บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1373 หยั่งรู้ปราชญ์เต๋า
บทที่ 1373 หยั่งรู้ปราชญ์เต๋า
เฉินซีประหม่า
นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หลังจากที่เขาได้รับผลวิญญาณเต๋ามาแล้ว อาจารย์ใหญ่ฝ่ายในฉือฉางเซิงซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นคนอารมณ์ร้ายและไร้เหตุผลก็ดูเหมือนจะกลายเป็นคนละคนที่ต่างออกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เขาปฏิบัติต่อเฉินซีอย่างอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นก่อน ทำเอาชายหนุ่มถึงกับรู้สึกแปลกใจระคนทำตัวไม่ถูกถึงขั้นทนไม่ไหวอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอตัวลา
แน่นอน เฉินซีได้นำไข่มุกปราชญ์เต๋าแสงอัคคี อาสนะคุนอู่ และคัมภีร์ร้อยปราชญ์เต๋าไปด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ฉือฉางเซิงยังตกปากรับคำว่าสามารถมาขอความช่วยเหลือจากตนได้ทุกเมื่อ และรับประกันได้เลยว่าจะไม่มีทางปฏิเสธคำขอจากชายหนุ่มเป็นอันขาด
เป็นที่แน่ชัดว่าเฉินซีพอใจกับผลลัพธ์นี้อย่างมาก ชายหนุ่มรู้สึกว่าการเดินทางในครั้งนี้คุ้มค่ายิ่งนัก
เขาใช้ผลวิญญาณเต๋าเพื่อแลกกับสมบัติล้ำค่าถึงสามชิ้นซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการหลอมรวมเต๋า อีกทั้งยังได้รับคำมั่นสัญญาจากฉือฉางเซิง สิ่งเหล่านี้นับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่ว่ากำไรที่เกิดขึ้นนี้เกินความคาดหมายด้วยซ้ำ
อย่างไรเสีย แม้ว่าเขาจะมีผลวิญญาณเต๋ามากถึงสิบเอ็ดผล ทว่าตอนนี้พวกมันก็หาได้มีประโยชน์อันใด ต่อให้ในอนาคตจะบรรลุขอบเขตราชันเซียน หรือบรรลุเต๋า และกลายเป็นเทพก็ตาม สิ่งที่เขาต้องการก็คือผลวิญญาณเต๋าเพียงผลเดียวเท่านั้น
สำหรับส่วนที่เหลือ แน่นอนว่าเขาต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ตามแผนปัจจุบัน เขาตั้งใจที่จะใช้ผลวิญญาณเต๋าเหล่านี้เพื่อแลกกับคำมั่นสัญญา และการสนับสนุนของผู้อาวุโสบางคนในสำนักศึกษา
ด้วยวิธีนี้ เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการแก้แค้นตระกูลจั่วชิวในอนาคต ย่อมได้รับความช่วยเหลือจากราชันเซียนมากมาย!
อันที่จริงแล้ว เฉินซีตั้งใจที่จะไม่ปล่อยให้เรื่องที่ตนครอบครองสมบัติวิเศษเหล่านี้แพร่งพรายไปเกินการควบคุม ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เขาจึงขอให้ฉือฉางเซิงเก็บเรื่องนี้ไว้ อย่างน้อยก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น
…
หลังจากที่เฉินซีออกจากที่พักของฉือฉางเซิงแล้ว ชายหนุ่มก็ตรงกลับมาที่ห้องกระบี่ทันที
สิ่งที่เขาทำเป็นอย่างแรกก็คือการนำแผ่นหยกที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับแดนโบราณจักรพรรดิเต๋าออกมาเพื่อตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน เมื่อเทียบกับการหลอมรวมเต๋าแล้ว เขากังวลมากกว่าว่าตนจะได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋าหรือไม่ เพื่อให้ตนเองมีคุณสมบัติที่จะแลกชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก
เหตุผลนั้นง่ายมาก หลังจากที่เขาผ่านประสบการณ์ภายในภูมิภาคบรรลุเทพมาอย่างโชกโชน ชายหนุ่มก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากนั้นพิเศษเพียงใด
สมบัติชิ้นนี้สามารถต้านทานพลังจากเนตรทัณฑ์สวรรค์และพลังจากเทียบอันดับเทวาได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังช่วยให้เขาผ่านพ้นจากเภทภัยต่าง ๆ มากมาย แล้วเช่นนี้จะให้มองว่ามันเป็นเพียงสมบัติธรรมดาได้อย่างไร?
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากรวมตัวกัน มันก็ทำให้เขาสามารถผสานกฎแห่งมหาเต๋าทั้งหลายซึ่งตนครอบครองไว้ภายในตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ และบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์ได้อย่างราบรื่น ทั้งยังได้ครอบครองผลวิญญาณเต๋าจำนวนมาก…
ตอนนี้เฉินซีมีชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากหกชิ้นแล้ว ขาดอีกเพียงสามชิ้นก็จะสามารถประกอบมันเป็นแผนภาพที่สมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่อาจนิ่งนอนใจได้ เนื่องจากว่าชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากอีกชิ้นที่มีอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านั้นตกอยู่ใต้ความครอบครองของคนผู้หนึ่ง
“สุสานแห่งราชันนิรันดร์!”
“โลงศพเซียนยมโลก!”
“สระโลหิตอดีตชาติ!”
…
ขณะที่เฉินซีกำลังสำรวจแผ่นหยกอย่างละเอียด สายตาที่เลื่อนไล่ไปตามตัวอักษรก็ยิ่งฉายแววประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแดนโบราณจักรพรรดิเต๋าไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ฝังมรดกแห่งจักรพรรดิเต๋าเท่านั้น หากยังเต็มไปด้วยพื้นที่อันตรายและการแสวงโชคมากมาย
พวกมันเป็นทั้งบททดสอบและการฝึกตนในคราวเดียวกัน
จากบันทึกที่อยู่บนแผ่นหยก แม้หลังจากที่เข้าไปในแดนโบราณจักรพรรดิเต๋าแล้ว จะไม่มีใครได้ครอบครองมรดกเหล่านั้น ทว่าหลังจากที่เผชิญกับบททดสอบต่าง ๆ ความแข็งแกร่งย่อมได้รับการพัฒนาขึ้นมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นั่นไม่ได้มีเพียงแต่มีมรดกของจักรพรรดิเต๋าเท่านั้น หากยังมีโชคลาภอื่น ๆ ให้ได้เสาะหาอีกมากมาย
จากบันทึกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แดนโบราณจักรพรรดิเต๋านั้น จะเปิดขึ้นทุก ๆ หมื่นปีเท่านั้น และจะอนุญาตให้ศิษย์ในสำนักเข้าไปได้ครั้งละไม่เกินสิบคน
ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับศิษย์ทั้งหลายที่จะได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋า แน่นอนว่าโดยส่วนใหญ่ไม่มีใครได้ครอบครองมัน
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เขามีเพียงแต่ต้องเข้าไปในแดนโบราณจักรพรรดิเต๋าเท่านั้น จึงจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
อย่างไรก็ตาม แผ่นหยกได้บันทึกว่าเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ครั้งหนึ่งเคยได้รับมรดกแห่งจักรพรรดิเต๋าเมื่อหลายปีก่อน!
โดนโบราณจักรพรรดิเต๋านี้จะเปิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า เพื่อการนี้ ข้าจะต้องเตรียมการอย่างให้รอบคอบและทุ่มเทอย่างสุดกำลัง! ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินซีก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เป็นขณะเดียวกันกับที่ร่องรอยแห่งความมุ่งมั่นปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้ว
…
ณ โลกแห่งดวงดาว เฉินซีนั่งขัดสมาธิบนอาสนะคุนอู่ มือพาดวางไว้บนขา ในขณะที่ไข่มุกปราชญ์เต๋าแสงอัคคีถูกวางไว้บนฝ่ามือ ส่วนคัมภีร์ร้อยปราชญ์เต๋านั้นกางออกและตั้งไว้เบื้องหน้า มันปลดปล่อยคลื่นเสียงภาวนาออกมาเป็นทำนองอันสงบ
วิ้ง~
ครั้นเฉินซีดำดิ่งลึกลงไปในภวังค์แห่งฌาน อาสนะคุนอู่ก็เปล่งแสงเรืองรองสีทองประกาย เส้นแสงแต่ละเส้นล้วนเต็มไปด้วยอักขระลึกลับซึ่งเข้าปกคลุมไปทั้งเรือนกายของชายหนุ่ม
ในอีกด้านหนึ่ง ไข่มุกปราชญ์เต๋าแสงอัคคีซึ่งวางอยู่บนฝ่ามือก็ห้อมล้อมด้วยแสงมัวสลัวราวเมฆหมอก มันผสานกับพลังชีวิตของเฉินซี ก่อนจะปลดปล่อยรัศมีเทวะอันไพศาลออกมาเลือนราง
เฉินซีเริ่มหยั่งฌานและหลอมรวมกับตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุภายใต้สภาวะดังกล่าว ทั้งหัวใจ ห้วงคิด และทะเลแห่งมโนสำนึก รวมไปถึงจิตวิญญาณตกอยู่ในสภาวะสงบนิ่ง
ฟึ่บ!
ตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุกลายเป็นมหาสมุทรหลากสีที่ปะทะเข้ามาและปรากฏตัวขึ้นในหัวใจของเฉินซี กฎแห่งมหาเต๋าของธาตุทั้งห้าอันประกอบไปด้วยสีแดงเข้ม สีเหลือง สีเขียว สีดำ และสีทองไหลเวียนมาบรรจบและหลอมรวมกันเป็นผืนสมุทรเบญจธาตุที่กว้างใหญ่
ขณะที่เฉินซีเริ่มหลอมรวมกับเต๋า รัศมีของมหาสมุทรเบญจธาตุก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที ละอองน้ำเล็ก ๆ เหนือผืนสมุทรสร้างระลอกคลื่นวงกลมที่กระจายออกไปช้า ๆ… พวกมันค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นอักขระยันต์ลึกลับ
สิ่งนี้คือผลจากความพยายามในการหลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุกับเต๋าแห่งยันต์อักขระ กระบวนการที่เกิดขึ้นค่อย ๆ พัฒนาไปอย่างราบรื่นจนน่าประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับการปะทุตัวของมหาสมุทรจากตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุแล้ว อักขระยันต์ที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นเหมือนจะยังมีขนาดเล็กอยู่มาก
แต่ถึงกระนั้น นี่ก็นับเป็นความก้าวหน้าที่ชวนให้ตกใจอย่างยิ่ง
อย่างไรเสีย เมื่อเทียบกับราชันเซียนคนอื่น ๆ การหลอมรวมเต๋าของพวกเขาก็มักจะพบพานกับอุปสรรคทั้งหลายที่ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่รู้จบสิ้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะก้าวหน้าไปได้ทันทีหลังจากเริ่มหลอมรวมเต๋าได้อย่างที่เฉินซีทำ ดังนั้นแม้ความก้าวหน้าไม่ได้ไปไกลมากนัก หากอย่างน้อยก็ยังดีที่เขาไม่พบกับอุปสรรคใด ๆ
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ ก็เนื่องจากเฉินซีนั้นได้เตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้ว โดยเขาได้คาดคะเนวิธีการต่าง ๆ สำหรับ ‘หลอมรวมเต๋า’ ออกมาจำนวนมาก และในท้ายที่สุด เขาก็ค้นพบวิธีการที่เหมาะสมที่สุดต่อตัวเอง
ตอนนี้เอง ด้วยความช่วยเหลือจากไข่มุกปราชญ์เต๋าแสงอัคคี อาสนะคุนอู่ และคัมภีร์ร้อยปราชญ์เต๋า ในที่สุดเขาก็สำเร็จบรรลุผลตามที่ตั้งใจไว้ได้อย่างราบรื่น
นี่คือความสำคัญของการตระเตรียมการ เพราะการเตรียมตัวที่ดีจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อเสมอ
ณ ห้วงเวลานั้น ชายหนุ่มคล้ายตกอยู่ในสภาวะที่ไม่เคยคุ้น คล้ายกับว่าขณะที่เสียงแห่งการภาวนากระทบก้องในโสตประสาท สัมผัสทั้งหก ดวงจิตแห่งเต๋า และจิตวิญญาณก็หยั่งลงสู่ความลึกล้ำแห่งตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุอย่างยากจะหาที่สิ้นสุด มันค่อย ๆ หลอมรวมกับเต๋าแห่งยันต์อักขระเนิบช้า
มันเป็นความคืบหน้าที่เชื่องช้าและเอื่อยเฉื่อย ทว่าเฉินซีกลับไม่อาจสัมผัสได้ถึงความน่าเบื่อหน่ายเหล่านั้น เขาลืมสิ้นทุกสรรพสิ่ง ลืมว่าตนอยู่แห่งหนใด ลืมแม้กระทั่งเวลาที่ผ่านพ้นไป
…
ในวันนี้ ฉือฉางเซิง อาจารย์ใหญ่ฝ่ายในเลือกที่จะปิดด่านบ่มเพาะเช่นเดียวกัน โดยกิจธุระทั้งหมดของสำนักศึกษาฝ่ายในได้ถูกส่งต่อไปให้หัวหน้าอาจารย์หวังต้าวหลูเป็นผู้ดูแล
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การหายหน้าหายตาของเฉินซีเพื่อปิดด่านฝึกวิชานั้นทำให้หลายคนเสียใจอยู่ไม่น้อย
อย่างเช่นเยี่ยถัง เจิ่นลู่ จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และคนอื่น ๆ ที่ยังอยากพูดคุยกับเฉินซีเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองคนบาป
หรือแม้แต่สมาชิกใหม่ของพันธมิตรดาราเองก็อยากเห็นท่วงท่าอันสง่างามของเฉินซี
น่าเสียดายที่เฉินซีเลือกที่จะปิดด่านฝึกวิชาทันทีที่กลับมายังสำนักศึกษา ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องละทิ้งความต้องการเหล่านั้นไปก่อน
…
ภายในโถงโบราณของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าฝ่ายใน
ที่แห่งนี้คือที่พำนักของจั่วชิวไท่อู่
ในวันนี้จั่วชิวฮง รองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาฝ่ายนอก และจั่วชิวเซิง หัวหน้าอาจารย์ฝ่ายสงวนโอสถได้เดินทางมาเพื่อพบเขา
“ตอนนี้เขาปิดด่านบ่มเพาะอยู่หรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ ท่านอาจารย์ของข้าปิดด่านฝึกวิชาไปตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน”
ที่หน้าห้องโถง บริวารเต๋าตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
จั่วชิวฮงและจั่วชิวเซิงขมวดคิ้ว ที่พวกเขามาที่นี่คราวนี้ก็ด้วยมีคำสั่งลงมา ทั้งมันยังเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้จั่วชิวไท่อู่กลับกำลังปิดด่านฝึกวิชา แล้วเช่นนี้เราควรทำอย่างไรดีเล่า?
“เจ้าช่วยไปบอกเขาว่าพวกข้ามาด้วยเรื่องด่วนได้หรือไม่? มันจำเป็นที่จะต้องพบเขาเดี๋ยวนี้” จั่วชิวฮงพูดอย่างตรงไปตรงมา
บริวารเต๋าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ จากนั้นเขาก็หายเข้าไปในห้องโถง
“เฉินซี ไอ้เด็กนั่นมันกลับมาแล้ว จากนี้จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของไท่อู่” หลังจากแผ่นหลังของบริวารเต๋าหายลับไป จั่วชิวฮงก็ถอนใจเฮือกใหญ่ทั้งคิ้วที่ขมวดปม สีหน้ามืดมนอย่างยิ่ง
เนื่องจากทั่วทั้งภพเซียนกำลังพูดถึงความตายของจั่วชิงคงและจั่วชิวหลิงหงกันอย่างออกรส ไม่เว้นแม้แต่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเอง นั่นทำให้จั่วชิงฮงและสมาชิกในตระกูลจั่วชิวคล้ายเผชิญกับแรงกดดันครั้งใหญ่ สายตาของผู้คนทั้งหลายต่างชี้มายังพวกเขาเป็นตาเดียว ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าอดสูและเจ็บปวดเหลือแสน
และด้วยเหตุนี้เอง คนในตระกูลจั่วชิวจึงยิ่งเกลียดชังเฉินซีมากขึ้น พวกเขาไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการฉีกกระชากอีกฝ่ายเป็นชิ้น ๆ และเอาเลือดเนื้อของมันมาดื่มกิน!
“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” จั่วชิวเซิงหน้าเครียดถมึงทึง “ตอนนี้ ท่านประมุขได้มุ่งหน้าไปยังคุกเนตรเซียนเพื่อพบกับอาเสวี่ยแล้ว ข้าเองก็อยากรู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร สำหรับข้านั้น ข้าไม่ต้องการให้ไอ้เด็กสารเลวนั่นได้รับการยอมรับให้เข้ามาในตระกูลจั่วชิวของเราแม้แต่น้อย” น้ำเสียงของเขาเนิบช้า
จั่วชิวฮงชะงัก ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว ข้าเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น น่าเสียดายที่บรรพจารย์อาวุโสหวงหลินได้จัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง พวกเราได้แต่เพียงทำตามคำสั่งก็เท่านั้น ถึงอย่างนั้นในความคิดของข้า ข้าว่าอาเสวี่ยไม่มีทางยอมรับเงื่อนไขเช่นนี้อย่างแน่นอน”
ตอนนั้นเอง บริวารเต๋าได้กลับมาจากห้องโถงก่อนจะพูดขึ้น “ผู้อาวุโส อาจารย์ของข้ายินดีให้พวกท่านทั้งสองเข้าพบขอรับ”
บัดนี้จิตใจของจั่วชิงฮงและจั่วชิวเซิงกลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง พวกเขาติดตามบริวารเต๋าเข้าไปในห้องโถงทันที
ห้องโถงนั้นกว้างใหญ่ทว่าว่างเปล่า
จั่วชิวไท่อู่ในรูปลักษณ์แก่ชรานั่งอยู่เพียงลำพังบนอาสนะซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางห้องโถง ดวงตาของเขาขุ่นมัวคล้ายคนง่วงเหงา หากร่างกายนั้นยังคงเปล่งรัศมีเงียบสงบ
“คารวะบรรพจารย์อาวุโสไท่อู่” จั่วชิงฮงและจั่วชิวเซิงคำนับอย่างนบนอบ ในขณะเดียวกัน บริวารเต๋าเองก็มีไหวพริบมากพอที่จากไปโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครสั่ง ส่งผลให้บัดนี้ทั้งห้องโถงเหลือคนอยู่เพียงสามคนเท่านั้น
จั่วชิวไท่อู่โบกมือ “หากมีอะไรจะพูดก็พูดมาตรง ๆ เถอะ”
จั่วชิวฮงนำแผ่นหยกออกมาและส่งต่อให้อีกฝ่ายทั้งค้อมตัว “ท่านบรรพจารย์อาวุโสไท่อู่ บรรพจารย์อาวุโสหวงหลินสั่งให้ข้ามอบสิ่งนี้ให้แก่ท่าน และยังได้กล่าวเสริมไว้อีกว่าหลังจากที่ท่านอ่านจบแล้ว ท่านจะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแน่นอนขอรับ”
จั่วชิวไท่อู่ขมวดคิ้ว แต่กระนั้นชายชราก็ยอมรับแผ่นหยกนั้นมาแต่โดยดี ชายชรามองสิ่งที่บันทึกไว้บนนั้นอย่างถี่ถ้วน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็วางมันลง และปล่อยให้ความเงียบงันเข้าย่ำกรายไปทั่วบริเวณเนิ่นนาน
บรรยากาศในห้องโถงมีเพียงความเงียบสงัด
จั่วชิงฮงและจั่วชิวเซิงเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ ด้วยไม่กล้ารบกวนอีกฝ่าย
“เพื่อประโยชน์ของตระกูลจั่วชิวอย่างนั้นหรือ?” ทันใดนั้น จั่วชิวไท่อู่พูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง น้ำเสียงนั้นไม่อาจแยกแยะอารมณ์ได้แม้แต่น้อย
ผู้มาเยือนทั้งสอบรีบพยักหน้าในทันที
ตอนนั้นเองที่ใบหน้าเหี่ยวย่นของจั่วชิวไท่อู่ผันแปรเป็นความหยามหยันลึกซึ้ง “ข้าคงต้องกล่าวว่าหวงหลิงนั้นยังเป็นคนเดียวในตระกูลจั่วชิวที่รู้จักข้าดีที่สุด เขารู้ดีว่าข้าสามารถสละทุกสิ่งเพื่อประโยชน์ของตระกูลจั่วชิวได้…”