บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1382 ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด
บทที่ 1382 ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด
ณ พื้นที่อันมืดมิด
เฉินซีนั่งขัดสมาธิ ในขณะที่หว่างคิ้วทอประกายแสงแห่งปัญญา
ในใจกำลังอนุมานถึงกลิ่นอายของเต๋าแห่งกระบี่ของชายชราอย่างเต็มที่
ในแง่ของความสามารถของการอนุมาน เฉินซีผู้ซึ่งเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งยันต์อักขระได้ก้าวข้ามขอบเขตของปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระอย่างแน่นอน สิ่งนี้ส่งผลให้การทำให้ความเข้าใจและการอนุมานเหนือล้ำกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ไปมาก
แม้ว่าเขาจะยังไม่บรรลุถึงจุดที่สามารถ ‘มองเห็นแก่นแท้ของทุกสิ่งตามใจนึก’ แต่เขาก็สามารถ ‘รับรู้ถึงทั้งหมดผ่านการสังเกตส่วนหนึ่งและค้นพบความลับมากมายที่เป็นดั่งเม็ดทราย’
เช่นเดียวกับช่วงเวลานี้ พร้อมกับการทำความเข้าใจอย่างไม่หยุดยั้ง รูปร่างของปราณกระบี่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในใจ แม้ว่ามันจะพร่ามัวมาก แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มสามารถเข้าใจร่องรอยของมันได้บ้างแล้ว
ร่องรอยของปราณกระบี่นี้คือ เต๋าแห่งกระบี่ที่ชายชราในชุดผ้าฝ้ายได้สำแดงพลังออกมา แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ร่องรอย แต่เฉินซีก็มั่นใจว่าถ้าทำความเข้าใจกับปราณกระบี่นี้อย่างไม่หยุดยั้ง เขาจะมีโอกาสมองเห็นความลึกล้ำที่แท้จริงของมันอย่างแน่นอน!
“การทดสอบครั้งที่สาม เริ่มได้! ” ในพื้นที่อันมืดมิด เสียงเย็นยะเยือกดังก้องอีกครั้ง
ฟิ่ว!
เฉินซีกลับมามีสติสัมปชัญญะอย่างสมบูรณ์ และปรากฏตัวขึ้นบนเวทีนั่น
สีหน้าของเขาสงบ ในขณะที่พลังในร่างกำลังโคจรจนถึงขีดสุด และจิตใจก็ปลอดโปร่งอย่างสมบูรณ์
หวาดกลัว? ชีวิตและความตาย? ทดสอบ? การเป็นที่ยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋า? ชายหนุ่มละทิ้งพวกมันทั้งหมด และมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในใจ การเอาชนะชายชรา!
ชายชราที่ยืนอยู่ตรงข้ามยังคงมีสีหน้าไม่แยแสเช่นเคย และเมื่อเห็นเฉินซีปรากฏตัว ก็ชี้กระบี่เซียนกลืนหิมะไปทางเฉินซีจากระยะไกล ด้วยการเคลื่อนไหวที่เรียบง่ายเช่นนี้ แต่ปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมา
ฟิ่ว!
มิติถูกฟันเป็นเสี่ยง ๆ มหาเต๋าแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปราณกระบี่นั้นสงบ แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายอันน่าเกรงขามที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
ในขณะนี้ แม้แต่เวลาก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง
ปราณกระบี่สะท้อนอยู่ในม่านตาสีดำของเฉินซี เส้นโค้งที่แหลมคมราวกับสายฟ้าที่วูบไหวปรากฏขึ้นภายในจิตใจ!
ปัง!
ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสแล่นไปทั่วร่าง เฉินซีถูก ‘ฆ่า’ อีกครั้ง และได้ลิ้มรสความสยดสยองของชีวิตและความตายอีกครั้งในพริบตา
หลังจากนั้นเขาก็กลับมาสู่พื้นที่อันมืดมิดอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ครวญครางด้วยความเจ็บปวด ไม่แม้แต่จะโกรธ หงุดหงิด หรือไม่พอใจ
ทันทีที่ล้มเหลว ชายหนุ่มก็นั่งขัดสมาธิและลืมเลือนความเจ็บปวดแสนสาหัสไปสิ้น ทั้งยังเพ่งสมาธิไปที่จิตใจ เพื่อจับร่องรอยของปราณกระบี่ที่สะท้อนอยู่ในจิตใจทันที
คราวนี้ เฉินซีไม่เพียงจับร่องรอยปราณกระบี่นั้นได้ แต่ยังสามารถแยกแยะวิถีของปราณกระบี่ กลิ่นอาย และแม้แต่กระแสพลังงานของเจตจำนงอันเป็นเอกลักษณ์ที่มันครอบครองได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น!
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น
การโจมตีด้วยกระบี่ครั้งแรก ทำให้เขาเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าคู่ต่อสู้น่ากลัวเพียงใด
การโจมตีด้วยกระบี่ครั้งที่สอง ทำให้เขารู้แจ้งทันที ดังนั้นจึงเริ่มอนุมานกลิ่นอายเต๋าแห่งกระบี่ของคู่ต่อสู้ และค้นพบรูปแบบที่คลุมเครือในปราณกระบี่นั้น
การโจมตีด้วยกระบี่ครั้งที่สามนี้ ทำให้เขาตระหนักได้ถึงความล้ำลึกของปราณกระบี่นั้น แม้ว่ามันจะยังไม่ชัดเจน แต่การแยกแยะได้ถึงระดับนี้ ก็เพียงพอที่จะจุดประกายในใจของเฉินซี เขาจึงไม่รู้สึกขุ่นเคืองหรือไม่พอใจแบบครั้งก่อน ๆ
ตอนนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจของเฉินซีสั่นคลอน ยังคงเป็นความหวาดกลัวที่ประสบในช่วงเวลาเป็นตาย ความแตกต่างของชีวิตและความตายเกิดขึ้นในชั่วพริบตา และส่งผลกระทบต่อหัวใจอย่างแท้จริง
ท้ายที่สุด มันคือชีวิตและความตาย!
เมื่อใดที่เขาไม่หวาดกลัวต่อชีวิตและความตาย บางทีอาจเป็นช่วงเวลาที่เขาจะเริ่มโต้กลับ
…
“การทดสอบครั้งที่สี่ เริ่มได้”
“การทดสอบครั้งที่ห้า เริ่มได้”
“ครั้งที่สิบ …”
“ครั้งที่สามสิบ…”
“ครั้งที่ห้าสิบ …”
เฉินซีถูก ‘ฆ่า’ อย่างไร้ปรานีครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังได้ลิ้มรสความเป็นและความตายนับครั้งไม่ถ้วน
หากเป็นคนธรรมดาที่เผชิญกับสิ่งนี้ คนผู้นั้นอาจถูกทรมานจากความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นระหว่างความเป็นและความตายจนถึงขั้นจิตใจแตกสลาย แต่เฉินซีมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว ชายหนุ่มมุ่งความสนใจไปที่ในการแยกแยะเต๋าแห่งกระบี่ของชายชรา ดังนั้นความหวาดกลัวในหัวใจ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจมากนัก
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ความรู้สึกนั้นยังคงเหมือนก้างปลาที่ติดอยู่ในลำคอ ยากที่จะกลืนลง
เวลานี้เต๋าแห่งกระบี่ได้บรรลุขอบเขตเซียนกระบี่ขั้นสมบูรณ์แล้ว…
ปรากฏว่าใจกระบี่นั่นหมายถึงการกระทำอย่างอิสระไปตามหัวใจ เมื่อใจไม่ถูกผูกมัดก็จะปราศจากพันธนาการ ดังนั้นมีแต่ต้องปราศจากพันธนาการจึงจะสามารถผ่านความเป็นความตาย เมื่อนั้นจึงจะควบคุมกฎได้… นี่คือความล้ำลึกของขอบเขตเซียนกระบี่ขั้นสมบูรณ์!
ทุกครั้งที่เขาประสบกับ ‘ความเป็นและความตาย’ เฉินซีได้รับความเข้าใจต่าง ๆ มากมาย แม้ว่ามันจะเล็กน้อย แต่เมื่อความเข้าใจเล็ก ๆ เหล่านี้ถูกรวบรวมเข้าด้วยกัน มันก็เพียงพอที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
บัดนี้ เฉินซีกำลังรอ รอการมาถึงของการเปลี่ยนแปลงนี้
…
ภายนอกแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า
หัวเจี้ยนคงกำลังยืนอยู่อย่างภาคภูมิอยู่บนยอดของภูเขาโบราณกาล สายตาลุ่มลึกและน่าสะพรึง ซึ่งดูเหมือนสามารถมองผ่านทุกสิ่งภายในแดนโบราณจักรพรรดิเต๋าได้
“พวกเขาเข้าไปในสุสานแห่งราชันนิรันดร์แล้วหรือ?” ร่างสองร่างฉีกผ่านท้องฟ้าและมาถึงที่นี่ ทั้งสองคือหวังต้าวหลูและจั่วชิวไท่อู่
“ใช่แล้ว” หัวเจี้ยนคงพยักหน้า
“โอ้ เด็กน้อยพวกนั้นเลือกสุสานใดหรือ?” หวังต้าวหลูถามอย่างสงสัย หลังจากที่ฉือฉางเซิงเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ เขาจึงทำหน้าที่แทนอาจารย์ใหญ่ฝ่ายใน
แต่เห็นได้ชัดว่าความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายใน แต่อยู่ที่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋า
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น สายตาของผู้อาวุโสหลายคนจับจ้องไปที่สถานที่แห่งนี้เงียบ ๆ แต่ไม่ได้ปรากฏตัวเหมือนหวังต้าวหลูและจั่วชิวไท่อู่เท่านั้น
เพราะ มรดกของจักรพรรดิเต๋าถูกซ่อนอยู่ภายในแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า และจักรพรรดิเต๋าเป็นผู้ก่อตั้งสำนักทั้งหมด ดังนั้นมรดกของเขาจึงมีความหมายที่ไม่ธรรมดาต่อทั้งสำนัก
“หลิงชิงอู๋เลือกมหาเต๋าพฤกษา”
“เนี่ยซิงเจินเลือกมหาเต๋าวายุ”
“กู่เยวหรูเลือกมหาเต๋าวารี”
นอกจากเฉินซีและเยี่ยถังแล้ว หัวเจี้ยนคงก็อธิบายสถานการณ์ของศิษย์คนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว
“ไม่เลว เด็กพวกนี้เลือกได้ฉลาดมาก ในบรรดาสุสานทั้งสามพันแห่ง สุสานที่เป็นตัวแทนของเบญจธาตุ หยิน หยาง วายุ และอัสนี สามารถผ่านได้ง่ายที่สุด” หวังต้าวหลูพยักหน้าด้วยความชื่นชม
จั่วชิวไท่อู่ที่เงียบมาตลอดกับเอ่ยถามขึ้น “แล้วเฉินซีล่ะ?”
ทันทีที่สิ้นคำกล่าว หัวเจี้ยนคงซึ่งมีสีหน้าเย็นชาและไม่แยแสก็หันกลับมามองจั่วชิวไท่อู่
ในขณะที่ ความอยากรู้อยากเห็นปรากฏบนใบหน้าของหวังต้าวหลู
สีหน้าของจั่วชิวไท่อู่ไม่เปลี่ยนแปลง และปราศจากอารมณ์ใด ๆ อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักดีอยู่ในใจว่า เหตุผลที่หัวเจี้ยนคงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ก็เพราะว่าทุกคนในภพเซียนต่างรู้กันดีว่าจั่วชิวคงได้เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเฉินซี
และการเสียชีวิตของจั่วชิวหลิงหงก็มีความเกี่ยวข้องกับเฉินซีเช่นกัน ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ทุกคนในภพเซียนได้ถือว่าเฉินซีและตระกูลจั่วชิวเป็นปรปักษ์กันโดยสมบูรณ์
ตอนนี้ในฐานะคนของตระกูลจั่วชิว เขากลับเปิดปากถามเกี่ยวกับเฉินซี ดังนั้นมันจึงกระตุ้นความคิดอื่น ๆ ในใจของผู้คนโดยธรรมชาติ
“เฉินซีเข้าไปในสุสานของจอมกระบี่” หัวเจี้ยนคงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบจั่วชิวไท่อู่
“อะไรนะ?”
“จอมกระบี่?”
“ไยเด็กคนนี้ถึงโง่ได้เพียงนี้!? นั่นเป็นสุสานที่อันตรายที่สุดในบรรดาสุสานทั้งสามพันแห่ง! ไม่เคยมีใครผ่านมันไปได้แม้แต่คนเดียว!”
“เดิมทีข้าคิดว่าเด็กคนนี้อาจจะได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋า แต่ดูเหมือนว่า… สถานการณ์จะไม่เป็นดั่งที่คิด”
“อย่ามองโลกในแง่ร้ายมากนัก อย่าลืมว่าเจ้าหนูนั้นได้สร้างปาฏิหาริย์มามากมาย ข้ากลับรู้สึกคาดหวังเล็กน้อย สงสัยนักว่าเขาจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้อีกครั้งหรือไม่”
ทันทีที่สิ้นคำ ไม่ใช่แค่หวังต้าวหลูและจั่วชิวไท่อู่ที่เริ่มสนทนาถึงเรื่องนี้ ยังมีการสนทนาผ่านกระแสปราณมากมายในบริเวณโดยรอบ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นผู้อาวุโสในสำนักที่ให้ความสนใจต่อแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า
“จอมกระบี่… นี่คงยากแล้ว” หวังต้าวหลูขมวดคิ้วขณะจ้องไปที่หัวเจี้ยนคงอย่างไม่รู้ตัว เนื่องจากหวังต้าวหลูทราบอย่างชัดเจนว่า เมื่อครั้งที่หัวเจี้ยนคงเข้าสู่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าเมื่อหลายปีก่อน หัวเจี้ยนคงได้เลือกจอมกระบี่เป็นคู่ต่อสู้ และล้มเหลวในท้ายที่สุด
“มันไม่ใช่แค่ยากเท่านั้น เขาเป็นราชันเซียนคนเดียวในบรรดาสุสานทั้งสามพันแห่งที่ได้บรรลุขอบเขตราชากระบี่ เมื่อหลายปีก่อน ข้าต่อสู้กับเขาขณะที่อยู่ขอบเขตยอดปราชญ์ในเต๋าแห่งกระบี่ และข้าก็พ่ายแพ้ ทำให้ข้าสูญเสียโอกาสที่จะได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋า”
หัวเจี้ยนคงกล่าวอย่างสงบ และไม่สามารถแยกแยะอารมณ์ที่ผันผวนได้ “แต่ก็ต้องขอบคุณประสบการณ์นั่น ทำให้ข้าสามารถบรรลุขอบเขตเซียนกระบี่ได้ในรวดเดียว หลังจากที่ข้ากลับมาจากแดนจักรพรรดิเต๋าโบราณ”
หวังต้าวหลูและจั่วชิวไท่อู่ต่างก็ผงะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมรับง่าย ๆ คนผู้นี้หลงใหลในกระบี่ แต่เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมกระบี่ แล้วนับประสาอะไรกับเฉินซี?
“เยี่ยถังก็ไม่เลวเช่นกัน เขาเลือกสุสานของจอมดาบ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ หลังจากนี้ บางทีเต๋าแห่งดาบของเขาอาจได้รับการพัฒนาอีกครั้ง” จู่ ๆ หัวเจี้ยนคงก็กล่าวขึ้น และทำให้เหล่าผู้อาวุโสที่ให้ความสนใจสถานที่นี้ต่างอุทานออกมา
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการต่อสู้ของเยี่ยถังกับจอมดาบ เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้อาวุโสในสำนักต่างให้ความสนใจต่อการแสดงฝีมือของเฉินซีมากกว่า
“เขาล้มเหลวไปกี่ครั้งแล้ว?” หวังต้าวหลูถามอย่างอดไม่ได้
“372 ครั้ง” หัวเจี้ยนคงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“มากกว่าสามครั้ง ดี ดี เขายังมีโอกาส…” หวังต้าวหลูพึมพำ
“หลิงชิงอู๋ได้ผ่านการทดสอบของสุสานแห่งราชันนิรันดร์แล้ว และนางก็ได้เข้าไปในบริเวณที่เก็บโลงศพของเซียนยมโลก” หัวเจี้ยนคงทำให้ทุกคนตกใจอีกครั้ง
“สาวน้อยคนนั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ นักพรตเต๋าเจี้ยงได้ศิษย์ที่ดี”
“ข้าได้ยินมาว่าสาวน้อยได้บรรลุขอบเขตเซียนปราชญ์แล้ว ข้าสงสัยว่า หากเปรียบเทียบกับเฉินซี ใครจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่ากัน?
“บางทีนางอาจจะได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋าในครั้งนี้”
“มันยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวถึงเรื่องนั้น โลงศพของเซียนยมโลกนั้นถูกปกคลุมอย่างหนาแน่นด้วยข้อจำกัดสูงสุดมากมาย และว่ากันว่าสามารถฝังโลกได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่นางจะผ่านการทดสอบด้วยตนเอง”
“ใช่แล้ว ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี่ท่านเจ้าสำนักได้ผ่านการทดสอบของเซียนยมโลก เขาต้องร่วมมือกับวิหคอมตะและมังกรฟ้า เพื่อที่จะไปถึงสระโลหิตชาติก่อน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านการทดสอบโดยอาศัยความแข็งแกร่งเพียงลำพัง”
หัวเจี้ยนคงยังคงไม่แยแสกับเรื่องทั้งหมดนี้ จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับแดนจักรพรรดิเต๋าโบราณ และให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของศิษย์ทุกคนอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะเฉินซี เขาให้ความสนใจกับเฉินซีอยู่ตลอดเวลา
และคาดหวัง ว่าเฉินซีจะสามารถทำสิ่งที่ตนล้มเหลวเมื่อหลายปีก่อนได้