บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1369 จักรพรรดิเซียนจื่อเหิง
บทที่ 1369 จักรพรรดิเซียนจื่อเหิง
ฝ่ามือกระแทกลงมาจากกลางอากาศ เปี่ยมล้นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัว ยิ่งใหญ่คล้ายปกคลุมทั้งผืนฟ้า ทำให้ยากที่จะหลีกเลี่ยง
โดยที่ลู่ชิวเยี่ยซึ่งอยู่ที่ข้างล่างก็รู้สึกหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง
ทันใดนั้น เตียนเตี้ยนกล่าวขึ้นมาทันที “ช้าก่อน”
สิ้นเสียง ฝ่ามือนั้นก็หยุดชะงัก ก่อนที่เสวี่ยเยี่ยนจะชักมือกลับ เห็นได้ชัดว่าการควบคุมพลังนั้นเชี่ยวชาญถึงระดับที่สามารถควบคุมได้ดั่งใจนึก
ครืน!
การรอดชีวิตจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังดังกล่าว ทำให้ลู่ชิวเยี่ยเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น แล้วคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางกล่าวเสียงแหลม “ขอบพระคุณท่านราชันเซียนที่เมตตา ขอบพระคุณท่านราชันเซียนที่เมตตา…”
พวกข้ารับใช้และแม่นางน้อยที่ยังอยู่ในภัตตาคารต่างตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนสีไม่สิ้นสุด ทั้งหวาดกลัวและวิตกกังวล จึงพร้อมใจกันคุกเข่าจนเกิดเสียงดังสนั่น
เมื่อหวนคิดถึงการกระทำของตัวเองก่อนหน้านี้ ข่มขู่คุกคามหวังชิงหญิงงามมาให้ลู่ชิวเยี่ย พวกเขาก็หวาดกลัวจนวิญญาณแทบออกจากร่าง
สำหรับจูหมิง สีหน้าของเขาก็ดูไม่ดีไปกว่ากันมากนัก
เฉินซีมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย “คนเหล่านี้หยิ่งผยอง เอาแต่ใจ และอวดโอ้ฐานะของตน แต่ตอนนี้กลับหวาดกลัวหางหดเหมือนสุนัข”
เตียนเตี้ยนไม่คิดสนใจคนเหล่านี้เช่นกัน นางจึงโบกมือแล้วกล่าวว่า “ทำให้พิการแล้วส่งตัวไปให้บิดาของเขาจัดการ เมื่อข้ากลับไป ข้าต้องการคำตอบที่น่าพอใจจากโหวไร้พันธนาการ”
สิ้นคำกล่าว นางก็นำเฉินซีขึ้นรถม้าศักดิ์สิทธิ์วิหคเพลิงคราม
ฟิ่ว!
มิติเกิดความผันผวน และภายใต้การจ้องมองอย่างตกตะลึงของทุกคน รถม้าศักดิ์สิทธิ์วิหคเพลิงครามฉีกทะลุท้องฟ้า และหายไปในอากาศพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่
ในบรรดาสมาชิกของกลุ่ม มีเพียงเสวี่ยเยี่ยนที่ยังคงรั้งอยู่ข้างหลัง ดวงตาทอประกายสายฟ้าเย็นเยียบขณะที่กวาดไปทางลู่ชิวเยี่ยอย่างรวดเร็ว
“อย่า! อย่า… อ๊าก!!!!” ลู่ชิวเยี่ยร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
…
รถม้าศักดิ์สิทธิ์วิหคเพลิงครามมีโลกของตัวเองอยู่ภายใน ดังนั้นจึงมีวังหยกที่หรูหราและวิจิตรปลูกอยู่ในนั้น
“การทำให้นายน้อยผู้มากตัณหาคนนั้นพิการ จะไม่เป็นการล่วงเกินโหวไร้พันธนการหรือ?” เฉินซีนึกถึงลู่ชิวเยี่ยที่หน้าซีดเป็นไก่ต้มก่อนจากมา และรู้สึกว่ามันน่าขบขันไม่น้อย
“ถ้าข้าล่วงเกินเขาแล้วจะทำไม ไม่ใช่ว่าข้าได้ล่วงเกินผู้ปกครองของสภาเซียนกลางสักหน่อย” เตียนเตี้ยนยิ้มและไม่แยแส พวกเขานั่งขัดสมาธิอยู่ในวัง และมีสาวใช้คนสวยกำลังรินชาให้จากด้านข้าง
เฉินซีตกตะลึงและถามอย่างสงสัย “สภาเซียนกลางนั้นเป็นขุมพลังเช่นใดหรือ?”
ตั้งแต่เข้าสู่ภพเซียน เฉินซีเคยได้ยินเกี่ยวกับสภาเซียนกลางมาโดยตลอด แต่ก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวขุมพลังเลย
ในปัจจุบัน เขาทราบดีว่าทุก ๆ ทวีปจากสี่พันเก้าร้อยทวีปในภพเซียนนั้นมีตำหนักราชันเซียน และมันทำหน้าที่ดูแลทวีปนั้น ๆ ทั้งยังมีอำนาจที่ไม่ธรรมดา
ในทางกลับกัน ตำหนักราชันเซียนเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของสภาเซียนกลาง
“สภาเซียนกลางตั้งอยู่ในทวีปจรัสเทวะ และถูกควบคุมโดยจักรพรรดิเซียนจื่อเหิง ภายใต้เขาคือโหวผู้ยิ่งใหญ่สิบคน ราชันเซียนสี่พันเก้าร้อยคน และเซียนปราชญ์ เซียนทองคำ เซียนลึกลับ และเซียนสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วน”
“ภายนอก สภาเซียนกลางถือได้ว่าเป็นขุมพลังใหญ่ที่สุดที่ควบคุมภพเซียน แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นเพียงพันธมิตรที่สร้างขึ้นโดยผู้เยี่ยมยุทธ์จากขุมพลังชั้นนำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นราชันเซียน หรือโหว ทั้งหมดล้วนมาจากขุมพลังที่แตกต่างกัน”
“ตัวอย่างเช่น โหวไร้พันธนาการลู่ชิวปิน เขาคือราชันเซียนแห่งทวีปรัตติกาล ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิบโหวผู้ยิ่งใหญ่แห่งสภาเซียน และอีกตัวตนหนึ่งคือผู้อาวุโสของตระกูลลู่ชิวในทวีปรัตติกาล”
เตียนเตี้ยนกล่าวอย่างมั่นใจ และนางก็บรรยายคร่าว ๆ เกี่ยวกับสภาเซียนกลางอย่างชัดเจนด้วยไม่กี่ประโยค
“ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ราชันเซียนแห่งสภาเซียนกลางเป็นเพียงตำแหน่งเท่านั้น ส่วนจักรพรรดิเซียนจะได้รับการแต่งตั้งจากสามสุดยอดนิกายของภพเซียน ตัวอย่างเช่น จักรพรรดิเซียนจื่อเหิงคนปัจจุบันเป็นผู้อาวุโสจากนิกายอำนาจเทวะ”
“ทุก ๆ แสนปีจะมีการแต่งตั้งจักรพรรดิเซียนคนใหม่ ตัวอย่างเช่น จักรพรรดิเซียนคนก่อน จักรพรรดิเซียนหรานหนิง เป็นศิษย์คนที่เก้าของเขาเทพพยากรณ์ ไป๋หรานหนิง”
เฉินซีตกตะลึงทันที “ไป่หรานหนิง? ศิษย์พี่เก้าของข้าหรือ?”
ตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ เขาได้พบกับศิษย์พี่หญิงคนเล็กอย่างหลียางและศิษย์พี่สามเท่านั้น สำหรับศิษย์พี่น้องคนอื่น ๆ ของนิกาย เฉินซีไม่รู้ชื่อของพวกเขาด้วยซ้ำ
จู่ ๆ เตียนเตี้ยนก็บอกว่า ศิษย์พี่คนที่เก้าไป๋หรานหนิง ซึ่งเขาไม่เคยพบมาก่อน ได้เข้ารับตำแหน่งจักรพรรดิเซียนของสภาเซียนกลาง จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร
“จักรพรรดิเซียนจื่อเหิงนั้นมาจากนิกายอำนาจเทวะจริงหรือ?” หลังจากนั้น เฉินซีขมวดคิ้วขณะรู้สึกไม่ดีต่อนิกายนี้
โดยเฉพาะหลังจากการเดินทางไปยังซากโบราณสถานแรกกำเนิดครั้งนี้ มันทำให้เขามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับเต๋าไร้อารมณ์ของนิกายอำนาจเทวะ เมื่อได้ยินว่าศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะได้ควบคุมสภาเซียน เขาก็รู้สึกรังเกียจอย่างยิ่ง
“มันช่วยไม่ได้ นิกายอำนาจเทวะเป็นหนึ่งในสามสุดยอดนิกายในสามภพ!” เตียนเตี้ยนยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ต้องกังวล ในสามภพ ณ ปัจจุบัน อำนาจของจักรพรรดิเซียนอาจทำให้ผู้คนมากมายหวาดกลัว แต่ในสายตาของกองกำลังอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริง จักรพรรดิเซียนก็เป็นแค่ชื่อเท่านั้น”
ตามคำกล่าวของเตียนเตี้ยน ไม่ว่าจะเป็นสภาเซียนกลาง หรือตำหนักราชันเซียนในสี่พันเก้าร้อยทวีปของภพเซียน ทั้งหมดนี้ก็มีไว้เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในภพเซียนเท่านั้น
แต่ตอนนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งในตำหนักราชันเซียนหรือสภาเซียนกลางนั้นมาจากกองกำลังต่าง ๆ ของภพเซียน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจะไม่ยอมจำนนต่อคำสั่งของจักรพรรดิเซียนโดยธรรมชาติ
โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่กระทบต่อผลประโยชน์ของตนเอง ไม่มีกองกำลังใดที่จะเชื่อฟังตำหนักราชันเซียนและสภาเซียนกลางได้อย่างแท้จริง และสิ่งที่ตรงกันข้ามก็เป็นจริงเช่นกัน
แรงจูงใจที่แท้จริงเบื้องหลังการแต่งตั้งจักรพรรดิเซียน คือการเตรียมการทำสงครามกับคนจากต่างพิภพ ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อสงครามเต็มรูปแบบเกิดขึ้นระหว่างสามภพและคนต่างพิภพ พวกเขาก็จำเป็นต้องมีผู้นำที่เป็นเหมือนจักรพรรดิในการทำศึกสงคราม
แต่ตอนนี้ไม่มีสัญญาณของสงคราม ดังนั้นการดำรงอยู่ของตำแหน่งของจักรพรรดิเซียนจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์
ในที่สุดเฉินซีก็รู้แจ้ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อหวนคิดว่าจักรพรรดิเซียนมาจากนิกายอำนาจเทวะ เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
…
แดนเซียนรัตติกาล
โลกอันกว้างใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นภายในห้วงมิติ มันเป็นสถานที่ที่งดงามและมีทิวทัศน์วิจิตร
นี่คือสถานที่ที่เตียนเตี้ยนอาศัยและบ่มเพาะ
เฉินซีอยู่กับเตียนเตี้ยนที่นี่ได้สองสามวันแล้ว และตัดสินใจจากไปในวันนี้ เพราะกังวลเกี่ยวกับหลิงไป๋และคนอื่น ๆ
เตียนเตี้ยนไม่ได้ห้ามและส่งเขาไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติภายในแดนเซียน “ด้วยความช่วยเหลือจากผลวิญญาณเต๋าที่เจ้ามอบให้ ข้าต้องใช้เวลาอย่างมากที่สุดร้อยปี ถึงจะสามารถสร้างรากฐานของข้าให้กลายเป็นเทพ แล้วข้าจะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งเทพ หวังว่าเจ้าจะรอเรื่องการแก้แค้นตระกูลจั่วชิว หลังจากที่ข้าออกจากการปิดด่านบ่มเพาะนะ”
นางตระหนักถึงความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเฉินซีและตระกูลจั่วชิวดี ดังนั้นนางจึงไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเฉินซีล้างแค้น
“หนึ่งร้อยปี?”
เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่น “นางใส่ใจเรื่องของข้ามากจริง ๆ”
แม้ชายหนุ่มจะสามารถขอความช่วยเหลือจากราชันเซียนได้ แต่ประเด็นหลักก็คือ การบ่มเพาะของตัวเขาเองกลับไม่เพียงพอที่จะกระทำการเช่นนั้น
เพราะเฉินซี …อยากล้างแค้นด้วยสองมือของตัวเอง!
ในใจของเฉินซี มีบางเรื่องที่เขาไม่ปรารถนาพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้อื่น ตัวอย่างเช่นการล้างแค้นตระกูลจั่วชิว ที่เขาจะไม่ยอมให้ตนเป็นเพียงผู้ชมอย่างแน่นอน
แต่ที่สำคัญที่สุด ในฐานะหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ของภพเซียน รากฐานของตระกูลจั่วชิวนั้นลึกล้ำ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายล้างมันในช่วงเวลาสั้น ๆ
เรื่องนี้จำต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ไม่สามารถเร่งรีบได้
“ขอบคุณ” เฉินซีประสานมือ เขาไม่เพียงแค่ขอบคุณเตียนเตี้ยนที่ให้ความบันเทิงแก่เขาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ยังขอบคุณนางที่ช่วยขวางการโจมตีอันร้ายแรงในภูมิภาคบรรลุเทพ
เฉินซีไม่เคยลืมว่าเตียนเตี้ยนซึ่งเป็นราชันเซียนผู้สูงศักดิ์ ได้ขวางการโจมตีที่ร้ายแรงให้กับเขา จนเกือบเสียชีวิต
เตียนเตี้ยนยิ้ม “เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งนั้น ผลกำไรของข้ายิ่งใหญ่กว่ามาก”
เมืองเซียนสัประยุทธ์
โอม!
ห้วงมิติผันผวนก่อนที่ร่างหล่อเหลาจะเดินออกมา และแน่นอนว่าเป็นเฉินซีที่กลับมาจากแดนเซียนรัตติกาล
ขณะที่เขามองดูโครงร่างที่คุ้นเคยของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า สัมผัสกลิ่นอายที่คุ้นเคยในอากาศ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะหายใจลึก ๆ และผ่อนคลายร่างกายอย่างสมบูรณ์
เขาไม่รอช้า ทำการเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติไปยังสำนักโดยตรง
…
ปัจจุบัน สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าทั้งหมดกำลังสนทนาในหัวข้อเดียวกันอย่างมีชีวิตชีวา หนึ่งในเจ็ดสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียน จั่วชิวคงได้เสียชีวิตในเมืองคนบาป และผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิวที่ขอบเขตราชันเซียนถูกสังหาร!
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจาย ไม่ใช่แค่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้น แต่ภพเซียนทั้งหมดก็ตกอยู่ในความปั่นป่วน เพราะหนึ่งในสุริยันอันเจิดจ้าและราชันเซียนได้เสียชีวิตในเมืองคนบาปในเวลาเดียวกัน จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร?
เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนบนท้องถนนและตามภัตตาคาร ทั้งยังถูกกล่าวถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
หลังจากเรื่องนี้ ในฐานะหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ของภพเซียน ตระกูลจั่วชิวจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
ทั้งหมดนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและสนทนากันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในทางกลับกัน เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ของภพเซียนก็ตระหนักถึงความจริงทั้งหมดอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชื่อของเฉินซีได้กลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจของกองกำลังอันยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ในภพเซียน
“ไร้สาระ! ที่บอกว่าเป็นฝีมือของศิษย์พี่เฉินซีมันจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าเจ้าบอกว่าเขาฆ่าจั่วชิวคง ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ถ้าเจ้าบอกว่าศิษย์พี่เฉินซีเป็นคนฆ่าราชันเซียน นั่นก็เป็นเรื่องไร้สาระแล้ว”
“ฮึ่ม! โง่เง่าจริง! ข้าไม่ได้บอกว่าศิษย์พี่เฉินซีเป็นคนทำ แต่เขาได้รับความช่วยเหลือจากผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ต่างหาก!”
“ใช่ ข้าได้ยินจากผู้อาวุโสในตระกูลว่า ราชันเซียนหกคนปรากฏตัวในเมืองคนบาป พวกเขาต้องเป็นคนฆ่าจั่วชิวหลิงหงแน่นอน”
“หกราชันเซียน? ศิษย์พี่เฉินซีมีความสามารถขนาดนั้นจริง ๆ หรือ?”
“ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นหรือไม่ แต่ข้าได้ยินมาว่าราชันเซียนสองในหกคนนี้มาจากตำหนักเต๋าหนี่หวา!”
ฟู่!
สิ้นคำกล่าว ก็เกิดเสียงถอนลมหายใจโดยรอบ ๆ ทันที
นั่นคือฉากที่เฉินซีเห็นเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในสำนัก