บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1393 ทะลวงผ่านข้อจำกัดสุดท้าย
บทที่ 1393 ทะลวงผ่านข้อจำกัดสุดท้าย
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ เริ่มทำลายข้อจำกัดทั้งหนึ่งร้อยประการสุดท้าย หัวเจี้ยนคงก็กำลังให้ความสนใจกับฉากนี้จากด้านนอกของแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า
ถึงขั้นดูเคร่งขรึมและจริงจังขึ้นมาก
เพราะเขาตระหนักดีเช่นกันว่าข้อจำกัดทั้งหนึ่งร้อยประการสุดท้ายนั้นน่ากลัวเพียงใด สิ่งเหล่านี้เป็นข้อจำกัดจากยันต์เทวะที่จักรพรรดิเต๋าได้สร้างกับมือของตัวเอง ซึ่งย้อนกลับไปในอดีต เจ้าสำนักก็เคยติดอยู่ที่นั่นเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน และเกือบจะไม่สามารถผ่านเข้าไปได้
ไม่เพียงแค่นั้น ทุกครั้งที่เปิดแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า ศิษย์แทบทั้งหมดที่เข้าสู่ทางเดินดาวหางมักจะพ่ายแพ้ให้กับข้อจำกัดทั้งหนึ่งร้อยประการสุดท้ายนี้
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะข้อจำกัดเหล่านั้นยากเกินไปจริง ๆ พวกมันเต็มไปด้วยพลังของทวยเทพ ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเซียนปราชญ์ แม้แต่ราชันเซียนก็ยังไม่สามารถใช้พลังเพื่อทำลายข้อจำกัดเหล่านี้ได้ ทำได้เพียงค้นหาแกนหลักของข้อจำกัดและใช้ความสามารถในการอนุมานเพื่อจัดการกับมัน
อาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสุสานแห่งราชันนิรันดร์หรือสระโลหิตอดีตชาติ ทั้งสองแห่งก็อันตรายยิ่งกว่าทางเดินดาวหาง แต่ในแง่ของความยาก ทางเดินดาวหางนั้นยากที่สุด!
เพราะมันไม่เพียงแต่ต้องการความร่วมมือระหว่างศิษย์เท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยข้อจำกัดทั้งสามพันประการที่เหมือนกับด่านอุปสรรคสามพันด่าน หากใครไม่สามารถพิชิตพวกมันได้ คนผู้นั้นก็จะหมดความหวังที่จะได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋าทันที
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หัวเจี้ยนคงจึงอดไม่ได้ที่จะกังวลว่าเฉินซีและคนอื่น ๆ จะต้องพ่ายแพ้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ มันอาจส่งผลเสียต่อสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าทั้งหมด!
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เป็นเพราะมรดกของจักรพรรดิเต๋านั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และมันเกี่ยวข้องกับทุกแง่มุมของสำนัก หากไม่มีศิษย์คนใดที่สามารถสืบทอดมรดกของจักรพรรดิเต๋าได้ในครั้งนี้ ครั้งต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปอีกกี่ปี
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ซากโบราณสถานแรกกำเนิดได้ถูกทำลายไปแล้ว และกลียุคของทั้งสามภพก็ใกล้ที่จะปะทุขึ้นในไม่ช้า อย่างน้อยอาจหนึ่งร้อยปีนับจากนี้ หรือมากที่สุดก็ภายในหนึ่งพันปี ซึ่ง ณ เวลานั้น มรดกของจักรพรรดิเต๋าจะยังคงอยู่หรือไม่?
“โชคชะตาไม่อาจกำหนดได้ ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามวาสนา” คำพูดดังกล่าวแวบเข้ามาในจิตใจของหัวเจี้ยนคงโดยไม่ได้ตั้งใจ
นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์ได้กำชับไว้ ก่อนที่เขาจะมาเปิดแดนโบราณจักรพรรดิเต๋าในครั้งนี้ ตอนนี้เมื่อลองทบทวนอย่างรอบคอบ หัวเจี้ยนคงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ใช่แล้ว ไม่ว่าข้าจะกังวลเพียงใด ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาและวาสนา…
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา หัวเจี้ยนคงก็ไม่อาจคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อีกต่อไป เพราะจิตใจของเขาถูกดึงดูดด้วยฉากที่เกิดขึ้นบนทางเดินดาวหาง
เมื่อเวลาผ่านไป นัยน์ตาของเขาก็ค่อย ๆ หรี่เล็กลง ซึ่งใคร ๆ ก็สังเกตเห็นว่าความประหลาดใจค่อย ๆ ปรากฏอยู่ที่หน้าผาก และมันก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“หรือว่าเฉินซีและคนอื่น ๆ จะเผชิญกับอันตรายบางอย่าง?”
หวังต้าวหลูและจั่วชิวไท่อู่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในท่าทางของหัวเจี้ยนคง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจ ดังนั้นจึงรีบซักถามทันที
เนื่องจากพวกเขาก็ทราบดีว่าเมื่อหลายปีก่อน แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังติดอยู่ในนั้นเป็นเวลาเจ็ดวัน และสิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ข้อจำกัดทั้งหนึ่งร้อยประการสุดท้ายนั้นน่ากลัวเพียงใด
หากเฉินซีและคนอื่น ๆ ประสบกับคราวเคราะห์ที่นั่น ก็คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริง ๆ
หัวเจี้ยนคงนิ่งเงียบ และจิตใจของเขากำลังจดจ่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นบนทางเดินดาวหาง
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว ทำให้หวังต้าวหลูและคนอื่น ๆ รู้สึกกังวล
กาลเวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไป จนล่วงเลยมาห้าวันแล้ว ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ หัวเจี้ยนคงไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว และไม่มีทางที่จะสังเกตเห็นเบาะแสใด ๆ เพียงแค่สังเกตจากสีหน้าเฉยชาเพียงอย่างเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มเงียบลง
หรือว่าเฉินซีและคนอื่น ๆ จะติดอยู่ที่นั่น?
หากพวกเขาล้มเหลว การเปิดแดนโบราณจักรพรรดิเต๋าในครั้งนี้ ก็จะสูญเปล่า…
หวังต้าวหลูและจั่วชิวไท่อู่ต่างมีความคิดนี้แวบขึ้นมาในใจของพวกเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคน แม้แต่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่ให้ความสนใจในสถานที่แห่งนี้ก็พูดคุยกัน และน้ำเสียงของพวกเขาก็มีความกังวลเล็กน้อย
“มันอาจจะจริง…” ในวันนี้ หัวเจี้ยนคงซึ่งเงียบอยู่ตลอดเวลาก็พึมพำ และมันดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ ทันที
“เป็นอย่างไรบ้าง? พวกเขาทำสำเร็จหรือไม่?” หวังต้าวหลูเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ
หัวเจี้ยนคงตกตะลึง และมองหวังต้าวหลูด้วยสายตาแปลก ๆ
ท่าทางเช่นนี้ ทำให้หัวใจของหวังต้าวหลูบีบรัดและรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ก่อนที่จะกล่าวว่า “หรือว่า… พวกเขาล้มเหลว?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หัวเจี้ยนคงก็เข้าใจทันทีว่าหวังต้าวหลูเข้าใจผิด และระบายยิ้มที่มุมปากอย่างอดไม่ได้ “ถ้าพวกเขาล้มเหลว ข้าคงไม่แปลกใจขนาดนี้”
หวังต้าวหลูและคนอื่น ๆ ต่างสับสน “หมายความว่าอย่างไร?”
“ไม่จำเป็นต้องเดา เหลืออีกเพียงสามข้อจำกัดเท่านั้น พวกเขาก็จะสามารถผ่านทางเดินดาวหางได้อย่างราบรื่น” หัวเจี้ยนคงกล่าวอย่างสบาย ๆ “หากไม่มีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น พวกเขาจะสามารถออกจาก ทางเดินดาวหางได้ภายในเที่ยงวันนี้ และไปถึงโลงศพเซียนยมโลก”
ทันทีที่สิ้นคำ ทุกคนต่างตกตะลึง
ไม่ว่าจะเป็นหวังต้าวหลู จั่วชิวไท่อู่หรือผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่ให้ความสนใจกับสถานการณ์ที่นี่ พวกเขาต่างกังวลว่ากลุ่มของเฉินซีจะถูกขังอยู่ในทางเดินดาวหางไปอีกนานแค่ไหน แต่ไม่คิดว่ากลุ่มของเฉินซีจะผ่านทางเดินดาวหางได้อย่างราบรื่น!
ทำให้พวกเขาตกตะลึง และต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะฟื้นคืนสติ
“เจ้าหมายความว่าพวกเขาสามารถทำลายข้อจำกัดทั้งหนึ่งร้อยประการสุดท้ายได้อย่างราบรื่น ภายในเวลาแค่ห้าวัน?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามด้วยความตกใจ
“เวลาเพียงห้าวัน พวกเขาทำลายสถิติของท่านเจ้าสำนักแล้ว!”
“วิเศษมาก เด็กน้อยเฉินซีคนนี้ ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ”
เสียงอุทานแห่งความประหลาดใจดังขึ้น แต่ส่วนใหญ่กลับเต็มไปด้วยความสับสน
หัวเจี้ยนคงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องบอกเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า
ปรากฏว่าหลังจากสังเกตเฉินซีและคนอื่น ๆ ตลอดห้าวันนี้ เมื่อพวกเขามาถึงข้อจำกัดหนึ่งร้อยประการสุดท้าย แม้จะใช้เวลาราวหนึ่งก้านธูปเพื่อทำลายข้อจำกัด แต่ก็ไม่พบกับอุปสรรคใด ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น การรุกคืบไปข้างหน้าด้วยอัตราความเร็วดังกล่าว ทำให้หัวเจี้ยนคงตกตะลึงอย่างมาก และหยุดครุ่นคิดเรื่องนี้ไม่ได้
จนถึงตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าไม่ใช่ข้อจำกัดทั้งร้อยประการสุดท้ายที่อ่อนแอลง แต่เป็นเพราะความสำเร็จของเฉินซีในเต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นน่ากลัวเกินไป! และมันน่าเกรงขามเกินที่จะจินตนาการ!
“ดูเหมือนว่าเขาจะมีความเข้าใจในยันต์เทวะอย่างถ่องแท้ ดังนั้นจึงมีท่าทางที่สงบและสุขุมเช่นนี้ ซึ่งตั้งแต่ที่เขาเริ่มทำลายข้อจำกัด เขาก็ไม่เคยหยุดที่จะไตร่ตรองเลยสักครั้ง”
ทันใดนั้น หัวเจี้ยนคงก็ตระหนักถึงบางสิ่ง “เฉินซีอาจขัดเกลายันต์ศัสตราด้วยตัวเอง!”
ปัจจุบัน ยันต์ศัสตรานั้นอยู่ในความดูแลของหัวเจี้ยนคง และด้วยความเข้าใจในเต๋าแห่งกระบี่ของเขา จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสังเกตเห็นความลึกซึ้งภายในยันต์ศัสตรา ไม่เพียงแค่ยันต์เทวะของธาตุทั้งห้าที่อยู่ภายในยันต์ศัสตรา แม้แต่ยันต์เทวะที่บรรจุความล้ำลึกของมหาเต๋าแห่งวายุ มหาเต๋าแห่งอัสนี มหาเต๋าแห่งหยิน และมหาเต๋าแห่งหยางก็อยู่ภายในนั้น
เดิมทีเขาคิดว่ายันต์ศัสตรานี้ได้รับการขัดเกลาโดยนิกายสำหรับเฉินซีโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดของเขาจะผิดถนัด
“วิเศษ! วิเศษมาก!!” หลังจากทราบเรื่องทั้งหมดนี้จากหัวเจี้ยนคง ผู้อาวุโสทุกคนก็กล่าวสรรเสริญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม หัวเจี้ยนคงไม่กล้าบอกการเดาของตน และยันต์ศัสตรา เพราะนี่คือสิ่งที่อาจารย์ของเขาได้กำชับให้เก็บเป็นความลับ และมันก็เกี่ยวข้องกับสุดยอดนิกาย
แม้จะเดาตัวตนของนิกายนี้ได้สักพักแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้ากล่าวถึงเรื่องนี้อย่างบุ่มบ่าม
“ช้าก่อน! มีศิษย์ทั้งหมดหกคน ดังนั้น แม้พวกเขาจะผ่านทางเดินดาวหางได้อย่างราบรื่น แต่ก็มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋า ถึงตอนนั้นการต่อสู้อาจปะทุขึ้น!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา และมันดึงดูดความสนใจของผู้คนทันที
“ไว้รอดูกันก่อนเถอะ หลังจากพวกเขาผ่านโลงศพของเซียนยมโลก ก็จะมาถึงสระโลหิตอดีตชาติ แม้การทดสอบจะง่าย แต่ก็อันตรายที่สุดในบรรดาการทดสอบทั้งหมด บางทีผลลัพธ์อาจเป็นที่ประจักษ์ เมื่อพวกเขาพิชิตการทดสอบนี้” หัวเจี้ยนคงกล่าว
…
บนทางเดินดาวหาง
เฉินซีจดจ่อกับการทำลายข้อจำกัดสุดท้าย
ในขณะนี้ ทุกคนต่างไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้ ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง ทำให้ความเหนื่อยล้าในร่างกายถูกลบล้างออกไปโดยสิ้นเชิง
เพราะหลังจากผ่านข้อจำกัดสุดท้ายนี้แล้ว พวกเขาจะพบกับโลงศพของเซียนยมโลกที่แท้จริง จากนั้นจึงเข้าไปในสถานที่ซึ่งมีการทดสอบครั้งสุดท้ายอยู่ นั่นคือสระโลหิตอดีตชาติ!
ซึ่งหมายความว่า พวกเขาเหลือการทดสอบอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็จะได้สัมผัสกับมรดกของจักรพรรดิเต๋าอย่างแท้จริง!
โอม~
คลื่นพลังของข้อจำกัดที่ผันผวนดังก้อง และจากนั้น ข้อจำกัดสุดท้ายก็ถูกทำลายลง อย่างไรก็ตาม มันไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ความผันผวนที่เกิดจากข้อจำกัดในครั้งนี้รุนแรงมาก และมันพุ่งเข้าสู่บริเวณโดยรอบ
ทันใดนั้น ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่ลุกไหม้ก็สั่นสะเทือนพร้อมกัน ในขณะที่ดาวหางพร่างพราวจำนวนมากหยุดค้างอยู่กลางอากาศ และเปล่งแสงหลากสีออกมาอย่างกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
ฉากนี้น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง และดูเหมือนว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่ได้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล
ก่อนที่เฉินซีและคนอื่น ๆ จะทันได้ตกตะลึงกับสิ่งนี้ พวกเขารู้สึกว่าภาพตรงหน้าได้เปลี่ยนไป ร่างกายถูกเคลื่อนย้ายอย่างไม่สามารถควบคุมได้ด้วยพลังมหาศาล และครู่ต่อมา พวกเขาก็หายไปจากอุกกาบาตลูกสุดท้าย
…
นี่คือห้องโถงที่ว่างเปล่าและเย็นยะเยือก พื้นปูด้วยอิฐสีเทาโบราณ ในขณะที่ผนังเป็นสีเทาทั้งหมด และว่างเปล่าโดยไม่มีการตกแต่งใด ๆ
มีเพียงโลงศพสัมฤทธิ์โบราณที่วางอยู่ตรงกลางห้องโถง!
โอม!
คลื่นมิติที่ผันผวนเกิดขึ้น จากนั้นร่างของเฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องโถงนี้ โลงศพสีทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ตรงกลางห้องโถงดึงดูดสายตาของพวกเขาทันที
โลงศพทองสัมฤทธิ์นี้สูงเกือบสิบสองจั้ง กว้างราวสี่จั้ง และยาวเกือบร้อยยี่สิบจั้ง มันมีรูปทรงที่เก่าแก่ พื้นผิวถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกลับอย่างหนาแน่น
มีดวงอาทิตย์สิบดวงลอยอยู่บนท้องฟ้า เทพอสูรออกล่า หยินและหยางแยกจากกัน วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน… ทุก ๆ ลวดลายนั้นลึกลับและยิ่งใหญ่ เมื่อใครก็ตามมองมันจากระยะไกล มันทำให้รู้สึกราวกับว่าได้กลับเข้าสู่ยุคป่าเถื่อน เมื่อตอนที่ความโกลาหลเพิ่งถูกแยกออกจากกันเพื่อสร้างโลกขึ้นมา
โลงศพของเซียนยมโลก!
ในชั่วพริบตา ทุกคนก็ตระหนักได้ว่า นี่คือสมบัติศักดิ์สิทธิ์จากยุคบรรพกาลในตำนาน ที่กล่าวกันว่าสามารถทำลายล้างโลกได้!
ตามตำนานเล่าว่า สมบัติศักดิ์สิทธิ์นี้ท้าทายสวรรค์อย่างยิ่ง ทั้งสามารถยับยั้งภพเซียนและยมโลกได้ น่าเสียดายที่เต๋าแห่งสวรรค์ไม่ยอมทนต่อการดำรงอยู่ของมัน เมื่อมันเสร็จสมบูรณ์ได้เพียงบางส่วน เต๋าแห่งสวรรค์ก็ส่งทัณฑ์สวรรค์ลงมาทำลายมันจนหมดสิ้น ต่อมาจักรพรรดิเต๋าพบมันโดยบังเอิญและนำมาเก็บไว้ที่นี่
“ทุกคน รีบมาดูนี่เร็วเข้า ดูเหมือนว่าจะเป็น…” ในขณะนี้ หลิงชิงอู๋ได้มาถึงด้านข้างของโลงศพเซียนยมโลก และสังเกตเห็นบางอย่าง ทำให้ใบหน้าของนางเผยความประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
เฉินซีและคนอื่น ๆ ต่างสั่นสะท้านอยู่ในใจ เพราะเมื่อพวกเขามายังจุดที่หลิงชิงอู๋ยืน และเงยหน้าขึ้น บนพื้นผิวของโลงศพเซียนยมโลก พวกเขาก็สังเกตเห็นฉากที่น่ากลัวทันที!