บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 137 ภายใต้การโจมตีจากทุกทิศทาง
บทที่ 137 ภายใต้การโจมตีจากทุกทิศทาง
บทที่ 137 ภายใต้การโจมตีจากทุกทิศทาง
เฉินซีไม่ทราบว่า ทันทีที่ระเบียนแดนมรณะปรากฏขึ้น ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์ต่างรู้สึกเจ็บที่ดวงตาของพวกเขาจนต้องหลับตาลง เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับเห็นว่าภาพทั้งหมดบนพื้นผิวของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้หายไป และมีแสงสีขาวพร่างพราวเข้ามาแทนที่
“มันเกิดอะไรขึ้น!?”
“มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างการต่อสู้ของเฉินซีและหลัวซิ่ว? เหตุใดเราถึงมองไม่เห็นอีกต่อไป”
“บัดซบ! เป็นการต่อสู้ระหว่างอัจฉริยะรุ่นเยาว์สองคน! เหตุใดภาพฉายถึงได้หายไป!”
ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็จ้องไปที่การต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับหลัวซิ่วอย่างใจจดใจจ่อ ในบรรดาสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นอัจฉริยะผู้เข้าใจเขตแดนเต๋าที่โดดเด่นที่สุดของนิกายหุบเขาดาวตก ในขณะที่อีกคนเป็นชายหนุ่มที่น่าเกรงขามและโด่งดังราวกับดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าในยามเที่ยงวัน
การต่อสู้ระหว่างคนสองคนนี้ถือว่าเป็นตัวแทนของการต่อสู้ที่มีระดับสูงสุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของเมืองทะเลสาบมังกร และมันได้ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมาย ทุกคนต่างรอคอยด้วยความตื่นเต้นและเฝ้าดูอย่างไม่กะพริบตา เพราะเกรงว่าพลาดรายละเอียดใด ๆ ไป
แต่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ม่านพลังที่ฉายภาพอยู่กลับหายไปในช่วงเวลาสำคัญที่สุด!!
ทันใดนั้น คลื่นเสียงสับสนวุ่นวายก็ดังขึ้นรอบ ๆ เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เหมือนกับหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือด น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแสดงถึงความกังวลและไม่พอใจของผู้ชม
บนแท่นหยก ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน ในช่วงพันปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้เกิดในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในนั้น?
ในขณะนั้นเองก็มีชั้นคลื่นขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนแสงสีขาวที่อยู่บนพื้นผิวของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ จากนั้นแสงสีขาวก็ได้หายไป และม่านที่ฉายภาพของชั้นแปดทิศทางของเจดีย์ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
หวือ!
เสียงสับสนทั้งหมดต่างหยุดลงทันที และสายตาของทุกคนก็มุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม นอกจากความยุ่งเหยิงที่น่าตกตะลึงแล้ว ในป่าก็ปราศจากร่องรอยของเฉินซีและหลัวซิ่วแล้ว ราวกับว่าการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองจบลงแล้ว
“ใครกันแน่ที่เป็นผู้ชนะ?”
“เฉินซีอยู่ที่ใด? ทำไมข้าหาเขาไม่เจอ”
“หลัวซิ่ว… หลัวซิ่วก็หายตัวไปเช่นกัน!”
“มารดามันเถอะ! การต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้พลาดไปจริง ๆ มันน่าหงุดหงิดโดยแท้!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างเผ็ดร้อน ศิษย์ของนิกายหุบเขาดาวตกก็รีบวิ่งขึ้นไปบนแท่นหยกเพื่อมาพบกับเฮ่อเหลียนสุ่ย ประมุขแห่งนิกายหุบเขาดาวตก จากนั้นเขาก็จึงกระซิบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ในตอนนี้ ศิษย์ที่เดินเข้ามามีสีหน้าอัปลักษณ์เป็นอย่างมากและโชกไปด้วยเม็ดเหงื่อ ดูเหมือนเขากำลังรายงานเรื่องน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้น ทุกคนก็เห็นเฮ่อเหลียนสุ่ยทุบโต๊ะหยกที่อยู่ตรงหน้าเขาจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สีหน้าของเขามืดมนและซีดเซียวยิ่งนัก อีกทั้งร่างกายของเขายังปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวจนทำให้ใจสั่นไหวออกมา
หรือว่าหลัวซิ่วจะแพ้?
ความคิดเดียวกันนี้เกิดขึ้นในใจของทุกคนเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ คนทั้งหมดก็ตกตะลึงกับความคิดนี้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เฉินซีซึ่งมีการบ่มเพาะและความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าแห่งการต่อสู้ด้อยกว่า จะเอาชนะหลัวซิ่วผู้เข้าใจเขตแดนเต๋าได้อย่างไร?
“ท่านพี่เฮ่อเหลียน โปรดใจเย็น ๆ เป็นท่านเองไม่ใช่หรือที่กล่าวว่า ไม่อาจหลีกเลี่ยงความตายและการบาดเจ็บจากงานเทียบอันดับมังกรซ่อน และถ้าหากคนผู้นั้นมีฝีมือที่อ่อนด้อยกว่าคู่ต่อสู้ ก็สมควรที่จะตายแล้ว” ท่านหญิงซิงอวิ้นแห่งนิกายบุปผาหยกที่อยู่ใกล้ ๆ กล่าวออกมา และรอยยิ้มที่ไม่อาจปกปิดได้ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่งดงามเหมือนดอกกุหลาบของนาง
นางมักกังวลอยู่เสมอว่าหลัวซิ่วจะลอบโจมตีและสังหารเหล่าศิษย์จากนิกายของนาง ในขณะนี้ เมื่อนางเห็นท่าทางของเฮ่อเหลียนสุ่ยที่โกรธจัดจนระเบิดอารมณ์ออกมา นางก็ตระหนักได้ในทันทีว่าหลัวซิ่วได้ประสบเหตุร้ายเข้าแล้ว
“ฮึ่ม!” เฮ่อเหลียนสุ่ยคำรามอย่างเย็นชาก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึก เพื่อควบคุมความโกรธที่ระเบิดออกมาและเจตนาฆ่าในใจ เขาไม่สนใจท่านหญิงซิงอวิ้นที่เยาะเย้ยเขา แต่เงยหน้าขึ้นมองไปยังเจดีย์บำเพ็ญทุกข์แทน เขาต้องการเห็นว่าการบ่มเพาะของเฉินซีนั้นสูงส่งเพียงใดถึงสามารถ…
หวือ!
เฉินซีพุ่งไปในป่าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
“เสี่ยวไป๋ เจ้าคิดว่าเมื่อไรข้าจะสามารถบรรลุเขตแดนเต๋าได้?” เฉินซีกล่าวกับหลิงไป๋ขณะที่เขาพุ่งไปข้างหน้า
“นี่เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดา ตอนนี้เจ้าเข้าใจในเต๋าแห่งสายลมเพียงเท่านั้น แม้จะทรงพลังเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังขาดความหลากหลาย ข้าแนะนำว่าเจ้าควรทำความเข้าใจและไตร่ตรองอย่างถูกต้องเกี่ยวกับเต๋าแห่งการรู้แจ้งอื่น ๆ ยิ่งเจ้าเชี่ยวชาญเต๋าแห่งการรู้แจ้งประเภทต่าง ๆ มากเท่าใด เขตแดนเต๋าที่ควบแน่นจากพวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อหมื่นปีก่อน อาจารย์ของข้าได้เข้าใจในเต๋าแห่งการรู้แจ้งถึง 38 ประเภทของสวรรค์และโลก ยกตัวอย่างเช่น ลม สายฟ้า พสุธา บ่อน้ำ ธาตุทั้งห้า หยิน หยาง การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่ การเคลื่อนไหวของดวงดาว จันทรคติ กระแสน้ำ กระแสสุริยะ… อาจถือว่า สรรพสิ่งมากมายในสวรรค์และโลกต่างประกอบด้วยเต๋าที่ลึกซึ้งและยากจะหยั่งถึง หากยิ่งเข้าใจมากเท่าใด ก็ยิ่งแสดงว่ามีความเข้าใจในเต๋าขึ้นมากเท่านั้น ดังนั้นพลังของเขตแดนเต๋าที่ควบแน่นจะกลายเป็นสิ่งที่น่าเกรงขามตามธรรมชาติพร้อมกับความเข้าใจของเต๋าแห่งการรู้แจ้ง”
หลิงไป๋พูดอย่างเร่าร้อนและมั่นใจขณะที่กล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเจ้าเข้าใจเต๋าแห่งการรู้แจ้งมากเท่าใด พลังของแกนทองคำหยินหยางของเจ้าก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับเมื่อเจ้าควบแน่นแกนทองคำของเจ้า เต๋าแห่งการรู้แจ้งต่างๆ จะหลอมรวมเข้ากับหยินและหยางของแกนทองคำ ผู้บ่มเพาะที่น่าเกรงขามบางคนเมื่อหมื่นปีที่แล้ว สามารถสยบเคล็ดวิชามากมาย สังหารเทพเจ้า ทำลายล้างมาร เคลื่อนภูเขา และทำให้ทะเลลุกเป็นไฟ ด้วยการพึ่งพาแกนทองคำของตัวเองเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพราะจำนวนของเต๋าแห่งการรู้แจ้งที่รู้แจ้งนั้นเป็นจำนวนที่เกินจินตนาการ ทำให้พลังของแกนทองคำนั้นทรงพลังยิ่งกว่าศัสตราวิเศษที่มีคุณภาพระดับสูงสุด!”
เฉินซีเข้าใจได้อย่างรวดเร็วขณะบ่นพึมพำว่า “หากมันเป็นอย่างนั้น ดูเหมือนว่าข้าต้องให้ความสำคัญกับการฝึกฝนในด้านนี้มากขึ้น ข้ามีความรู้สึกอยู่เสมอว่าระหว่างการบ่มเพาะในอนาคต มันจะเป็นการแข่งขันเพื่อทำความเข้าใจในเต๋าแห่งการรู้แจ้ง ดังคำกล่าวที่ว่า ความแข็งแกร่งนั้นไร้ขอบเขต และยิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสวรรค์และโลกมากเท่าใด เคล็ดวิชาที่เชี่ยวชาญก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น…”
“ถูกต้อง เต๋าแห่งการรู้แจ้งเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะทุกคนต้องเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะ การต่อสู้ หรือการก้าวข้ามภัยพิบัติ ก็ไม่อาจแยกจากความเข้าใจของตนเองที่มีต่อสวรรค์และโลกได้” หลิงไป๋กล่าวต่อไปว่า “เมื่อผู้บ่มเพาะแสวงหาความเป็นอมตะและแสวงหาเต๋า เต๋าที่พวกเขาแสวงหานั้นคือเต๋าแห่งสวรรค์และโลกอย่างแท้จริง หากไม่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของสวรรค์และโลกได้ คนผู้นั้นก็คงไม่ต่างจากคนธรรมดาในโลกมนุษย์”
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ นับจากนี้อย่าได้ช่วยข้าในการต่อสู้อีก ปล่อยให้ข้าเผชิญกับทุกสิ่งเพียงคนเดียว สำหรับข้าแล้ว งานเทียบอันดับมังกรซ่อนเป็นสถานที่เหมาะแก่การฝึกฝนที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย”
“อย่าได้กังวลไป ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เจ้าจะขอความช่วยเหลือจากข้า เพราะข้างนอกเจดีย์บำเพ็ญทุกข์นั้นมีพวกประหลาดมากมายเฝ้าจับตาดูอยู่ เมื่อตัวตนของข้าได้ถูกเปิดเผย มันอาจจะชักนำหายนะมาสู่เจ้า และเราทั้งคู่จะต้องตายอย่างแน่นอน…” หลังจากที่หลิงไป๋กล่าวจบ เขาก็เงียบไป
ผ่านไปหนึ่งก้านธูปนับตั้งแต่ทางเข้าชั้นแปดทิศทางของเจดีย์ถูกเปิดออก ผู้บ่มเพาะนับหมื่นคนที่เข้าร่วมในงานเทียบอันดับมังกรซ่อนควรจะมาถึงแล้ว และน่าจะซ่อนตัวอยู่ทุกซอกทุกมุมของชั้นนี้
นอกจากเฉินฮ่าว และกลุ่มสามคนของตู้ชิงซีแล้ว ทุกคนต่างก็ถูกเฉินซีหมายหัวเป็นศัตรูไว้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อต้องรับมือกับศัตรู เขาจะไม่ยอมลดการป้องกันลงเลย
การที่สังหารหลัวซิ่วได้นั้นเป็นผลงานของพู่กันพิพากษามาร ซึ่งเฉินซีไม่เชื่อว่าหลังจากนี้เขาจะโชคดีเช่นนี้อีก
“ฮู่~!”
เฉินซีหายใจเข้าลึกขณะที่เริ่มรวบรวมพลังในร่าง ร่างกายของเขาอยู่ในสภาวะตึงเครียดเหมือนกับการล่าเสือดาว ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาแผ่ขยายออกไป ทำให้การเคลื่อนไหวใด ๆ ในระยะรอบตัวเขา สะท้อนอยู่ในจิตใจของเขาอย่างชัดเจน
เขาทะยานต่อไปโดยไม่หยุดพัก เพียงชั่วพริบตา เขาก็พุ่งออกมาจากป่าอันกว้างใหญ่และมาถึงหุบเขาหิน ทันใดนั้น เฉินซีก็พุ่งออกไปพร้อมกับกระแทกร่างของเขาลงกับพื้น จากนั้นเขาก็หมุนตัวกลับ ก่อนที่ฟาดฝ่ามือใส่หินสีเทาที่ไม่โดดเด่นอย่างรุนแรงข้าง ๆ เขา
โดยไม่คาดคิด หินก้อนนี้ไม่ได้แตกออกเป็นชิ้น ๆ แต่กลับส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาขณะที่มันกระโดดขึ้นและกลายร่างเป็นชายหนุ่มที่มีสีหน้ามืดมนและอำมหิต เขาปกปิดตัวเองด้วยการกลายร่างเป็นหิน ซึ่งกำลังรอโอกาสที่จะลอบจู่โจมเฉินซีอยู่!
ถ้าไม่ใช่เพราะญาณศักดิ์สิทธิ์ของเฉินซีทรงพลังจนเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง และหากเขาไม่สังเกตเห็นความผันผวนที่ผิดปกติบนหินก้อนนี้ เขาก็คงจะถูกหลอกและผลที่ตามมานั้นย่อมคาดเดาไม่ได้
ชายหนุ่มที่มีใบหน้ามืดมนและอำมหิตคนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ศิษย์ของกองกำลังอันยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ของเมืองทะเลสาบมังกร เขาสวมชุดคลุมสีเขียวหยก ผมมัดเป็นมวย แต่การโจมตีของเฉินซีนั้นโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ในทันที่เขาถูกเฉินซีบังคับให้เปิดเผยร่างออกมา เขาก็เขวี้ยงก้อนทรายสีครามไปที่ใบหน้าของเฉินซี
อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของเฉินซีนั้นรวดเร็วกว่าชายหนุ่ม ด้วยคำสั่งในใจของเขา กระบี่ท่องปรภพพุ่งออกมาราวกับสายน้ำหลาก และกระบี่บินที่คมกริบก็สับฟันคอของชายหนุ่มชุดเขียวโดยตรง ทำให้กลายเป็นศพไร้หัว หลังจากนั้น เฉินซีก็สะบัดแขนเสื้อของเขาด้วยปราณแท้ที่พลุ่งพล่าน กระแทกกลุ่มทรายสีครามให้แตกกระจายและปลิวไปทางด้านหลัง และมันก็โปรยไปทั่วศพของชายหนุ่มแทน ทันใดนั้นซากศพก็มีกลิ่นฉุนลอยออกมา และในชั่วพริบตามันก็กัดกร่อนจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก!
มีเพียงตราคำสั่งเท่านั้นที่วางอยู่บนพื้น แต่ผิวของมันถูกสึกกร่อนจนเต็มไปด้วยรูและบิดเบี้ยวจนเสียรูปทรง
ช่างเป็นทรายที่ชั่วร้ายอะไรเช่นนี้!
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะและไม่ได้หยิบตราคำสั่งบนพื้นขึ้นมา ก่อนจะเดินจากไป
หลังจากที่เขาเข้าไปในหุบเขานี้ เฉินซีก็ได้พบกับผู้บ่มเพาะที่โหดเหี้ยมมากกว่าสิบคนตลอดเส้นทาง
เล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายมากมายได้ปรากฏขึ้นทีละแบบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากไม่ใช่เพราะญาณศักดิ์สิทธิ์ของเฉินซีนั้นทรงพลังมากพอ ต่อให้การบ่มเพาะของเขาจะสูงส่งสักเพียงใด ก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการถูกลอบโจมตีได้
เฉินซีไม่มีความปรานีเลยแม้แต่น้อยเมื่อต้องรับมือกับคนเหล่านี้ เขาลงมือสังหารด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวโดยปราศจากการลังเล ไม่มีความรู้สึกสงสารและไม่เปิดโอกาสให้พวกมันได้ใช้ยันต์เคลื่อนย้าย หากพวกมันต้องการฆ่าคนอื่น ดังนั้นมันควรเตรียมใจที่จะถูกผู้อื่นฆ่าด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่เปิดโอกาสให้เขามีชีวิตอยู่ ดังนั้นไยเขาต้องปล่อยให้พวกมันรอดตัวไปด้วยเล่า?
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องปวดศีรษะก็คือขณะที่เขามุ่งไปข้างหน้า ผู้บ่มเพาะที่เขาพบก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ มีการเข่นฆ่าและต่อสู้กันทุกหนทุกแห่ง แต่สิ่งที่แปลกก็คือเมื่อพวกมันสังเกตเห็นการมาถึงของเฉินซี ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะต่อสู้กันรุนแรงถึงเพียงใด พวกมันก็จะหยุดในทันทีและรวมพลังกันโจมตีเขา ราวกับเฉินซีเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้มากกว่า
เฉินซีย่อมรู้เหตุผลทันที ถ้าพวกมันสามารถฆ่าเขาได้ ก็จะได้รับรางวัลก้อนใหญ่จากตระกูลซู ซึ่งนั่นก็คือวารีวิญญาณหนึ่งล้านชั่งและศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดอีกสามชิ้น เรื่องดี ๆ แบบนี้มีผู้ใดจะไม่อยากได้บ้างเล่า
ผู้คนยอมตายเพราะทรัพย์สมบัติเหมือนนกตายเพราะอาหาร นี่เป็นสัจธรรมที่มิอาจปฏิเสธได้มาตั้งแต่สมัยโบราณ
แต่แน่นอนว่าเฉินซีจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองถูกฆ่าโดยไม่ได้ต่อสู้ หากเขาพบผู้คนไม่กี่คนก็จะลงมือฆ่าพวกมัน แต่เมื่อพบผู้คนจำนวนมากเกินไป เขาจะหลบหนีด้วยเคล็ดวาตะเหินทะยาน ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่เพียงแต่เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แต่เขากลับได้รับตราคำสั่งกองใหญ่และพวกแหวนมิติหรือสมบัติวิเศษต่าง ๆ มากมาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างคาดไม่ถึง
ถ้าหากเฉินซีไม่ต้องรีบไปรวมตัวกับเฉินฮ่าว เขาคงตระเวนฆ่าคนไปเรื่อย ๆ เพื่อยึดทรัพย์สินของผู้อื่น กอบโกยความมั่งคั่งเข้าตัวเอง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ของเฉินซีก็ยากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากร่องรอยของเขาได้ถูกเปิดโปงแล้ว จึงมีกลุ่มผู้บ่มเพาะกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไล่ตามหลังเขาในขณะนี้ และพวกมันเป็นเหมือนหางที่เขาไม่สามารถสะบัดออกได้ พวกมันประชิดเข้ามาเป็นแถวอย่างน่ากลัวราวอสรพิษเลื้อย
ในบรรดาคนเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นศิษย์จากพระราชวังข่ายดารา สำนักเมฆาอนันต์ และ ตระกูลฉาง
พวกมันคงได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสที่อยู่เบื้องหลังพวกมันเมื่อนานมาแล้วว่าให้ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับตระกูลซู
ดังนั้นเมื่อพวกมันค้นพบร่องรอยของเฉินซีจึงไล่ตามอย่างใกล้ชิดโดยไม่มีท่าทีที่จะหยุด
น่าเสียใจที่ความเร็วของพวกมันไม่อาจเทียบกับเฉินซี ผู้เข้าใจเต๋าแห่งสายลมอย่างถ่องแท้ ดังนั้นระยะห่างระหว่างพวกมันกับเฉินซีจึงขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนถูกชายหนุ่มทิ้งห่างไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันลี้ และหากไม่ใช่เพราะพวกมันมีคนที่มีทักษะโดดเด่นในการแกะรอยติดตาม พวกมันก็คลาดกับเฉินซีไปนานแล้ว
“ไอ้บัดซบพวกนี้เหมือนผีที่คอยตามหลอกหลอน ถ้าข้าไม่กังวลที่จะตามหาเฉินฮ่าว ข้าจะหันกลับไปฆ่าพวกมันอย่างแน่นอน!” เฉินซีถูกไล่ล่าจนไม่อาจอดกลั้นความเดือดดาลในใจได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาไม่พบร่องรอยของเฉินฮ่าวจนถึงตอนนี้ ความหดหู่ในใจเขาย่อมสามารถจินตนาการได้อย่างง่ายดาย
ในขณะนี้ คลื่นเสียงการต่อสู้ดังขึ้นข้างหน้าอย่างกะทันหัน ขนาดของการต่อสู้นั้นใหญ่ถึงขีดสุด เนื่องจากปราณแท้อันแข็งแกร่งที่ผันผวนจากการต่อสู้จนสามารถสัมผัสได้จากระยะไกล
ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเฉินซีแผ่ออกไป เพียงแค่มองแวบเดียว เขาก็เห็นผู้คนกว่าร้อยคนต่างทะยานอยู่กลางอากาศเหนือทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่และราบเรียบ ในขณะที่บนพื้น ศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรไม่กี่คนที่สวมชุดสีน้ำเงินได้ก่อตัวเป็นวงกลม แน่นอนว่าพวกเขาถูกขังอยู่ที่นั่น
ในหมู่พวกเขา เฉินซีเห็นร่างที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งและต้องตกใจอย่างสุดขีด เพราะร่างนั้นคือเฉินฮ่าว น้องชายของเขา!