ดวิชาวาตะเหินทะยาน ทำให้ร่างเปรียบได้ดั่งลมพายุพัดพาหายเข้าไปในป่าทึบอันอุดมสมบูรณ์ทันที