บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1365 ความขัดแย้งภายในที่ไม่มีที่สิ้นสุด
บทที่ 1365 ความขัดแย้งภายในที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ห้องโถงเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย และเหล่าคนระดับสูงตระกูลจั่วชิวก็สูญเสียความสำรวม
สำหรับต้นเหตุก็คือ ข่าวราชันเซียนหกคน! ยิ่งกว่านั้น ราชันเซียนสองในหกคนยังเป็นศิษย์ของตำหนักเต๋าหนี่หวา!
แม้ตระกูลจั่วชิวจะเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ยังด้อยกว่าอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับหนึ่งในสามสุดยอดนิกายในสามภพเช่นตำหนักเต๋าหนี่หวา
“เงียบ!” จั่วชิวเฟิงตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก และหยุดเสียงอึกทึกในห้องโถงทันที
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของทุกคนต่างประหลาดใจและสับสนไม่เสื่อมคลาย
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าเด็กสารเลวคนนั้น?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้
ส่วนเด็กสารเลวที่ว่านั่นคือใครนะหรือ?
ย่อมเป็นเฉินซี!
“เด็กสารเลว? ฮึ่ม! อย่าลืมว่าเขาเป็นลูกของอาซิ่ว! เลือดของตระกูลจั่วชิวของเราไหลอยู่ภายในตัวเขา!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยปากโต้แย้ง
“ช่างสามหาวยิ่งนัก! หากพวกเจ้ายังคงโต้เถียงกันอีก ก็ไสหัวไปจากตระกูลจั่วชิวซะ!” จู่ ๆ จั่วชิวหวงหลินก็ลุกขึ้นยืน กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวกวาดออกไป ทำให้ผู้อาวุโสระดับสูงทุกคนที่อยู่ในที่นี้ตกใจจนเงียบกริบไม่ต่างจากจักจั่นในฤดูหนาว
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่มผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลจั่วชิวนั่นรุนแรงมากเพียงใด
“ใช่แล้ว ความโชคร้ายที่คงเอ๋อร์และบรรพบุรุษหลิงหงต้องทนทุกข์นั้นเกี่ยวข้องกับเจ้าเด็กสารเลวคนนั้น” จั่วชิวเฟิงมีสีหน้าเศร้าหมองขณะที่กล่าวช้า ๆ “ราชันเซียนทั้งหกนั้นก็อยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้าเด็กสารเลวนั่น”
“เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป?” ผู้ที่กล่าวในครั้งนี้คือผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จั่วชิวเฟิง คนผู้นี้เท้าเปล่า สวมชุดผ้าฝ้าย รูปร่างหน้าตาธรรมดา มีสีหน้าสงบ และทำให้ผู้อื่นรู้สึกมั่นคงดุจขุนเขา คนผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่บำเพ็ญเพียรอย่างสันโดษ มีนามว่าจั่วชิวเฟยหมิง
“ข้าตั้งใจจะฆ่าเจ้าเด็กสารเลวนั่น ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม!” จั่วชิวเฟิงเค้นเสียงลอดไรฟัน เผยให้เห็นจิตสังหารอันไร้ขอบเขต
จั่วชิวเฟยหมิงขมวดคิ้ว คล้ายคำว่าเด็กสารเลวนั้นเสียดหูมาก เขาจึงกล่าวหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง “อย่าลืมว่านอกจากราชันเซียนทั้งหก ตอนนี้เขาเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และสหายเก่าหลายคนก็ยกย่องเขามาก เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการทำเช่นนี้?”
ทันทีที่สิ้นคำกล่าว ทุกคนก็จ้องมองไปที่จั่วชิวเฟิงเป็นตาเดียว
อย่างไรก็ตาม แววตาของหลายคนก็เจือแววยินดีจากความโชคร้ายของจั่วชิวเฟิง เห็นได้ชัดว่าสายตาเหล่านั้น เป็นของผู้อาวุโสที่ไม่สนับสนุนจั่วชิวเฟิงในฐานะผู้นำตระกูล
“จะให้เรากลืนความแค้นนี้หรือ?” จั่วชิวเฟิงกล่าวอย่างไม่พอใจ
“หากเจ้าเต็มใจที่จะทำสงครามกับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าและตำหนักเต๋าหนี่หวา เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ แต่ขออภัย ข้าขอไม่เกี่ยวข้องด้วย” จั่วชิวเฟยหมิงกล่าวอย่างเฉยเมย ก่อนจะลุกขึ้นยืนและหายตัวไปในอากาศ
สีหน้าของจั่วชิวเฟิงหมองลงทันที เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขาเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูล ผู้อาวุโสคนนี้มักจะนำผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในตระกูลมาต่อต้านเขา กระทั่งตอนนี้ อีกฝ่ายยังแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยอีก และมันทำให้จั่วชิวเฟิงโกรธมาก กัดฟันสะกดอารมณ์จนแทบแตก
ไอ้สารเลวพวกนี้!
วันหนึ่งข้าจะทำลายล้างพวกเจ้าทุกคนอย่างแน่นอน!
พวกเขาเข้าใจในทันที เมื่อจั่วชิวเฟยหมิงจากไป ผู้อาวุโสหลายคนก็จากไปเช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้ท่าทางของจั่วชิวเฟิงไม่น่าดูยิ่งขึ้น และแทบจะไม่สามารถระงับเปลวไฟแห่งความโกรธแค้นในใจได้ …ถึงเวลานี้แล้ว แต่ไอ้สารเลวเหล่านี้ยังคงต่อต้านข้า หรือไม่มีใครสนใจสถานการณ์โดยรวมของตระกูล!?
จู่ ๆ จั่วชิวหวงหลินก็กล่าว “ตระกูลจั่วชิวไม่สามารถตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายได้ ปล่อยให้พวกเขาทำตามที่ต้องการเถิด”
จั่วชิวเฟิงหายใจเข้าลึก ๆ และพยักหน้า
เขากวาดตามองผู้อาวุโสที่ยังคงอยู่ และตระหนักดีว่า ถ้าตนไม่อาจจัดการกับเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บางคนจะมีความคิดเป็นอื่น
“ประการแรก เราต้องสืบเสาะว่าไอ้สารเลวนั่นมีความสัมพันธ์เช่นใดกับตำหนักเต๋าหนี่หวา เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นศัตรูกับตำหนักเต๋าหนี่หวา”
“ข้าคิดว่าเราสามารถส่งผู้เยี่ยมยุทธ์ไปลอบสังหารไอ้สารเลวนั่นได้ ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงเด็กเหลือขอ และไม่มีทางที่ราชันเซียนจะปกป้องมันได้ตลอดเวลา เราเพียงรอจังหวะที่มันอยู่คนเดียว เท่านี้ก็ไม่มีใครรู้แล้ว แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยตระกูลจั่วชิว แต่เราก็สามารถปฏิเสธทุกอย่างได้”
“ไม่ควรทำเช่นนั้น เนื่องจากไอ้สารเลวนั่นกล้าที่จะกระทำเช่นนี้ มันจะต้องเตรียมการมาอย่างดีแล้ว ข้าเกรงว่าหลังจากที่มันกลับไปที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า มันจะไม่ก้าวออกมาจากสำนักอีกเลย แล้วเราจะลอบสังหารมันได้อย่างไร?”
“สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ารึ? ฮึ่ม! อย่าลืมว่าเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิวของเรานั้นดำรงตำแหน่งในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เราแค่หาโอกาสกำจัดมันซะ”
“ไม่ได้ นั่นคืออาณาเขตของเหมิงซิงเหอ แม้ว่าผู้เป็นราชันเซียนจะลงมือด้วยตนเอง แต่เขาต้องสังเกตเห็นแน่”
การสนทนาประเภทนี้ดำเนินไปตลอดทั้งวัน และยังคงดำเนินต่อไป
เหตุผลที่บรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้รู้สึกว่ามันยากลำบากมาก เพราะเฉินซีมีกองกำลังคอยปกป้องอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตำหนักเต๋าหนี่หวาหรือสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่กองกำลังที่ตระกูลจั่วชิวจะเผชิญหน้าได้
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาวิธีอื่น วิธีที่เหมาะสมที่สุด วิธีการที่สามารถฆ่าเฉินซีโดยที่ไม่มีใครรู้และทำให้ตระกูลจั่วชิวลอยตัวเหนือปัญหาทั้งปวง
แต่มันไม่ง่ายเลย
“ท่านประมุข! ดูเหมือนจะไม่ดีแล้ว!” ทันใดนั้นก็มีเสียงหอบหายใจดังออกมาจากด้านนอกห้องโถง พร้อมกับพ่อบ้านชราที่รีบเดินเข้าไปในห้องโถง
ทันใดนั้นการหารือในห้องโถงก็หยุดชะงักลง ทุกคนจ้องมองไปที่ร่างนั้น พวกเขาจำบุคคลดังกล่าวได้ ซึ่งเป็นพ่อบ้านของจั่วชิวคง และมีนามว่าสื่อเซียง
ทุกคนล้วนตกตะลึงในใจเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจและวิตกกังวลของเขา “เกิดอะไรขึ้น?”
“มีเรื่องอะไร? ว่ามา!” จั่วชิวเฟิงขมวดคิ้วพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก เพราะไม่พอใจอย่างยิ่งที่การหารือถูกขัดจังหวะ
“ท่านประมุข ข่าวเพิ่งมาจากทวีปทักษิณา เราพบว่าเฉินซีดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์!”
เขาเทพพยากรณ์!
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างตกตะลึง ในขณะที่คลื่นพายุโหมกระหน่ำในใจ เพราะนั่นเป็นสุดยอดนิกายที่ลึกลับที่สุดในสามภพ …ทำไมไอ้สารเลวนั่นถึงเกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์ได้?
จั่วชิวเฟิงรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก นัยน์ตาหรี่ลง พลางระงับความปั่นป่วนในใจ “แหล่งที่มาของข้อมูลเชื่อถือได้หรือไม่?”
สื่อเซียงรีบกล่าว “ข้อมูลนี้เชื่อถือได้อย่างแน่นอน เนื่องจากนายน้อยตัดสินใจที่จะจัดการกับเฉินซี ข้าจึงได้ตรวจสอบภูมิหลังของเฉินซี ไอ้สารเลวนี่เคยบ่มเพาะอยู่ในตระกูลเหลียงของทวีปทักษิณาเมื่อสองสามปีก่อน ดังนั้นข้าจึงส่งคนไปตรวจสอบ”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เพราะว่าตระกูลเหลียงออกคำสั่งให้รักษาความลับและปิดผนึกข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับไอ้สารเลวนั่น ดังนั้นข้าจึงติดสินบนผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลเหลียงและได้ข้อมูลนี้มา ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลอิน ตระกูลกู่ และตระกูลหลัวบางคนแล้ว”
ทันทีที่สิ้นคำกล่าว ห้องโถงก็เต็มไปด้วยความตกใจ
เขาเทพพยากรณ์!
เจ้าเด็กสารเลวนั่นไม่เพียงได้รับความช่วยเหลือจากราชันเซียนสองคนจากตำหนักเต๋าหนี่หวาเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์อีกด้วย!
นี่ไม่ต่างจากระเบิดลูกใหญ่ที่ปะทุในหัวใจของผู้อาวุโสระดับสูงทุกคนที่อยู่ในห้องโถง และมันทำให้พวกเขาตกใจจนหนังศีรษะตื้อชา ทั้งยังรู้สึกยากที่จะยอมรับได้
บรรยากาศเริ่มกดดันจนถึงขีดสุดทันที
ในขณะนี้ แม้แต่ใบหน้าที่มืดมนของจั่วชิวเฟิงก็ตกอยู่ในความเงียบ
หลังจากที่ผ่านไปนาน จั่วชิวหวงหลินก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ “มันจะต้องถูกฆ่าโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้น เมื่อมันเติบใหญ่มากกว่านี้ ตระกูลจั่วชิวของเราจะถูกทำลายล้าง!”
สิ้นเสียงพูด ทุกคนก็ตกใจอีกครั้ง!
เพราะวาจาประโยคนั้น เท่ากับยอมรับแล้วว่าเฉินซีแข็งแกร่ง …แข็งแกร่งเสียจนอันตรายเกินไปหากปล่อยไว้! และเมื่อพวกเขาคิดอย่างถี่ถ้วน มันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะในปัจจุบัน เฉินซีไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวาเท่านั้น ชายหนุ่มยังเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่เหล่าผู้อาวุโสในสำนักชื่นชอบอย่างมาก หากพวกเขารอจนกว่าเฉินซีประสบความสำเร็จ แล้วตระกูลจั่วชิวจะจัดการได้อย่างไร?
ในฐานะผู้นำตระกูลจั่วชิว หัวใจของจั่วชิวเฟิงอยู่ในความสับสนวุ่นวาย และรู้สึกอับจนหนทาง
ข้าควรทำอย่างไรดี?
ถ้าเราไม่ฆ่าไอ้สารเลวคนนี้ซะ ตระกูลจั่วชิวคงจะไม่มีความสงบสุขอีกต่อไป
แต่ถ้าเราฆ่าไอ้สารเลวนี่ เราก็จะทำให้สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ตำหนักเต๋าหนี่หวา เขาเทพพยากรณ์ขุ่นเคือง… และผลที่ตามมาก็ไม่อาจจินตนาการได้
“อาฮง อาเซิง” ทันใดนั้นจั่วชิวหวงหลินก็กล่าวด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั่วห้องโถง
จั่วชิวฮงและจั่วชิวเซิงรีบลุกขึ้นยืน แม้พวกเขาจะมีความอาวุโสในตระกูลอยู่มาก แต่พวกเขากลับเป็นเพียงผู้เยาว์เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสอย่างจั่วชิวหวงหลิน
“ส่งแผ่นหยกนี้ให้กับไท่อู่ บอกเขาว่า ถ้าเขาไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำในแผ่นหยกนี้ ตระกูลจั่วชิวจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายและความขัดแย้งภายใน ข้าเชื่อว่านี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาอยากเห็นมันเกิดขึ้นแน่” จั่วชิวหวงหลินดึงแผ่นหยกออกมาแล้วร่อนผ่านอากาศ
ไท่อู่ที่เขากล่าวถึง ย่อมเป็นหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายในจั่วชิวไท่อู่ ซึ่งบำเพ็ญเพียรอย่างสันโดษภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
จั่วชิวฮงรีบก้าวไปข้างหน้าและรับมันด้วยความเคารพ
“ท่านบรรพบุรุษ ในสมรภูมินอกพิภพในวันนั้น เป็นบรรพบุรุษไท่อู่ที่หยุดแผนการสังหารไอ้สารเลวนั่น แล้วคราวนี้เขา… จะเห็นด้วยหรือ?” จั่วชิวฮงอดไม่ได้ที่จะถาม
“ไม่ต้องกังวล ไท่อู่จะเลือกคำตอบที่ถูกต้อง” จั่วชิวหวงหลินสั่งอย่างไม่แยแส จากนั้นก็มองไปที่จั่วชิวเฟิงที่ยืนอยู่ข้างเคียง “อาเฟิง จงหาเวลาไปพบกับอาซิ่ว แล้วบอกนางว่า หากนางสามารถปล่อยวางความเป็นปฏิปักษ์ในอดีตได้ เราก็สามารถรับเจ้าเด็กสารเลวนั่นเข้าสู่ตระกูลจั่วชิว และยอมรับว่ามันเป็นคนของตระกูลจั่วชิว ถึงขนาดที่ว่า ถ้ามันเปลี่ยนแซ่เป็นจั่วชิว ก็สามารถเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปได้”
ทุกคนต่างตกใจ ในขณะที่สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก …อะไรนะ? นี่เขาตั้งใจจะยอมรับเจ้าเด็กสารเลวนั่นจริง ๆ หรือ?
จั่วชิวหวงหลินมีสีหน้านิ่งสงบ และไม่ทันสังเกตการเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของทุกคน เขาเพียงแค่จ้องมองที่จั่วชิวเฟิง ก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “จำไว้ว่า ไม่ว่านางจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เจ้าจะต้องไม่กระทำการตามอำเภอใจ ตระกูลจั่วชิวไม่สามารถทนต่อการตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายได้ โดยเฉพาะในเวลานี้ที่กลียุคของสามภพกำลังจะปะทุขึ้น”
จั่วชิวเฟิงรู้สึกตกตะลึงในใจเช่นกัน เมื่อได้ยินคำแนะนำของจั่วชิวหวงหลิน เขาก็รู้สึกอยากปฏิเสธ และเกิดความโกรธที่อธิบายไม่ได้ซึ่งแล่นเข้าสู่หัวใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อพบกับการจ้องมองของจั่วชิวหวงหลิน หัวใจของเขาก็สั่นไหว ความขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยความจำใจ “ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านบรรพบุรุษสั่ง!”
“แน่นอน ถ้าอาซิ่วปฏิเสธ… ไท่อู่จะให้คำตอบที่ถูกต้องแก่เราเอง” จั่วชิวหวงหลินกล่าวอย่างไม่แยแส