บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1376 เสาะหากระบี่อมตะ
บทที่ 1376 เสาะหากระบี่อมตะ
ณ ด่านที่เจ็ดสิบสามของแดนเซียนสวรรค์มายา
ร่างของเฉินซีปรากฏขึ้นจากอากาศ แต่คราวนี้ไม่เหมือนเช่นเคย ดวงตาลุ่มลึกและนิ่งสงบ เปี่ยมล้นด้วยแสงแห่งปัญญา พลังกำลังไหลเวียนเงียบ ๆ ทั้งร่างเปล่งรัศมีที่ไม่ธรรมดา ทั้งยังโปร่งแสงและไร้ที่ติ
เมื่อร่างสูงใหญ่เคลื่อนไหว กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมานั้นกว้างใหญ่ราวกับกลิ่นอายของเทพ คล้ายปราชญ์ได้จุติลงมาด้วยความตั้งใจที่ชี้นำแก่สรรพสิ่งในโลกและเผยแพร่เต๋าไปทั่วปฐพี
นี่คือกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ของเซียนปราชญ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสามารถสร้างกฎปราชญ์เต๋าของตัวเองแล้ว หากมองจากระยะไกล ก็เหมือนปราชญ์ในยุคบรรพกาลที่แท้จริงได้เชื่อมโยงกับโลก และอยู่เหนือสรรพสิ่งมากมาย
“เริ่ม” เสียงสูงวัยที่คุ้นเคยดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
สิ้นเสียง ร่างที่สวมชุดสีดำก็ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า ใบหน้าพร่ามัว ร่างกายท่วมท้นไปด้วยพลังงานที่พลุ่งพล่านของปราชญ์เต๋า
ฆ่า!
ทันทีที่ร่างชุดดำนี้ปรากฏขึ้น มันก็พุ่งผ่านอากาศ ก่อนจะฟาดฝ่ามือไปที่คอเฉินซี ฉับไวประหนึ่งสายฟ้าฟาด โหดเหี้ยมและแม่นยำ ทั้งยังมีกลิ่นอายน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
ครืน!
กลิ่นอายอันน่าเกรงขามรอบ ๆ พลันดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง ในขณะที่ผมสีดำหนาทึบปลิวไปด้านหลัง ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายมหาศาล เหมือนปราชญ์จุติลงมาเพื่อควบคุมโลก
ปัง!
เฉินซีฟาดฝ่ามือกลับ ฝ่ามือปะทะฝ่ามือ เฉินซีไม่ขยับเขยื้อนเหมือนหินผาตั้งตระหง่าน แต่ร่างชุดดำกลับถูกซัดกระเด็นถอยกลับ ทำให้เกิดรอยแยกที่แคบและยาวในอากาศ ก่อนที่ร่างชุดดำสั่นสะท้านไปทั้งตัว และในที่สุดก็แตกสลายกลายเป็นฝนแสง
อ่อนแอเกินไป ความแข็งแกร่งของร่างชุดดำในด่านที่เจ็ดสิบสามนั้นอ่อนแอกว่าพี่น้องอวี่เหวินเสียอีก… เฉินซีส่ายหัวอย่างไม่พอใจ
“ผ่านด่านในหนึ่งลมหายใจ”
โอม~
พร้อมกับเสียงนี้ เฉินซีก็เคลื่อนย้ายไปยังด่านต่อไป
ด่านที่เจ็ดสิบสี่
ด่านที่เจ็ดสิบห้า
ด่านที่เจ็ดสิบหก
…
เฉินซีไต่ขึ้นไปทีละระดับอย่างราบรื่น และไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ไม่ตต้องใช้พลังของเต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระที่ยังไม่ได้หลอมรวมจนสมบูรณ์
ไม่ใช่ว่าร่างชุดดำเหล่านั้นอ่อนแอเกินไป แต่เป็นเพราะความแข็งแกร่งที่เฉินซีครอบครองนั้นผิดปกติเกินไป
ในแง่ของการบ่มเพาะปราณ เขาเหนือล้ำกว่าผู้บ่มเพาะในรุ่นเดียวกันเป็นร้อยเท่า
ในแง่ของการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋า เขาได้บรรลุขอบเขตพลังดวงใจขั้นสูงสุดแล้ว และคือขอบเขตทารกดวงใจ
ในแง่ของการควบคุมกฎ เขาได้บรรลุความสมบูรณ์ในตราศักดิ์สิทธิ์มวลสวรรค์ทั้งเจ็ด และหลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุได้เกือบสมบูรณ์
ในแง่ของประสบการณ์การต่อสู้ เฉินซีได้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้อันนองเลือดมานับไม่ถ้วน ได้ต่อสู้เคียงข้างเหล่าราชันเซียน ซึ่งเหนือกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับผู้บ่มเพาะในขอบเขตเดียวกัน
ในแง่ของการบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ เขาได้บรรลุขอบเขตเซียนกระบี่ที่ไร้เทียมทาน!
ภายใต้ผสมผสานของปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ แม้ว่าเฉินซีจะยังไม่ได้หลอมรวมเต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระของตนอย่างเต็มที่ แต่พลังฝีมือที่มีก็มาถึงระดับที่น่าอัศจรรย์นานแล้ว
…
เมื่อเขาเข้าสู่ด่านที่เก้าสิบของแดนเซียนสวรรค์มายา ในที่สุด เฉินซีก็รู้สึกถึงความกดดัน
คู่ต่อสู้คือร่างชุดดำสิบแปดร่างที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปราชญ์ ซึ่งนอกเหนือจากไร้สติปัญญาและเจตจำนงแห่งเต๋ายุทธ์ พวกมันก็คล้ายกับเฉินซีทุกประการ
เฉินซีไม่ได้ตื่นตระหนก ทั้งยังรู้สึกยินดีแทน เขาทะยานเข้าใส่และเปิดฉากต่อสู้กับพวกมัน
เฉินซีวาดกระบี่ตะขอดารา กวาดลำแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมามากมาย ลำแสงแต่ละดวงคือปราณกระบี่คมกริบและเปี่ยมด้วยพลังสังหารอย่างไร้ที่เปรียบ ปราณกระบี่ทุกเล่มมีพลังที่หนาแน่นและพร่างพราวของเต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระอยู่ภายใน
อาจกล่าวได้ว่า การโจมตีนี้สามารถทำให้ภูตผีและทวยเทพยังต้องถอยหนี ทั้งยังน่าเกรงขามและทรงพลังถึงขีดสุด
ครืน!
ปราณกระบี่กวาดออกทั้งแนวนอนและแนวตั้ง กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่เปล่งเสียงกังวานและพลุ่งพล่านราวกับมหาสมุทรแห่งปราณกระบี่ที่โหมกระหน่ำ เข้าห่อหุ้มร่างชุดดำทั้งสิบแปดร่างไว้ภายใน
พรูด! พรูด! พรูด!
ในพริบตา แขนขาที่ถูกฟันขาดก็ปลิ่วว่อน ฝนแสงระเบิดเจิดจ้า และร่างชุดดำทั้งสิบแปดร่างก็ถูกทำลายล้าง!
มันคือพลังอันทรงอานุภาพของปราชญ์เต๋า!
พลังดังกล่าว ไม่เหมือนกับตราศักดิ์สิทธิ์มวลสวรรค์แม้แต่น้อย มันมีอานุภาพทำลายล้างสูงสุด และเพียงพอที่พลิกคว่ำโลกและพังทลายสภาพแวดล้อมได้อย่างง่ายดาย!
แต่เฉินซียังคงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เพราะเขายังไม่ได้หลอมรวมเต๋าแห่งเซียนปราชญ์ของตนเอง มิฉะนั้น พลังที่สำแดงออกไปก็คงจะทรงพลังมากกว่านี้
“ผ่านด่านในสามสิบหกลมหายใจ!”
…
บนแท่นบวงสรวงที่ด้านนอกด่านที่เจ็ดสามสิบของแดนเซียนสวรรค์มายา
“ผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว เฉินซีคงไม่มีโอกาสได้สร้างสถิติใหม่อีกต่อไป”
มีบางคนผ่อนลมหายใจยาวออกมาและรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง แม้เฉินซีจะสร้างปาฏิหาริย์และวีรกรรมมากมาย แต่เขาก็เพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์เท่านั้น
หากเขาสามารถสร้างสถิติใหม่ได้ ทั้งที่ยังไม่สามารถควบคุมพลังของกฎแห่งปราชญ์เต๋า มันก็จะใช่แค่ปาฏิหาริย์เท่านั้น แต่มันจะล้มล้างสามัญสำนึกทั้งปวง! ทั้งยังก้าวข้ามขีดจำกัดที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน!
แต่เห็นได้ชัดว่า มันเป็นไปไม่ได้ มิฉะนั้น เขาอาจจะถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมโดยกฎแห่งเต๋าสวรรค์ และถูกทำลายล้างจนสิ้น
“ใช่แล้ว ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือศิษย์น้องเฉินซีเพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์ หากเขาสามารถเข้าใจกฎแห่งปราชญ์เต๋าได้ก่อนจะมาที่นี่ ข้าก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถสร้างสถิติใหม่ได้อย่างแน่นอน” คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
มีเพียงกัวตงเสิ่งเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว “พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ? ครั้งที่ศิษย์น้องเฉินซีท้าทายด่านที่สามสิบหกถึงด่านที่เจ็ดสิบสอง เขาไม่ได้ประสบความสำเร็จในทันที”
ทุกคนต่างก็ผงะและตกตะลึง เพราะหวนนึกถึงความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของเฉินซี เพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่เดือน ชายหนุ่มได้ท้าทายด่านที่สามสิบหกถึงด่านที่เจ็ดสิบสองของแดนเซียนสวรรค์มายามาสองสามครั้ง และสามารถขึ้นสู่อันดับหนึ่งในศิลาวิถี ทำให้ทั้งสำนักตื่นตกใจ
คราวนี้ เฉินซีได้บรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์ แล้วเขาจะสามารถสร้างความสำเร็จอันยอดเยี่ยมเหมือนในอดีตได้หรือไม่?
ไม่มีใครยืนยัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
เพราะคนคนนั้นคือเฉินซี
อัจฉริยะที่สร้างปาฏิหาริย์อย่างไม่หยุดยั้ง!
ในขณะที่ทุกคนกำลังไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง ร่างของเฉินซีก็ปรากฏอยู่บนแท่นบวงสรวง
คิ้วของเขาขมวดแน่น และกลิ่นอายผันผวนเล็กน้อย แต่ไร้แววเศร้าหมอง ร่างสูงใหญ่ไม่คิดเสียเวลาแม้เพียงนิด ก่อนจะออกจากแดนเซียนสวรรค์มายาไปทันที
“ผ่านไปนานแค่ไหน?” หลังจากที่เฉินซีจากไป ก็มีคนถามคำถามนี้ขึ้น
“สามเค่อกับหนึ่งก้านธูป! เขาช้ากว่ากู่เยวหรูไปเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น!” มีคนอุทานด้วยความตกใจ
ฟู่!
สิ้นคำ คลื่นเสียงผ่อนลมหายใจก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
แม้ความสำเร็จนี้จะไม่ได้สร้างสถิติใหม่ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาประหลาดใจ เพราะเฉินซีเพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์ และยังไม่เข้าใจกฎปราชญ์เต๋าด้วยซ้ำ แต่กลับสามารถผ่านสามสิบหกด่านสุดท้ายด้วยเวลาเท่านี้ หากบ่มเพาะมากกว่านี้ ก็คงสามารถสร้างสถิติใหม่ได้อย่างง่ายดายแน่
“นี่แหละศิษย์น้องเฉินซี เขาแตกต่างจากคนอื่น ๆ เสมอ” กัวตงเสิ่งพึมพำ แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
…
ความแข็งแกร่งของข้ายังไม่เพียงพอ หากข้าสามารถเข้าใจกฎปราชญ์เต๋าได้อย่างสมบูรณ์ ข้าคงไม่รู้สึกเสียใจที่ใช้เวลาท้าทายด่านที่หนึ่งร้อยแปดถึงสองเค่อ
หลังจากที่กลับไปที่ห้องกระบี่ เฉินซีก็เริ่มวิเคราะห์ตัวเอง
และพบว่า ถ้าต้องการผ่านด่านที่หนึ่งร้อยแปดให้เร็วกว่านี้ เขาจำเป็นต้องทำความเข้าใจกฎของปราชญ์เต๋าโดยสมบูรณ์เสียก่อน
แน่นอนว่า ความหมายของคำว่าเร็วนั้น คือการทำลายล้างคู่ต่อสู้ในชั่วพริบตา เพราะถ้าเพียงเพื่อร่นระยะเวลา ยังสามารถใช้วิธีอื่นได้
ตัวอย่างเช่น การปรับปรุงระดับพลังยุทธ์ หลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุ หรือเปลี่ยนเป็นกระบี่เซียนเล่มอื่นที่ทรงพลังยิ่งกว่ากระบี่ตะขอดารา
โดยเฉพาะกระบี่ตะขอดารา มันเป็นเรื่องยากที่จะดึงศักยภาพของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ เพราะถึงแม้กระบี่นี้จะได้รับสืบทอดมาจากหัวเจี้ยนคง แต่มันก็เป็นเพียงสมบัติฐ์อมตะระดับจักรวาล
หลังจากที่การฝึกฝนบรรลุถึงขอบเขตเซียนปราชญ์แล้ว มีเพียงสมบัติอมตะระดับวีรบุรุษเท่านั้นที่สามารถทัดเทียมกับการบ่มเพาะของเขาได้!
น่าเสียดายที่ยันต์ศัสตรายังอยู่ในมือของหัวเจี้ยนคง มิฉะนั้น การใช้วัตถุดิบเซียนต่าง ๆ ที่ข้าได้รวบรวมมาถึงตอนนี้ ก็เพียงพอที่ปรับปรุงพลังของมันได้อย่างก้าวกระโดด… เฉินซีกัดริมฝีปากและตระหนักดีว่า
สิ่งที่หัวเจี้ยนคงทำก็เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ท่านเจ้าสำนักกังวลว่าตัวตนในฐานะศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์จะถูกเปิดเผย และก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นในภายหลัง
ตอนนี้ ข้าคงต้องเสาะหากระบี่อมตะที่เหมาะสมอีกสักเล่ม…
เฉินซีครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่จะหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ตัดสินใจออกจากห้องกระบี่ทันที
…
“ศิษย์พี่เฉินซี ท่านตั้งใจที่จะแลกเปลี่ยนแต้มดาราของท่านเป็นกระบี่อมตะระดับวีรบุรุษในโถงแต้มดาราหรือ?” ชิงเยี่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้ว แต่ข้าไม่รู้กฎของที่นั่น หวังว่าศิษย์น้องชิงเยี่ยจะสามารถชี้แนะข้าได้” เฉินซีพยักหน้า เขาไปหาชิงเยี่ย เพื่อใช้แต้มดาราของเขาแลกกับกระบี่อมตะที่เหมาะสม
เพราะแดนโบราณจักรพรรดิเต๋าจะเปิดในอีกสองวัน เฉินซีต้องเตรียมตัวอย่างดีที่สุด
เฉินซีมีสมบัติล้ำค่ามากมายที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมดาเช่น น้ำเต้าฟ้าดิน ผนึกเทวศสวรรค์ ตะเกียงวังไหมเขียว และสมบัติอื่น ๆ อีกมากมาย แต่พวกมันไม่ใช่กระบี่อมตะ และไม่สามารถสำแดงพลังขอบเขตเซียนกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์
“ไม่ถึงกับชี้แนะหรอก ข้ามีความสุขที่ได้ให้รับใช้ศิษย์พี่เฉินซี” ชิงเยี่ยยิ้มอย่างเขินอายก่อนจะพาเฉินซีตรงไปยังโถงแต้มดารา
เฉินซีและชิงเยี่ยมาถึงห้องโถงที่สวยงาม ห้องโถงนี้ครอบครองพื้นที่ขนาดมโหฬาร และมีชั้นผลึกแก้วเรียงรายอยู่ข้างใน ซึ่งจัดแสดงสมบัติล้ำค่ามากมาย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเฉินซีที่มาที่นี่ หลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งผู้ชนะเลิศในการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก
ในวันนั้น หวังต้าวหลูเคยพาเขามาที่นี่เพื่อรับชิ้นส่วนแก่นแท้โกลาหลซึ่งอยู่บนชั้นสี่ของห้องโถง
แต่วันนั้นทุกอย่างเร่งรีบมาก ได้แต่ดูทุกอย่างผ่าน ๆ ทำให้ไม่คุ้นเคยกับกฎของโถงแต้มดารา เขาจึงต้องการผู้ที่คอยชี้แนะอย่างชิงเยี่ย
“ศิษย์พี่เฉินซี สมบัติอมตะระดับวีรบุรุษอยู่ที่ชั้นสาม โปรดตามข้ามา” ชิงเยี่ยคุ้นเคยกับสถานที่นี้ เขาเดินนำเฉินซีไปที่ส่วนลึกของห้องโถง
ตลอดทาง มีศิษย์หลายคนกำลังเลือกและแลกสมบัติ ใบหน้าของพวกเขาพลันเปล่งประกายเมื่อเห็นเฉินซี ก่อนจะเข้ามาทักทายอย่างต่อเนื่องด้วยท่าทางกระตือรือร้น
เฉินซีไม่รู้จักพวกเขา จึงได้แต่ยิ้มและพยักหน้าตอบ
ถึงกระนั้น มันก็ทำให้ศิษย์เหล่านี้มีความสุขจนล้นอก พวกเขายกย่องเฉินซียิ่งขึ้น ด้วยนิสัยถ่อมตัวและบุคลิกที่อ่อนโยน ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งใด ๆ พวกเขารู้สึกว่านี่คือกิริยาท่าทางที่ผู้เยี่ยมยุทธ์พึงมี…
เมื่อมาถึงชั้นสามของห้องโถง เฉินซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จนถึงตอนนี้ เขายังไม่คุ้นชินกับบรรยากาศของการถูกยกย่องสรรเสริญ และมันทำเหมือนเขาเป็นคนพิเศษเช่นนี้เลย…